ปล่อยคดีขาดอายุความ-บิดเบือนข้อเท็จจริง! 2 ปม BAFS ฟ้องศาลฯ เอาผิด ‘ป.ป.ช.ทั้งคณะ’
เปิด 2 ปม BAFS ฟ้องศาลอาญาคดีทุจริตฯ เอาผิด ‘ป.ป.ช.ทั้งคณะ’ เหตุ ‘ปล่อยคดีขาดอายุความ-ให้ข้อเท็จจริงที่บิดเบือนต่อ ครม.’ ขณะที่เบื้องหลังการลงมติ ‘วาระแก้ไขมติบอร์ด กทภ.’ พบ ‘กรรมการ ป.ป.ช.’ เสียงข้างน้อย 2 เสียง ‘สุภา-ณัฐจักร’
ลงมติว่า การแก้ไขมติบอร์ด กทภ. 'ไม่ถูกต้อง' แต่เสียงข้างมาก 7 เสียง เห็นว่าไม่มีความผิด
................................
สืบเนื่องจากกรณีที่ บมจ.บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ (BAFS) หรือ บาฟส์ ยื่นฟ้องคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ,นายวรวิทย์ สุขบุญ อดีตเลขาธิการ ป.ป.ช. และผู้บริหาร บมจ.ท่าอากาศยานไทย หรือ ทอท. ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 เมื่อวันที่ 17 ก.พ.2565
โดย BAFS กล่าวหา คณะกรรมการ ป.ป.ช.ทั้งคณะ ,อดีตเลขาธิการ ป.ป.ช. และผู้เกี่ยวข้อง ว่า ร่วมกันกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานเป็น “
เจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้น การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต...”
ในกรณีที่ ป.ป.ช. มีมติเกี่ยวกับการ ‘
แก้ไข’ รายงานการประชุมคณะกรรมการบริหารการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (กทภ.) ครั้งที่ 4/2548 เมื่อวันที่ 25 ต.ค.2548 ในระเบียบวาระที่ 5.1 ว่า จากการไต่สวนข้อเท็จจริง ยังฟังไม่ได้ว่า กทภ. ในฐานะผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 29 ราย กระทำความผิดตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาไม่มีมูล และให้ข้อกล่าวหาตกไป นั้น (อ่านประกอบ : ปม‘คลังน้ำมัน’นอกสุวรรณภูมิ ระอุ! ‘BAFS'ชน‘ป.ป.ช.’ ฟ้องศาลคดีทุจริตฯเอาผิด'ทั้งคณะ')
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า สำหรับรายชื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. และผู้เกี่ยวข้อง ที่ BAFS ยื่นฟ้องเป็นจำเลยในคดีนี้ มีทั้งสิ้น 13 ราย ได้แก่ 1
.พล.ต.อ.ดร.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. ,2.พล.อ.บุณยวัจน์ เครือหงส์ กรรมการ ป.ป.ช. ,3.พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง อดีตกรรมการ ป.ป.ช. ,4.นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข กรรมการ ป.ป.ช. ,5.นายณัฐจักร ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา กรรมการ ป.ป.ช.
