'ยิ่งลักษณ์'กับชะตากรรมที่ต้องลุ้นคุก


ปล่อยปะละเลยฯ เมินเฉิยต่อการทุจริต" คือข้อกล่าวหาของ ป.ป.ช.ต่อ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ในโครงการรับจำนำข้าว ที่เป็นปมปัญหาใหญ่ปมหนึ่งต่อเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เพราะหากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ( ป.ป.ช.) ชี้ว่าผิดอาจมีโทษอาญาถึงจำคุกและถูกถอดถอน ซึ่งขณะนี้ ป.ป.ช.ได้กำหนดลงมติชี้มูลคดีไว้ในวันที่ 8 หรือ 15 พฤษภาคมที่จะถึงนี้

                          ปลายทางเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร.. อนาคต ”ยิ่งลักษณ์” จะเดินย่ำรอยพี่ชายหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของ ป.ป.ช. และคำชี้แจงของยิ่งลักษณ์ รวมทั้งพยานฝ่ายผู้ถูกกล่าวหา 4 ปาก

                          "คม ชัด ลึก" นำเสนอรายละเอียดของข้อกล่าวหา และคำชี้แจงของฝ่ายที่ตกเป็นจำเลย ก่อนที่ ป.ป.ช.จะตัดสินออกมาว่า คณะกรรมการให้น้ำหนักกับพยานหลักฐานของสองฝ่ายไปทางไหนมากกว่ากัน

                          ข้อกล่าวหา กระทำความผิดใน 2 สถานะ คือ 1.ในสถานะนายกรัฐมนตรีผู้ดูแลนโยบายโดยรวม 2.ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการเสนอกรอบนโยบายข้าว อนุมัติแผนงานโครงการ ดูแลปฏิบัติตามนโยบาย และอื่นๆ ส่อว่ากระทำความผิด 3 ข้อกล่าวหา คือ

                          1.กระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157   

                          2.ความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตาม พ.ร.บ.ป.ป.ช. พ.ศ.2542

                          3.จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 178 ซึ่งบัญญัติว่าในการบริหารราชการแผ่นดิน นายกฯ ต้องดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ กฎหมายและนโยบายที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา

                          พฤติการณ์ คือ ปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าว เพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ทางราชการตามอำนาจหน้าที่  

                          สำหรับคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ประกอบด้วย

                          1.คัดค้านอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ในการไต่สวนคดีนี้ เช่น กระบวนการรับคำร้องและเริ่มคดีของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย, กรรมการ ป.ป.ช.เป็นผู้กล่าวหาเสียเองเพิ่มเติมจากคำร้องที่มีผู้ยื่นถอดถอนนายกฯ ออกจากตำแหน่งว่านายกฯ กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญาหรือทุจริตต่อหน้าที่ ซึ่งทำไม่ได้

                          2.น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ ไม่ได้กระทำความผิดในโครงการรับจำนำข้าว โดยมีเหตุผลดังนี้

                          2.1 นโยบายรับจำนำข้าวเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ซึ่งตรงกับแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐที่รัฐบาลต้องปฏิบัติและคณะรัฐมนตรีต้องร่วมกันรับผิดชอบต่อรัฐสภา หากนายกฯ สั่งระงับยับยั้งการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวก็จะเป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 178 ที่กำหนดว่าคณะรัฐมนตรีต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภา และมีผลผูกพันตามนโยบายที่ได้แถลงไว้

                          2.2 การดำเนินการของนายกฯ ตามโครงการรับจำนำข้าวเป็นการใช้อำนาจของนายกฯ ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดินซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่โดยทั่วๆ ไปในการที่จะทำให้การบริหารราชการแผ่นดินเกิดประสิทธิภาพ รวมทั้งกำกับดูแลผู้มีอำนาจหน้าที่โดยตรงในเรื่องนั้นๆ จึงไม่เข้าข่ายกระทำความผิดในทางอาญาฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ เพราะว่าการละเลยหรือเพิกเฉยในลักษณะมีเจตนางดเว้นการที่จะต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้น บุคคลนั้นต้องมีหน้าที่โดยตรงด้วย

