JJNY : “ฮาคูโฮโด”เผยผลสำรวจ│‘กองทุนราษฎรฯ’จดทะเบียน│แห่แชร์กราฟิกส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์สื่อรัฐ│สหพันธ์ขนส่งฯจี้ตรึงดีเซล

“ฮาคูโฮโด” เผยผลสำรวจล่าสุด พบคนไทยความสุขลดลง พยายามเอาตัวรอดจากเศรษฐกิจ เน้นรายได้จากหลายช่องทาง แต่ไม่ลืมครอบครัว เสนอแบรนด์ควรให้ความสำคัญกับครอบครัว ความปลอดภัย และมั่งคั่ง
https://www.pptvhd36.com/news/เศรษฐกิจ/170872

ร้อนนี้ ความสุขลดลง เน้นช้อปสิ่งที่จำเป็นเพื่อครอบครัว ใส่ใจความมั่นคง และความปลอดภัย
 
•    ฮาคูโฮโด เปิดผลสำรวจใหม่ล่าสุด พบว่าค่าความสุขของคนไทยลดลง เนื่องจากวิกฤติไวรัสโควิด-19 ที่ยังคงแพร่ระบาดอย่างรุนแรงตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ประกอบกับเศรษฐกิจในปัจจุบันอยู่ในภาวะที่ฝืดเคือง 
 
•    ผลกระทบจากสถานการณ์โควิดเข้มข้นสู่เศรษฐกิจฝืดเคือง ทำให้คนไทยหันมาใส่ใจความปลอดภัยและมั่งคั่ง  พร้อมเสนอแบรนด์ขยายทำการตลาดเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ในครอบครัว
 
กรุงเทพฯ ประเทศไทย, เมษายน 2565 – สถาบันวิจัยความเป็นอยู่ฮาคูโฮโด อาเซียน (ประเทศไทย) หรือ Hakuhodo Institute of Life and Living ASEAN (THAILAND) รวมกับบริษัทในเครือฯ ฮาคูโฮโด เฟิร์ส (ประเทศไทย) Hakuhodo First (Thailand) เผยผลสำรวจการคาดการณ์พฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคในประเทศไทยประจำเดือนเมษายน พ.ศ. 2565 พบว่า การแพร่ระบาดของโควิดทำให้ ค่าความสุขของคนไทยนั้นลดลง  คนไทยให้ความสำคัญกับสินค้าที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวและสุขภาพ พร้อมใส่ใจความมั่งคั่งและความปลอดภัยมากขึ้น พร้อมให้ข้อเสนอแนะแก่แบรนด์ต่าง ๆ ในการเร่งทำการตลาดเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ในครอบครัว อาทิ ชวนคลายเครียดด้วยกิจกรรมใหม่ ๆ เน้นเสริมความสัมพันธ์กับครอบครัวแต่ยังปลอดภัยหลบโควิด หรือเสนอโปรโมชันช่วงซัมเมอร์ที่แปลกใหม่ ที่สามารถส่งความรักความห่วงใยถึงกันได้มากขึ้น

ผลสำรวจประจำเดือนเมษายน พ.ศ. 2565 เผยให้เห็นถึงภาพรวมของค่าความสุขของคนไทยที่ลดน้อยลงเมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ที่ยังคงระบาดอย่างต่อเนื่อง รวมถึงสภาวะเศรษฐกิจที่ฝืดเคืองซึ่งสร้างความกังวลใจให้กับคนไทยเป็นอย่างมาก ส่งผลให้คนไทยหันมาใส่ใจในเรื่องของความปลอดภัยความมั่งคั่ง และการจับจ่ายใช้สอยอย่างระมัดระวัง 

คุณชุติมา วิริยะมหากุล  ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจ สถาบันวิจัยความเป็นอยู่ฮาคูโฮโด อาเซียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า “จริง ๆ แล้วคนไทยนั้นชอบช้อป แต่เนื่องด้วยสถานการณ์ต่างๆ ตอนนี้ ทำให้สินค้าหลายๆ อย่างมีราคาสูงขึ้น ทั้งสินค้าอุปโภคและบริโภค ทำให้คนไทยระมัดระวังเรื่องของการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น และซื้อของที่ไม่จำเป็นลดลง”

แนวโน้มความต้องการในการใช้จ่ายจากผลสำรวจการคาดการณ์พฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคในประเทศไทยประจำเดือนเมษายน พ.ศ. 2565 พบว่า รายการสินค้าที่ผู้บริโภคไทยให้ความสำคัญมากที่สุดในช่วงนี้ได้แก่ อาหาร ของใช้ในชีวิตประจำวัน และโทรศัพท์มือถือ ตามลำดับ สาเหตุเกิดจากการเตรียมตัวให้พร้อมต้อนรับช่วงเทศกาลสงกรานต์ เพื่อสังสรรค์กับครอบครัว เน้นซื้อของที่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวัน และยังคงให้ความสำคัญกับการซื้อของต่าง ๆ เพื่อคนในครอบครัว
  