6.นายวิทยา อาคมพิทักษ์ กรรมการ ป.ป.ช. ,7.น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช. ,8.นางสุวณา สุวรรณจูฑะ กรรมการ ป.ป.ช. ,9.นายณรงค์ รัฐอมฤต กรรมการ ป.ป.ช. ,10.นายวรวิทย์ สุขบุญ อดีตเลขาธิการ ป.ป.ช. ,11.นายพูลศักดิ์ คูณสมบัติ ในฐานะกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงของ ป.ป.ช. และผู้บริหารของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. จำนวน 2 ราย
ส่วนข้อหาที่ BAFS ยื่นฟ้องจำเลยทั้ง 13 ราย ในคดีดังกล่าว มี 2 ข้อหา
ข้อหาแรก เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เนื่องจาก ป.ป.ช.มีการพิจารณาคดีการแก้ไขมติคณะกรรมการ กทภ. ครั้งที่ กทภ. 4/2548 เมื่อวันที่ 25 ต.ค.2548 โดยมิชอบ นั้น เป็นไปอย่างล่าช้าจนคดีขาดอายุความ
ข้อหาที่สอง เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เนื่องจาก ป.ป.ช. มีการเสนอข้อเท็จจริงที่บิดเบือนต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ใน 2 กรณี ได้แก่
1. กรณีที่ ป.ป.ช. มีมติว่า การแก้ไขมติ กทภ. ครั้งที่ กทภ. 4/2548 เมื่อวันที่ 25 ต.ค.2548 ยังฟังไม่ได้ว่า คณะกรรมการ กทภ. ในฐานะผู้ถูกกล่าวหา กระทำความผิดตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาไม่มีมูล และให้ข้อกล่าวหาของบริษัทฯตกไป ทั้งๆมีพยานหลักฐานชัดเจนว่า การแก้ไขมติ กทภ. ครั้งดังกล่าว เป็นไปโดยมิชอบ
2. กรณีที่ ป.ป.ช.หยิบยกประเด็นที่ บริษัท ASIG กล่าวอ้าง มากล่าวหา BAFS ว่า ผูกขาดและมีผลประโยชน์ทับซ้อนในการดำเนินการให้บริการน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน (คลังน้ำมัน) ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และเป็นสาเหตุที่ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือในการลงทุน ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) ของประเทศไทย โดยที่ ป.ป.ช.ไม่เคยเรียก BAFS เข้าไปชี้แจงข้อเท็จจริงแต่อย่างใด
สำหรับทั้ง 2 ข้อหาดังกล่าว เป็นการกระทำผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ที่บัญญัติว่า
““เจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้น การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปีหรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ”
และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 ที่บัญญัติว่า
“ผู้ใดเป็นพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หริอปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
แหล่งข่าวจาก ป.ป.ช. เปิดเผยกับสำนักข่าวอิศราว่า กรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่า การแก้ไขมติ กทภ. ครั้งที่ กทภ. 4/2548 เมื่อวันที่ 25 ต.ค.2548 ยังฟังไม่ได้ว่า คณะกรรมการ กทภ. ในฐานะผู้ถูกกล่าวหา กระทำความผิดตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาของบริษัทตกไป นั้น
ในการลงมติเรื่องดังกล่าว มีกรรมการ ป.ป.ช. 7 คน ที่เห็นว่าการแก้ไขมติ กทภ. ครั้งที่ กทภ. 4/2548 เมื่อวันที่ 25 ต.ค.2548 ไม่ได้มีการกระทำผิด ได้แก่
พล.ต.อ.ดร.วัชรพล ประสารราชกิจ ,พล.อ.บุณยวัจน์ เครือหงส์ ,พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง ,นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข , นายวิทยา อาคมพิทักษ์ ,นางสุวณา สุวรรณจูฑะ และนายณรงค์ รัฐอมฤต กรรมการ ป.ป.ช.
ส่วนกรรมการ ป.ป.ช.เสียงข้างน้อย ที่ลงมติ ว่า การแก้ไข มติ กทภ. ครั้งที่ กทภ. 4/2548 เมื่อวันที่ 25 ต.ค.2548 เป็นไปโดยมิชอบ มี 2 เสียง ได้แก่
น.ส.สุภา ปิยะจิตติ และ
นายณัฐจักร ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา
แหล่งข่าวจาก ป.ป.ช. กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ผู้ถูกกล่าวหาอยู่ระหว่างจัดทำคำชี้แจงข้อกล่าวหา เพื่อยื่นต่อศาลอาญาคดีทุจริตฯ ต่อไป
