จุดประสงค์ที่ชายหนุ่มไปบวชเป็นพระ คืออะไร? จุดประสงค์ที่หญิงสาวเข้าวัด คืออะไร?

...ชายหนุ่มต้องการอะไร จึงไปบวช?

...หญิงสาวต้องการอะไร จึงไปวัด?

************

- เมื่อพระหนุ่ม สบตา สีกาสาว...เขาคิดอะไร?

- เมื่อสีกาสาว สบตา พระหนุ่ม...เธอคิดอะไร?

************

- พระพุทธเจ้าได้สอนไว้มั้ย ว่าให้ พระหนุ่ม และ สีกาสาว คิดอะไร ยังไง?
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 9
''สตรีเป็นศัตรูของพรหมจรรย์จริงหรือ''
http://oldweb.mcu.ac.th/site/articlecontent_desc.php?article_id=1517&articlegroup_id=278

๑๐.     พระพุทธเจ้าทรงสอนให้พระภิกษุมีท่าทีหรือมีกฎเกณฑ์

สำหรับการปฏิสัมพันธ์กับสตรีอย่างไร

          สิ่งที่สามารถชี้ให้เห็นถึงกรอบ หรือกฎเกณฑ์ที่พระพุทธเจ้าทรงย้ำเตือนพระภิกษุต่อกรณีที่จะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องหรือปฏิสัมพันธ์กับสตรีนั้น  เราสามารถที่จะศึกษาวิเคราะห์ได้จากข้อมูลด้านเอกสารตามที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระไตรปิฏก และคัมภีร์อื่นๆ  ที่พระองค์ได้นำเสนอเอาไว้อย่างน่าสนใจ

          จะเห็นว่า จากท่าทีที่ไม่แจ่มชัดนักเกี่ยวกับพระภิกษุและสตรีนั้น  ควรที่จะมีหลักการ หรือกรอบเบื้องต้นในเรื่องเหล่านี้อย่างไร  พระอานนท์จึงได้ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ควรที่จะปฏิบัติตนต่อสตรีอย่างไร  ดังมีเนื้อความที่ปรากฏในมหาปรินิพพานสูตรตอนหนึ่งว่า

ท่านพระอานนท์ทูลถามว่า “พวกข้าพระองค์จะปฏิบัติต่อสตรีอย่างไร พระพุทธเจ้าข้า”

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “อย่าดู”

            “เมื่อจำต้องดู จะปฏิบัติอย่างไร พระพุทธเจ้าข้า”

            “อย่าพูดด้วย”

            “เมื่อจำต้องพูด จะปฏิบัติอย่างไร พระพุทธเจ้าข้า”

            “ต้องตั้งสติไว้”[๑๒]

          จะเห็นว่า ในพระสูตรนี้ พระพุทธเจ้ามิได้ได้ทรงมีท่าทีในเชิงปฏิเสธว่า อย่าพบปะหรือพูดคุยกับสตรี  สิ่งเหล่านี้พระภิกษุสามารถที่จะทำได้  แต่การแสดงออกในลักษณะเหล่านี้ควรที่จะยืนอยู่บนฐานของสติ หรือมีความรู้เท่าทันเมื่อตาเห็นรูป หูฟังเสียง เป็นต้น  เมื่อเป็นเช่นนี้ศีลหรือวินัยของพระภิกษุก็จะไม่เศร้าหมอง

          ในขณะเดียวกัน คำว่า “มีสติ” นั้น  พระอรรถกถาจารย์ได้ชี้ให้เห็นว่า ภิกษุต้องตั้งสติทุกขณะจิตตลอดเวลาที่ปฏิสัมพันธ์กับสตรี  ห้ามพลั้งเผลอ  ต้องควบคุมจิตให้คิดในทางที่ดีงามต่อสตรีหรือควบคุมจิตให้คิดต่อสตรีในทางที่ดีงาม  เช่น  รู้สึกว่าเป็นแม่ในสตรีที่อยู่ในวัยแม่  รู้สึกว่าเป็นพี่สาว น้องสาว ในสตรีที่อยู่ในวันที่เป็นพี่สาวเป็นน้องสาว  รู้สึกว่าเป็นลูกสาวในสตรีที่อยู่ในวัยสาวๆ[๑๓]