แม้จะมีข้อจํากัดจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 แต่คนไทยยังคงให้ความสำคัญกับความสำคัญกับครอบครัวและเครือญาติ อย่างการรวมตัวกันเพื่อเฉลิมฉลองในวันปีใหม่ไทย และการไหว้บรรพบุรุษ แต่จะถูกปรับเปลี่ยนวิธีมาเป็นการเฉลิมฉลองด้วยวิธีที่ปลอดภัยอย่างการฉลองที่บ้าน แทนการออกไปนอกสถานที่  ทำให้ผลสำรวจออกออกมาสอดคล้องกับพฤติกรรมการซื้ออาหารกักตุนไว้ที่บ้านช่วงสงกรานต์”  คุณดวงแก้ว ไชยสุริวิรัตน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ บริษัท ฮาคูโฮโด เฟิร์ส (ประเทศไทย) กล่าวเสริม

อย่างไรก็ตาม สถาบันวิจัยความเป็นอยู่ฮาคูโฮโด อาเซียน (ประเทศไทย) กลับพบอีกประเด็นหนึ่งที่แบรนด์ควรให้ความสำคัญ ได้แก่ ประเด็นด้านสงครามการเมือง เศรษฐกิจ การลงทุน และอาชญากรรม ที่ส่งผลให้สินค้าอุปโภคและบริโภคมีราคาสูงขึ้น ทำให้คนไทยมองหาความมั่งคั่งมากกว่างานที่มั่นคง เพื่อให้มีรายได้ที่มากขึ้นชดเชยกับค่าใช้จ่าย และต้องวางแผนการจับจ่ายให้รัดกุมมากขึ้น ลดการเดินทางและการท่องเที่ยว แต่ยังคงใส่ใจครอบครัวด้วยการซื้อของให้ญาติผู้ใหญ่ในวันสำคัญเพื่อสื่อความห่วงใยแม้ตัวห่างไกลกัน  
 
เพื่อให้แบรนด์สามารถทำการตลาดได้สอดคล้องกับสถานการณ์ช่วงซัมเมอร์นี้ คุณพรนภัส สุลัยมณี นักวางแผนกลยุทธ์ ฮาคูโฮโด เฟิร์ส (ประเทศไทย) ได้ให้คำแนะนำว่า
 
แบรนด์ควรชวนคลายเครียดด้วยกิจกรรมใหม่ๆ เน้นเสริมความสัมพันธ์กับครอบครัวแต่ยังปลอดภัยหลบโควิด เพราะเทศกาลสงกรานต์เป็นช่วงเวลาของครอบครัว ที่แบรนด์สามารถเข้าไปเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ  เปลี่ยนบรรยากาศการเฉลิมฉลองกับครอบครัว สนับสนุนการอุปโภคและบริโภคสินค้าภายในบ้านที่ดีต่อสุขภาพและจิตใจเป็นหลัก เพื่อชดเชยข้อจำกัดด้านการเดินทางท่องเที่ยว หรือ กลับบ้านไปหาครอบครัวในช่วงโควิดโอไมครอนนี้
 
เสนอโปรโมชันช่วงซัมเมอร์ที่แปลกใหม่ พร้อมสนับสนุนการส่งความรักความห่วงใยถึงกัน เพื่อต้อนรับช่วงเวลาที่สำคัญของครอบครัว อย่างการส่งมอบความรักความห่วงใยให้กับครอบครัวหรือคนที่เรารักแม้อยู่ห่างไกลกัน
   
สถานการณ์เช่นนี้ถือเป็นความท้าทายของทุกๆ ฝ่ายในการที่จะต้องปรับตัวเพื่อให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ แม้ว่าโควิด- 19 จะทำให้เราไม่สามารถเดินทางไปท่องเที่ยวที่ไหนไกล แต่เรายังสามารถแสดงความห่วงใยให้คนที่เรารักและกระชับความสัมพันธ์กับสมาชิกในครอบครัวหรือคนสำคัญในชีวิตของเราได้ สถาบันวิจัยความเป็นอยู่ฮาคูโฮโด อาเซียน (ประเทศไทย) เราเล็งเห็นถึงช่องว่างนี้ และหวังว่าแบรนด์ต่างๆ จะนำข้อเสนอแนะนี้ไปปรับใช้กับแผนการตลาดของตน เพื่อให้สามารถรับมือกับผลกระทบจากสถานการณ์โควิดเข้มข้นสู่เศรษฐกิจฝืดเคือง และเพิ่มความสุขให้คนไทยในไตรมาสต่อไปได้” คุณพรนภัส สุลัยมณี กล่าวปิดท้าย
 