ชาวบ้านประสานเสียงจี้รัฐบาล 'ตรึง' ราคาน้ำมัน
https://www.nationtv.tv/news/378873161
สำรวจความคิดเห็นประชาชนผู้ใช้น้ำมัน แม้ภาครัฐจะมีมาตรการช่วยลดภาษีสรรพสามิตดีเซลและใช้เงินจากกองทุนน้ำมันมาอุดหนุนเพื่อตรึงราคา ก็ไม่สามารถตรึงให้ต่ำกว่า 30 บาทได้ขณะที่กลุ่มผู้ใช้ชนิดอื่นก็เรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือด้วย
ปัญหาราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตามตลาดโลก ส่งผลกระทบวงกว้างต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน เพราะเชื่อมโยงกับค่าครองชีพโดยตรง ทั้งต้นทุนค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้นทำให้สินค้าแพงขึ้น ภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนที่เพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอลล์พุ่งทะลุ 40 บาทต่อลิตร และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่กลุ่มน้ำมันดีเซลปัจจุบันราคาอยู่ที่ไม่เกิน 32 บาทต่อลิตร ซึ่งรัฐบาลได้อุดหนุนเม็ดเงินโดยใช้กลไกของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาสนับสนุน รวมถึงการลดภาษีสรรพสามิตลงลิตรละ 3 บาท ขณะที่น้ำมันกลุ่มอื่นทั้งเบนซินและแก๊สโซฮอลล์ไม่มีมาตรการใดช่วยตรึงราคา
ประชาชนผู้ใช้น้ำมัน บอกว่าได้รับผลกระทบอย่างมากจากราคาน้ำมันที่แพงขึ้นทุกวัน อยากให้รัฐบาลช่วยเหลือตรึงราคาผู้ใช้น้ำมันทุกกลุ่มเพราะต่างได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำมันแพง อยากให้ตรึงราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลล์อยู่ระดับไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร จากตอนนี้ที่ราคาทะลุเกิน 40 บาทแล้ว ส่วนผู้ใช้ดีเซลบอกว่าอยากให้ตรึงราคาไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร และอยากให้หามาตรการมาช่วยเหลือเรื่องค่าครองชีพประชาชนให้มากขึ้น
สำหรับการประชุมคณะรัฐมนตรีวันพรุ่งนี้ (17 พ.ค.) กระทรวงการคลังเตรียมเสนอให้ที่ประชุมพิจารณาอนุมัติมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล เพื่อช่วยลดปัญหาราคาน้ำมันดีเซลแพงหลังจากมาตรการจะหมดลงวันที่ 20 พ.ค.นี้
โดยมี 2 แนวทางในการต่ออายุการลดภาษี คือ 1.ขยายระยะเวลาการลดภาษีน้ำมันดีเซลในอัตราลิตรละ 3 บาท เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 20 พ.ค.-20 ก.ค. 65 และ 2.ลดภาษีน้ำมันดีเซลในอัตราลิตรละ 5 บาท แต่ระยะเวลาไม่ถึง 3 เดือน โดยทั้ง 2 แนวทางจะใช้งบประมาณราว 20,000 ล้านบาท เพื่อไม่ให้กระทบต่อการจัดเก็บรายได้รัฐบาลในปีงบประมาณ 2565 มากเกินไป
ดีเลย์หนัก "ไฮสปีดไทย-จีน" 1.79 แสนล้าน เซ่นพิษโควิด
https://www.thansettakij.com/economy/525060
ไฮสปีดไทย-จีน 1.79 แสนล้านบาท หลายสัญญาล่าช้า หลังโควิด-19ระบาดหนัก กระทบแผนเวนคืนที่ดิน-เอกชนเข้าพื้นที่ตอกเสาเข็มดีเลย์
"ไฮสปีดไทย-จีน" หรือโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเชื่อมโยงภูมิภาคระยะที่1ช่วงกรุงเทพ-นครราชสีมา ถือเป็นเมกะโปรเจคต์ขนาดใหญ่ที่กระทรวงคมนาคมและภาครัฐพยายามผลักดันให้เกิดขึ้นโดยเร็ว
แต่ปัจจุบันยังพบว่าโครงการดังกล่าวติดปัญหาหลายเรื่อง เช่น การแพร่ระบาดจากสถานการณ์โควิด 19,ค่างานก่อสร้างที่มีราคาผันผวน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเวนคืนที่ดิน และการส่งมอบพื้นที่ล่าช้าออกไปหลายสัญญา
รายงานข่าวจากกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า สำหรับความคืบหน้าโครงการไฮสปีดไทย-จีน จำนวน 14 สัญญา ระยะทาง 253 กิโลเมตร(กม.) วงเงิน179,400 ล้านบาท จำนวน 14 สัญญา แบ่งเป็นก่อสร้างแล้วเสร็จ 1 สัญญา คือ สัญญา 1-1 ช่วงกลางดง-ปางอโศก ระยะทาง 3.5 กม.