          ในขณะเดียวกัน  นัยสำคัญอีกประการหนึ่งเกี่ยวกับท่าทีที่พระภิกษุพึงจะมีต่อสตรีนั้น  มีปรากฏอยู่ในภารทวาชสูตร  ซึ่งพระเจ้าอุเทนได้ตรัสถามท่านปิณโฑลภารทวาชะว่า “เหตุใด  พระภิกษุหนุ่มๆ มีผมดำสนิท  จึงยังไม่หมดกามราคะ  จึงบวชอยู่ได้นาน หรือบวชได้ตลอดชีวิต” ท่านชี้ให้เห็นว่า พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ว่า

“ภิกษุทั้งหลาย เธอเห็นสตรีมีอายุคราวแม่ จงตั้งจิตเอาไว้ว่า “หญิงนี้เป็นแม่ของตน  เธอเห็นสตรีมีอายุคราวพี่สาว หรือน้องสาว  จงตั้งจิตว่า หญิงเป็นพี่สาว หรือน้องสาวของเรา  เธอเห็นสตรีมีอายุคราวลูก  จงตั้งจิตว่าหญิงนี้เป็นลูกของเรา ด้วยความคิดอย่างนี้แล เป็นเหตุให้ภิกษุหนุ่ม ๆ เหล่านั้นรักษาพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์อยู่ได้นาน หรืออยู่ได้ตลอดชีวิต”[๑๔]       

           ในขณะเดียวกัน  นอกจากพระองค์จะมุ่งเน้นให้พระภิกษุมีทัศนคติที่ถูกต้องต่อเพศตรงข้ามแล้ว  พระองค์ยังได้มุ่งเน้นให้พระภิกษุพิจารณาร่างกายให้ละเอียดมากยิ่งขึ้นต่อไปอีกว่า “เธอจงพิจารณาร่างกายนี้แหละ เบื้องบนตั้งแต่พื้นเท้าขึ้นไป  เบื้องต่ำตั้งแต่ปลายผมลงมา ซึ่งมีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ  ภายในเต็มไปด้วยของไม่สะอาด คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก อุจจาระ ปัสสาวะ ฯลฯ ล้วนเป็นสิ่งสกปรก  น่ารังเกียจ  น่าขยะแขยง  ดังนี้[๑๕]

          ท่าทีเหล่านี้  เป็นท่าทีที่พระองค์ต้องการให้พระภิกษุอบรมศีล  สมาธิ  และปัญญา  โดยให้พระภิกษุสำรวมอินทรีย์ ๖  เมื่อเวลาเห็นรูปด้วยตาแล้ว อย่าถือเอาโดยนิมิต คือ ความงามเป็นส่วนรวม อย่าถือเอาโดยอนุพยัญชนะ  คือ แยกความสวยงามออกเป็นส่วน ๆ  ถ้าจะเกิดความรักในฐานะที่เป็นปุถุชนคนหนุ่มที่มีร่างกายสดใส  ย่อมจะเกิดความกำหนัดรักใคร่เพศตรงข้ามหรือถ้าจะมีความรักตน หรือรักผู้อื่น  พระพุทธเจ้าก็ทรงเน้นสอนให้พระภิกษุพิจารณาสติปัฏฐาน ๔  กล่าวคือ  พิจารณาให้เห็นกายในกาย  เวทนาในเวทนา  จิตในจิต  ธรรมในธรรม  โดยใช้ความเพียร  สติสัมปชัญญะ  เมื่อเป็นเช่นนี้  พระภิกษุที่พิจารณาอย่างต่อเนื่องจะทำให้กำจัดอภิชฌา และโทมนัสเสียได้[๑๖]  การมีท่าทีต่อเพศตรงข้ามและการพิจารณาขันธ์ ๕  โดยแยกย่อยลงไปเรื่อย ๆ นั้นก็จะกลายเป็นแรงหนุนสำคัญในการทำให้พระภิกษุทราบความเป็นจริงเกี่ยวกับขันธ์ ๕  อย่างแจ่มชัด  และจะทำให้คลายจากความกำหนัดมากยิ่งขึ้น  อันจะทำให้การบำเพ็ญสมณธรรม หรือการประพฤติพรหมจรรย์ของพระภิกษุเหล่านั้นมีความเจริญก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง และทำให้เข้าถึงความจริงสูงสุดในพระพุทธศาสนาได้ในที่สุด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่