  
ย้าย 9 ล้าน ‘กองทุนราษฎรฯ’ จดทะเบียน ‘มูลนิธิสิทธิอิสรา’ สานการต่อสู้ระยะยาว
https://www.matichon.co.th/politics/news_3310807

ย้าย 9 ล้าน ‘กองทุนราษฎรฯ’ จดทะเบียน ‘มูลนิธิสิทธิอิสรา’ สานการต่อสู้ระยะยาว
 
เมื่อเวลา 18.33 น. วันที่ 26 เมษายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กองทุนราษฎรประสงค์ กองทุนเพื่อการประกันตัวคดีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมือง ได้โพสต์ข้อความผ่านทางแฟนเพจ แจ้งข่าวราษฎรผู้บริจาคเงินเข้ากองทุน ถึงความคืบหน้าล่าสุดเรื่องการปิดบัญชีบริจาคเดิมในนามบุคคล และเปิดบัญชีบริจาคใหม่ในนาม “มูลนิธิสิทธิอิสรา” ความว่า
 
เราขอแจ้งข่าวดีแก่ทุกท่านว่า บัดนี้เราสองคนซึ่งเป็นผู้ดูแลบัญชีบริจาคของทุกท่านในนาม กองทุนราษฎรประสงค์ ได้สามารถจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิขึ้นมา เพื่อเป็นองค์กรนิติบุคคลตามกฎหมายที่จะมาดูแลเงินบริจาคของทุกท่านต่อไป แทนการใช้บัญชีชื่อบุคคลธรรมดาของเราบัญชีเดิม ซึ่งไม่มีฐานะทางกฎหมายเป็นหลักประกันเพียงพอสำหรับการปกป้องดูแลเงินบริจาคจำนวนมหาศาลของทุกท่านให้ยั่งยืนและปลอดภัยได้ในระยะยาว
 
มูลนิธิที่เราจัดตั้งขึ้นมานี้ ใช้ชื่อว่า มูลนิธิสิทธิอิสรา ซึ่งรับกองทุนราษฎรประสงค์เข้ามาอยู่ในความดูแลภายใต้ชื่อบัญชีดังแสดงในภาพที่ 1 คือ บัญชีธนาคารกสิกรไทย สาขาศาลยุติธรรม บัญชีออมทรัพย์เลขที่ 125-8-64752-8 ชื่อบัญชี มูลนิธิสิทธิอิสรา
 
โดยเราได้ปิดบัญชีเดิมที่เป็นชื่อบุคคลสองคนคือ ชลิตา บัณฑุวงศ์ และไอดา อรุณวงศ์ฯ ลงแล้วในวันนี้ (26 เม.ย. 65 ณ เวลา 14.16 น.) และได้โอนเงินทั้งหมดที่อยู่ในบัญชีเดิม จำนวน 9,949,740.45 บาท (เก้าล้านเก้าแสนสี่หมื่นเก้าพันเจ็ดร้อยสี่สิบบาทสี่สิบห้าสตางค์) เข้ามาอยู่ในบัญชีมูลนิธิเรียบร้อยแล้ว ดังหลักฐานภาพที่ 2 และสลิปถอนเงินจากบัญชีเดิมกับสลิปฝากเข้าบัญชีใหม่ในภาพที่ 3
 
ส่วนหลักฐานยอดเงินสุดท้ายในบัญชีเดิม ดูได้ในภาพที่ 4 ซึ่งมียอดอยู่ ณ เวลา 14.15 น. จำนวน 9,943,525.85 บาท และเมื่อเราแจ้งปิดบัญชี ธนาคารได้โอนดอกเบี้ยมาให้อีกในเวลา 14.16 น. จำนวน 6,214.60 บาท ทำให้ยอดเงินเมื่อถอนปิดบัญชี ณ เวลา 14.16 น. จึงอยู่ที่ 9,949,740.45 บาท ดังหลักฐานในภาพที่ 5
 
บัญชีที่เปิดขึ้นใหม่ในชื่อมูลนิธิบัญชีนี้ จะเป็นบัญชีสำหรับเงินของกองทุนราษฎรประสงค์ ที่จะไม่มีการเบิกจ่ายไปใช้ในเรื่องอื่นใดทั้งสิ้นนอกจากการวางประกันและชำระค่าปรับดังที่เคยเป็นมา และแม้เปลี่ยนฐานะเป็นมูลนิธิแล้ว แต่เราจะยังคงใช้หน้าเพจกองทุนราษฎรประสงค์แห่งนี้ เป็นพื้นที่รายงานการใช้จ่ายของกองทุนราษฎรประสงค์ทุกบาทสตางค์พร้อมแสดงหลักฐานแก่ผู้บริจาคทุกครั้งที่มีการเบิกจ่ายดังเช่นเคย กองทุนราษฎรประสงค์จะยังคงเป็นของทุกท่าน และการเปลี่ยนฐานะเป็นมูลนิธิก็เพื่อให้แน่ใจด้วยว่า แม้นหากว่าเกิดอะไรขึ้นกับเราสองคนในฐานะผู้เคยถือบัญชีมา ก็จะยังมีฐานะนิติบุคคลของความเป็นมูลนิธิ ที่จะดูแลรักษาให้เงินในกองทุนราษฎรประสงค์ยังคงเป็นของทุกท่านต่อไปภายใต้หลักการเดิม
 