ขณะเดียวกันสัญญาที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง จำนวน 9 สัญญา ประกอบด้วย สัญญา 2-1 ช่วงสีคิ้ว-กุดจิก ระยะทาง 11 กม. วงเงิน 3,114.98 ล้านบาท ดำเนินการโดย บจ.ซีวิลเอ็นจีเนียริง คืบหน้า 85.29% ล่าช้า 14.71%
สัญญาที่ 3-2 อุโมงค์มวกเหล็กและลำตะคอง ระยะทาง 12.23 กม. วงเงิน 4,279 ล้านบาท โดย บมจ.เนาวรัตน์ พัฒนาการ คืบหน้า 0.56% ล่าช้า 11.83%
สัญญา 3-3 ช่วงบันไดม้า-ลำตะคอง ระยะทาง 26.10 กม. วงเงิน 9,838 ล้านบาท โดย บจ.ไทย เอ็นยิเนียร์ และอุตสาหกรรม คืบหน้า 2.73% ล่าช้า 24.48%
สัญญา 3-4 ช่วงลำตะคอง-สีคิ้ว และช่วงกุดจิก-โคกกรวด ระยะทาง 37.45 กม. วงเงิน 9,848 ล้านบาท โดยบมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ คืบหน้า 21.03% ล่าช้า 0.44%
สัญญา 3-5 ช่วงโคกกรวด-นครราชสีมา ระยะทาง 12.38 กม. วงเงิน 7,750 ล้านบาท โดยกิจการร่วมค้า SPTK (บ.นภาก่อสร้าง ร่วมกับบริษัทรับเหมาประเทศมาเลเซีย) คืบหน้า 2.22% ล่าช้า 20.33%
สัญญา 4-2 ช่วงดอนเมือง-นวนคร ระยะทาง 21.80 กม. วงเงิน 10,570 ล้านบาท โดย บมจ.บริษัทยูนิค เอ็นจิเนียริ่งแอนด์ คอนสตรัคชั่น คืบหน้า 0.01% ล่าช้า 0.01%
สัญญา 4-3 ช่วงนวนคร-บ้านโพ ระยะทาง 23 กม. วงเงิน 11,525.35 ล้านบาท โดยกิจการร่วมค้า CAN (บจ.เอ.เอสแอสโซศซิเอท เอนยิเนียริ่ง (1964), บมจ.เนาวรัตน์พัฒนาการ และ บริษัท ไชน่า สเตท คอนสตรัคชั่น เอนยิเนียริ่ง คอร์ปอเรชั่น ลิมิเต็ด คืบหน้า 0.83% ล่าช้า 10.90%
สัญญา 4-6 ช่วงพระแก้ว-สระบุรี ระยะทาง 31.60 กม. วงเงิน 9,429 ล้านบาท โดย บมจ.ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น คืบหน้า 0.01% ล่าช้า 0.03% สัญญา 4-7 ช่วงสระบุรี-แก่งคอย ระยะทาง 12.99 กม. วงเงิน 8,560 ล้านบาท โดย บมจ.ซีวิลเอนจีเนียริง คืบหน้า 16.11% เร็วกว่าแผน 1.77%
JJNY : 5in1 BAFS ฟ้องเอาผิดป.ป.ช.│จี้'ตรึง'ราคาน้ำมัน│ดีเลย์หนัก"ไฮสปีดไทย-จีน"│อ.ปริญญา"อัด รธน.ปี 60│สวิตเล็งสละสถานะ
ลงมติว่า การแก้ไขมติบอร์ด กทภ. 'ไม่ถูกต้อง' แต่เสียงข้างมาก 7 เสียง เห็นว่าไม่มีความผิด
................................
โดย BAFS กล่าวหา คณะกรรมการ ป.ป.ช.ทั้งคณะ ,อดีตเลขาธิการ ป.ป.ช. และผู้เกี่ยวข้อง ว่า ร่วมกันกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานเป็น “เจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้น การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต...”
ในกรณีที่ ป.ป.ช. มีมติเกี่ยวกับการ ‘แก้ไข’ รายงานการประชุมคณะกรรมการบริหารการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (กทภ.) ครั้งที่ 4/2548 เมื่อวันที่ 25 ต.ค.2548 ในระเบียบวาระที่ 5.1 ว่า จากการไต่สวนข้อเท็จจริง ยังฟังไม่ได้ว่า กทภ. ในฐานะผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 29 ราย กระทำความผิดตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาไม่มีมูล และให้ข้อกล่าวหาตกไป นั้น (อ่านประกอบ : ปม‘คลังน้ำมัน’นอกสุวรรณภูมิ ระอุ! ‘BAFS'ชน‘ป.ป.ช.’ ฟ้องศาลคดีทุจริตฯเอาผิด'ทั้งคณะ')
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า สำหรับรายชื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. และผู้เกี่ยวข้อง ที่ BAFS ยื่นฟ้องเป็นจำเลยในคดีนี้ มีทั้งสิ้น 13 ราย ได้แก่ 1.พล.ต.อ.ดร.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. ,2.พล.อ.บุณยวัจน์ เครือหงส์ กรรมการ ป.ป.ช. ,3.พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง อดีตกรรมการ ป.ป.ช. ,4.นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข กรรมการ ป.ป.ช. ,5.นายณัฐจักร ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา กรรมการ ป.ป.ช.