                          2.3 คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติที่มีนายกฯ เป็นประธาน มีอำนาจหน้าที่ในเชิงการกำหนดกรอบนโยบายและยุทธศาสตร์เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี นายกฯ ในฐานะประธานและคณะกรรมการไม่มีอำนาจหน้าที่ในการมีมติสั่งยกเลิกโครงการรับจำนำข้าว ส่วนการติดตาม กำกับ ดูแลการปฏิบัติตามนโยบาย ก็เป็นเพียงการกำกับโดยทั่วไปของคณะกรรมการ ส่วนหากข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่รัฐไม่ได้ปฏิบัติตามกรอบนโยบายที่ฝ่ายบริหารได้วางไว้ ก็เป็นความรับผิดส่วนบุคคล ที่นายกรัฐมนตรีไม่ต้องร่วมรับผิดด้วย

                          2.4 เมื่อ ป.ป.ช.มีหนังสือแจ้งมายังนายกฯ ว่า มีการดำเนินการตามโครงการก่อให้เกิดปัญหาด้านต่างๆ ในการรับจำนำข้าว โดยเฉพาะปัญหาทุจริตเชิงนโยบายและในส่วนของขั้นตอนและกระบวนการในการดำเนินโครงการ นายกฯ ก็ได้มีคำสั่งตั้ง "คณะกรรมการอำนวยการตรวจสอบเพื่อป้องกันการทุจริต" ขึ้นมาดำเนินการ

                          ขณะที่การให้ปากคำของ "ยรรยง พวงราช"  รมช.พาณิชย์ พยานของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยระบุว่า การแจ้งข้อกล่าวหา น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวของ ป.ป.ช. มีการตั้งสมมุติฐานที่ไม่ถูกต้อง 4 ประเด็นสำคัญ คือ

                          1.การมองว่ารัฐบาลบิดเบือนกลไกตลาดนั้น ในความเป็นจริง สินค้าข้าวไม่มีกลไกตลาดที่สมบูรณ์ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ราคาตกต่ำมาอย่างต่อเนื่องซึ่งส่งผลโดยตรงต่อรายได้ของชาวนา โดยโครงการรับจำนำถือว่าเป็นการสร้างสมดุลของกลไกตลาด

                          2.เชื่อว่ามาตรการรับจำนำเป็นมาตรการประชานิยม ซึ่งรัฐบาลคิดขึ้นเพื่อเปิดช่องการทุจริตและหาเสียงนั้น แต่โครงการรับจำนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ถือเป็นการใช้ยาแรงที่มีการยกระดับทั้งปริมาณและราคา เพื่อเป้าหมายการลดความเหลื่อมล้ำรายได้ของชาวนา ไม่ใช่ความตั้งใจเพื่อการทุจริตตามที่กล่าวอ้างและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ดำเนินการป้องกัน ตรวจสอบ และปราบปรามทุจริตอย่างต่อเนื่อง จึงไม่ได้ละเว้นหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

                          3.เชื่อว่ามาตรการรับจำนำข้าวของรัฐบาลเป็นการทำธุรกิจการค้าที่เสียหาย เพราะมีแต่ขาดทุนเพียงอย่างเดียว แล้วทำไมนายกฯ ละเลย เพิกเฉย ไม่ระงับยับยั้ง เหตุผลคือ นโยบายรับจำนำเป็นสิ่งที่นายกฯ ไม่สามารถระงับ ยับยั้ง หรือยกเลิกได้ เพราะเป็นโครงการที่รัฐบาลได้หาเสียงไว้ในการเลือกตั้งอย่างชัดเจน และได้แถลงต่อรัฐสภาไว้แล้ว หากไม่ดำเนินการเหมือนหลอกลวงประชาชน

                          4.การกล่าวหาว่าโครงการขาดทุนโดยยึดข้อมูลจากคณะกรรมการปิดบัญชีและ สตง.นั้น เป็นข้อมูลที่ยังไม่ได้ข้อยุติเนื่องจากโครงการยังไม่สิ้นสุด

                          ส่วน "นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล" รองนายกฯและ รมว.พาณิชย์ พยานอีกปาก ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาว่านายกฯ ละเลยปล่อยปละให้มีการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวเอาไว้ดังนี้

                          1.โครงการช่วยเหลือชาวนาที่เกี่ยวกับข้าว ไม่ว่าจะใช้คำว่า "รับจำนำข้าว" หรือ "ประกันราคาข้าว" เป็นโครงการที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2536 รัฐบาลนายชวน หลีกภัย มาจนถึงปัจจุบัน และรัฐบาลนี้ได้นำมาปรับปรุงขั้นตอนให้มีประสิทธิภาพและป้องกันการทุจริตให้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นการทุจริตไม่น่าจะมีหรือควรมีน้อยกว่ารัฐบาลอื่น