อนึ่ง การจัดตั้งเป็นมูลนิธิ แม้มีข้อดีเรื่องความมั่นคงจากการได้รับการรับรองตามกฎหมาย แต่ก็ทำให้เกิดความจำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายในการจ้างบุคลากรและการจัดการองค์กรรวมถึงสถานที่ ซึ่งเดิมไม่เคยมี รวมทั้งการทำกิจกรรมอื่นของมูลนิธิตามวัตถุประสงค์ของการจัดตั้ง แต่เราก็จะไม่นำเงินบริจาคเพื่อการประกันตัวมาใช้ในกิจการอื่นเหล่านี้ เราจะเปิดอีกบัญชีแยกต่างหากสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน หากว่าท่านจะร่วมให้การสนับสนุนต่อไป โดยเราจะจำกัดการใช้จ่ายให้มีเฉพาะที่จำเป็น (และเราสองคนจะยังคงไม่รับค่าตอบแทนเช่นเดิม) เพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ทุกท่าน และจะได้รายงานการใช้จ่ายและการดำเนินงานในนามมูลนิธิต่อสาธารณะ ผ่านทางเพจและเว็บไซต์ของมูลนิธิซึ่งจะได้จัดทำขึ้นต่อไป
 
สำหรับในวันนี้ เราเพียงต้องการมาแจ้งให้ทุกท่านได้ทราบและช่วยกันกระจายข่าวถึงบัญชีที่เปลี่ยนไป และให้ทุกท่านได้บอกต่อกันไปด้วยความภูมิใจว่า ด้วยพลังแห่งเจตจำนงที่แสดงผ่านการลงแรงทุกบาททุกสตางค์ในยามยากที่ผ่านมา บัดนี้ทุกท่านได้มีมูลนิธิเพื่อสืบสานและรักษาประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อสิทธิและอิสรภาพของราษฎรแล้ว
ขอแสดงความนับถือ
  
ชลิตา บัณฑุวงศ์ และไอดา อรุณวงศ์
#กองทุนราษฎรประสงค์ #มูลนิธิสิทธิอิสรา

https://www.facebook.com/willofthepeoplefund/posts/374035374655575
 


แห่แชร์ กราฟิกส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ ของสื่อรัฐ ชาวเน็ตแห่เมนต์ตรึม!
https://www.matichon.co.th/politics/news_3310813

แห่แชร์ กราฟิกส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ ของสื่อรัฐ ชาวเน็ตแห่เมนต์ตรึม!
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวเน็ตแห่แชร์พร้อมวิพากวิจารณ์ กราฟิกของส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ ของ เฟซบุ๊ก PR Thai Government ของกรมประชาสัมพันธ์ ที่มีการประชาสัมพันธ์ การส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ของไทยให้เป็นที่รู้จักทั่วโลก โดยกระทรวงวัฒนธรรม มุ่งมั่นที่จะส่งเสริม “5 Fs” ในวัฒนธรรมไทย ให้กลายเป็นสินค้าส่งออกทางวัฒนธรรมที่สำคัญของประเทศไทย ได้แก่ อาหาร ภาพยนตร์ แฟชั่น การต่อสู้ (ศิลปะการต่อสู้ของไทย) และเทศกาล
 
ทั้งนี้ เฟซบุ๊กดังกล่าวโพสต์ประชาสัมพันธ์ ตั้งแต่ช่วงเย็นของวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมา โดยมีชาวเน็ตแชร์โพสต์ และแสดงความคิดเห็นกว่า 7 พันครั้ง อาทิ 
 
งบจ้างแอดมินทำกราฟฟิก 20฿ ป่ะคะ, 
ทำให้ไหม โปสเตอร์สวยๆอ่ะ ฟรีก็ได้ อายชาวบ้าน, 
เฉิ่มเชยดีนะ เราเห็นแล้วเราชอบมาก 
และ เสียดายภาษีที่จ่ายไป เสียใจที่ผู้หลักผู้ใหญ่คุมหน่วยงานราชการไม่มีใครมีความสามารถตรงสายงานเลย เป็นต้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่