6.นายวิทยา อาคมพิทักษ์ กรรมการ ป.ป.ช. ,7.น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช. ,8.นางสุวณา สุวรรณจูฑะ กรรมการ ป.ป.ช. ,9.นายณรงค์ รัฐอมฤต กรรมการ ป.ป.ช. ,10.นายวรวิทย์ สุขบุญ อดีตเลขาธิการ ป.ป.ช. ,11.นายพูลศักดิ์ คูณสมบัติ ในฐานะกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงของ ป.ป.ช. และผู้บริหารของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. จำนวน 2 ราย
ส่วนข้อหาที่ BAFS ยื่นฟ้องจำเลยทั้ง 13 ราย ในคดีดังกล่าว มี 2 ข้อหา
ข้อหาแรก เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เนื่องจาก ป.ป.ช.มีการพิจารณาคดีการแก้ไขมติคณะกรรมการ กทภ. ครั้งที่ กทภ. 4/2548 เมื่อวันที่ 25 ต.ค.2548 โดยมิชอบ นั้น เป็นไปอย่างล่าช้าจนคดีขาดอายุความ
ข้อหาที่สอง เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เนื่องจาก ป.ป.ช. มีการเสนอข้อเท็จจริงที่บิดเบือนต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ใน 2 กรณี ได้แก่
1. กรณีที่ ป.ป.ช. มีมติว่า การแก้ไขมติ กทภ. ครั้งที่ กทภ. 4/2548 เมื่อวันที่ 25 ต.ค.2548 ยังฟังไม่ได้ว่า คณะกรรมการ กทภ. ในฐานะผู้ถูกกล่าวหา กระทำความผิดตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาไม่มีมูล และให้ข้อกล่าวหาของบริษัทฯตกไป ทั้งๆมีพยานหลักฐานชัดเจนว่า การแก้ไขมติ กทภ. ครั้งดังกล่าว เป็นไปโดยมิชอบ
2. กรณีที่ ป.ป.ช.หยิบยกประเด็นที่ บริษัท ASIG กล่าวอ้าง มากล่าวหา BAFS ว่า ผูกขาดและมีผลประโยชน์ทับซ้อนในการดำเนินการให้บริการน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน (คลังน้ำมัน) ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และเป็นสาเหตุที่ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือในการลงทุน ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) ของประเทศไทย โดยที่ ป.ป.ช.ไม่เคยเรียก BAFS เข้าไปชี้แจงข้อเท็จจริงแต่อย่างใด
สำหรับทั้ง 2 ข้อหาดังกล่าว เป็นการกระทำผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ที่บัญญัติว่า ““เจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้น การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปีหรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ”
และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 ที่บัญญัติว่า “ผู้ใดเป็นพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หริอปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
แหล่งข่าวจาก ป.ป.ช. เปิดเผยกับสำนักข่าวอิศราว่า กรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่า การแก้ไขมติ กทภ. ครั้งที่ กทภ. 4/2548 เมื่อวันที่ 25 ต.ค.2548 ยังฟังไม่ได้ว่า คณะกรรมการ กทภ. ในฐานะผู้ถูกกล่าวหา กระทำความผิดตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาของบริษัทตกไป นั้น
ในการลงมติเรื่องดังกล่าว มีกรรมการ ป.ป.ช. 7 คน ที่เห็นว่าการแก้ไขมติ กทภ. ครั้งที่ กทภ. 4/2548 เมื่อวันที่ 25 ต.ค.2548 ไม่ได้มีการกระทำผิด ได้แก่ พล.ต.อ.ดร.วัชรพล ประสารราชกิจ ,พล.อ.บุณยวัจน์ เครือหงส์ ,พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง ,นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข , นายวิทยา อาคมพิทักษ์ ,นางสุวณา สุวรรณจูฑะ และนายณรงค์ รัฐอมฤต กรรมการ ป.ป.ช.