                          2.นายกฯ ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ได้ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมา 12 ชุด เป็นการแสดงให้เห็นว่า เป็นการทำงานมีประสิทธิภาพ และป้องกันปัญหาเรื่องการทุจริต และรัฐบาลได้กวดขันป้องกันและปราบปรามการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวอย่างเต็มที่ โดย กขช.ได้มอบหมายให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน รับผิดชอบตรวจสอบการทุจริตโครงการจำนำข้าวมาตั้งแต่ต้นปี 2555 โดยได้ดำเนินการอย่างเต็มที่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่านายกฯ ได้ใช้อำนาจหน้าที่ในการบริหารราชการโดยใช้ตำแหน่งประธาน กขช.ในการป้องกันการทุจริต

ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาว่าโครงการรับจำนำข้าวขาดทุนและสร้างความเสียหายให้แก่ราชการ

                          1.โครงการช่วยเหลือเกษตรกรทุกรัฐบาลก็ต้องใช้เงินทั้งนั้น ซึ่งไม่ใช่โครงการเพื่อธุรกิจแต่เพื่อช่วยยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกร เป็นโครงการทางด้านสังคมและเศรษฐกิจ จะเกิดผลประโยชน์ต่อเนื่องเมื่อเกิดการจับจ่ายใช้สอยหมุนเวียนตามหลักเศรษฐศาสตร์ จึงต้องใช้เงินช่วยเหลือ ซึ่งไม่ใช่การขาดทุน โครงการช่วยเหลือประชาชนจะคิดกำไรขาดทุนไม่ได้ เพราะไม่ใช่การทำธุรกิจ

                          2.การกล่าวหาว่าโครงการขาดทุนโดยยึดตัวเลขจากคณะกรรมการปิดบัญชี เป็นข้อมูลที่ยังไม่ได้ข้อยุติ และที่จริงไม่ได้ขาดทุนมากอย่างที่คณะกรรมการปิดบัญชีสรุปและกล่าวอ้าง ดังนั้นไม่ควรนำข้อมูลจากคณะกรรมการปิดบัญชีมาเป็นข้อกล่าวหา

                          ส่วน “กิตติรัตน์ ณ ระนอง” รองนายกฯและ รมว.คลัง ชี้แจงว่า 1.การตั้งงบประมาณในการดูแลโครงการรับจำนำข้าวไม่ได้มากมายเกินเลย และการดูแลชาวนาไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด ก็ต้องใช้งบประมาณชดเชย

                          2.การควบคุมวินัยการเงินการคลังทำด้วยความเข้มงวด มีการกำหนดวงเงินและรายงานให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้รับทราบอย่างต่อเนื่องโดยตลอด รวมถึงคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) มีการรับฟังความคิดเห็นจากฝ่ายต่างๆ ตลอด อีกทั้งการควบคุมโครงการก็ได้มีมติ ครม.เกือบ 20 ครั้ง ที่แสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่โครงการ

                          3.ที่ว่าปล่อยให้มีการทุจริตทุกขั้นตอนนั้น ชี้แจงว่า การดำเนินการเรื่องใดๆ ไม่ว่าจะมีมากขั้นตอนหรือน้อยขั้นตอนมีความเป็นไปได้ทั้งนั้นที่จะมีคนระดับปฏิบัติที่ทุจริตและจะหยิบฉวยโอกาสเหล่านั้น แต่กลไกของโครงการรับจำนำข้าวทุกขั้นตอนสามารถตรวจสอบได้ หากมีใครในระดับปฏิบัติไปกระทำการทุจริตก็มีโอกาสที่จะถูกจับได้สูง

                          4.โครงการประกันราคาข้าวมีจุดอ่อน แต่การจำนำเป็นการบริหาร "อุปทาน" (ความต้องการขายสินค้าและบริการ) และเป็นโครงการที่ได้ให้สัญญาประชาคมเอาไว้ นายกฯจึงต้องดำเนินการโครงการรับจำนำต่อไป ไม่สามารถหยุดโครงการตามข้อคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะของ ป.ป.ช.ที่มาในช่วงต้นรัฐบาลได้

                          การให้ปากคำของ "พล.ต.ต.ธวัช บุญเฟื่อง" รองเลขาธิการนายกฯ และประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับข้าว ในฐานะพยาน “น.ส.ยิ่งลักษณ์” ชี้แจงถึงวิธีการตรวจสต็อกข้าวว่า ในทางปฏิบัติได้ใช้บุคลากร ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่พาณิชย์จังหวัด เจ้าหน้าที่คลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน รวมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดต่างๆ ทั้งหมดประมาณ 3 หมื่นคน ในการตรวจสต็อกข้าวว่ามีปัญหาอะไรบ้าง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่