ส่วนกรรมการ ป.ป.ช.เสียงข้างน้อย ที่ลงมติ ว่า การแก้ไข มติ กทภ. ครั้งที่ กทภ. 4/2548 เมื่อวันที่ 25 ต.ค.2548 เป็นไปโดยมิชอบ มี 2 เสียง ได้แก่ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ และนายณัฐจักร ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา
แหล่งข่าวจาก ป.ป.ช. กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ผู้ถูกกล่าวหาอยู่ระหว่างจัดทำคำชี้แจงข้อกล่าวหา เพื่อยื่นต่อศาลอาญาคดีทุจริตฯ ต่อไป
ชาวบ้านประสานเสียงจี้รัฐบาล 'ตรึง' ราคาน้ำมัน
https://www.nationtv.tv/news/378873161
สำรวจความคิดเห็นประชาชนผู้ใช้น้ำมัน แม้ภาครัฐจะมีมาตรการช่วยลดภาษีสรรพสามิตดีเซลและใช้เงินจากกองทุนน้ำมันมาอุดหนุนเพื่อตรึงราคา ก็ไม่สามารถตรึงให้ต่ำกว่า 30 บาทได้ขณะที่กลุ่มผู้ใช้ชนิดอื่นก็เรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือด้วย
ปัญหาราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตามตลาดโลก ส่งผลกระทบวงกว้างต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน เพราะเชื่อมโยงกับค่าครองชีพโดยตรง ทั้งต้นทุนค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้นทำให้สินค้าแพงขึ้น ภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนที่เพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอลล์พุ่งทะลุ 40 บาทต่อลิตร และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่กลุ่มน้ำมันดีเซลปัจจุบันราคาอยู่ที่ไม่เกิน 32 บาทต่อลิตร ซึ่งรัฐบาลได้อุดหนุนเม็ดเงินโดยใช้กลไกของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาสนับสนุน รวมถึงการลดภาษีสรรพสามิตลงลิตรละ 3 บาท ขณะที่น้ำมันกลุ่มอื่นทั้งเบนซินและแก๊สโซฮอลล์ไม่มีมาตรการใดช่วยตรึงราคา
ประชาชนผู้ใช้น้ำมัน บอกว่าได้รับผลกระทบอย่างมากจากราคาน้ำมันที่แพงขึ้นทุกวัน อยากให้รัฐบาลช่วยเหลือตรึงราคาผู้ใช้น้ำมันทุกกลุ่มเพราะต่างได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำมันแพง อยากให้ตรึงราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลล์อยู่ระดับไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร จากตอนนี้ที่ราคาทะลุเกิน 40 บาทแล้ว ส่วนผู้ใช้ดีเซลบอกว่าอยากให้ตรึงราคาไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร และอยากให้หามาตรการมาช่วยเหลือเรื่องค่าครองชีพประชาชนให้มากขึ้น
สำหรับการประชุมคณะรัฐมนตรีวันพรุ่งนี้ (17 พ.ค.) กระทรวงการคลังเตรียมเสนอให้ที่ประชุมพิจารณาอนุมัติมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล เพื่อช่วยลดปัญหาราคาน้ำมันดีเซลแพงหลังจากมาตรการจะหมดลงวันที่ 20 พ.ค.นี้
โดยมี 2 แนวทางในการต่ออายุการลดภาษี คือ 1.ขยายระยะเวลาการลดภาษีน้ำมันดีเซลในอัตราลิตรละ 3 บาท เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 20 พ.ค.-20 ก.ค. 65 และ 2.ลดภาษีน้ำมันดีเซลในอัตราลิตรละ 5 บาท แต่ระยะเวลาไม่ถึง 3 เดือน โดยทั้ง 2 แนวทางจะใช้งบประมาณราว 20,000 ล้านบาท เพื่อไม่ให้กระทบต่อการจัดเก็บรายได้รัฐบาลในปีงบประมาณ 2565 มากเกินไป
ดีเลย์หนัก "ไฮสปีดไทย-จีน" 1.79 แสนล้าน เซ่นพิษโควิด
https://www.thansettakij.com/economy/525060
ไฮสปีดไทย-จีน 1.79 แสนล้านบาท หลายสัญญาล่าช้า หลังโควิด-19ระบาดหนัก กระทบแผนเวนคืนที่ดิน-เอกชนเข้าพื้นที่ตอกเสาเข็มดีเลย์
"ไฮสปีดไทย-จีน" หรือโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเชื่อมโยงภูมิภาคระยะที่1ช่วงกรุงเทพ-นครราชสีมา ถือเป็นเมกะโปรเจคต์ขนาดใหญ่ที่กระทรวงคมนาคมและภาครัฐพยายามผลักดันให้เกิดขึ้นโดยเร็ว
แต่ปัจจุบันยังพบว่าโครงการดังกล่าวติดปัญหาหลายเรื่อง เช่น การแพร่ระบาดจากสถานการณ์โควิด 19,ค่างานก่อสร้างที่มีราคาผันผวน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเวนคืนที่ดิน และการส่งมอบพื้นที่ล่าช้าออกไปหลายสัญญา
รายงานข่าวจากกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า สำหรับความคืบหน้าโครงการไฮสปีดไทย-จีน จำนวน 14 สัญญา ระยะทาง 253 กิโลเมตร(กม.) วงเงิน179,400 ล้านบาท จำนวน 14 สัญญา แบ่งเป็นก่อสร้างแล้วเสร็จ 1 สัญญา คือ สัญญา 1-1 ช่วงกลางดง-ปางอโศก ระยะทาง 3.5 กม.
ขณะเดียวกันสัญญาที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง จำนวน 9 สัญญา ประกอบด้วย สัญญา 2-1 ช่วงสีคิ้ว-กุดจิก ระยะทาง 11 กม. วงเงิน 3,114.98 ล้านบาท ดำเนินการโดย บจ.ซีวิลเอ็นจีเนียริง คืบหน้า 85.29% ล่าช้า 14.71%
สัญญาที่ 3-2 อุโมงค์มวกเหล็กและลำตะคอง ระยะทาง 12.23 กม. วงเงิน 4,279 ล้านบาท โดย บมจ.เนาวรัตน์ พัฒนาการ คืบหน้า 0.56% ล่าช้า 11.83%
สัญญา 3-3 ช่วงบันไดม้า-ลำตะคอง ระยะทาง 26.10 กม. วงเงิน 9,838 ล้านบาท โดย บจ.ไทย เอ็นยิเนียร์ และอุตสาหกรรม คืบหน้า 2.73% ล่าช้า 24.48%
สัญญา 3-4 ช่วงลำตะคอง-สีคิ้ว และช่วงกุดจิก-โคกกรวด ระยะทาง 37.45 กม. วงเงิน 9,848 ล้านบาท โดยบมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ คืบหน้า 21.03% ล่าช้า 0.44%
สัญญา 3-5 ช่วงโคกกรวด-นครราชสีมา ระยะทาง 12.38 กม. วงเงิน 7,750 ล้านบาท โดยกิจการร่วมค้า SPTK (บ.นภาก่อสร้าง ร่วมกับบริษัทรับเหมาประเทศมาเลเซีย) คืบหน้า 2.22% ล่าช้า 20.33%
สัญญา 4-2 ช่วงดอนเมือง-นวนคร ระยะทาง 21.80 กม. วงเงิน 10,570 ล้านบาท โดย บมจ.บริษัทยูนิค เอ็นจิเนียริ่งแอนด์ คอนสตรัคชั่น คืบหน้า 0.01% ล่าช้า 0.01%
สัญญา 4-3 ช่วงนวนคร-บ้านโพ ระยะทาง 23 กม. วงเงิน 11,525.35 ล้านบาท โดยกิจการร่วมค้า CAN (บจ.เอ.เอสแอสโซศซิเอท เอนยิเนียริ่ง (1964), บมจ.เนาวรัตน์พัฒนาการ และ บริษัท ไชน่า สเตท คอนสตรัคชั่น เอนยิเนียริ่ง คอร์ปอเรชั่น ลิมิเต็ด คืบหน้า 0.83% ล่าช้า 10.90%
สัญญา 4-6 ช่วงพระแก้ว-สระบุรี ระยะทาง 31.60 กม. วงเงิน 9,429 ล้านบาท โดย บมจ.ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น คืบหน้า 0.01% ล่าช้า 0.03% สัญญา 4-7 ช่วงสระบุรี-แก่งคอย ระยะทาง 12.99 กม. วงเงิน 8,560 ล้านบาท โดย บมจ.ซีวิลเอนจีเนียริง คืบหน้า 16.11% เร็วกว่าแผน 1.77%