
ประธานมูลนิธิกัน จอมพลัง ช่วยสู้ เปิดยอดเงินบริจาค 207 ล้าน ปัจจุบันเหลือ 90 ล้าน แจงยิบปมข้อบังคับมูลนิธิ ถ้าล้มเลิกทรัพย์สินตกเป็นของ มูลนิธิธรรมนัส
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 24 ต.ค.2568 ที่โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชัน นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ กัน จอมพลัง พร้อมด้วย ประธานมูลนิธิกัน จอมพลัง ช่วยสู้ และ ฝ่ายบัญชีของมูลนิธิ ร่วมกันแถลงข่าวชี้แจงกรณีเงินบริจาคของมูลนิธิกัน จอมพลัง ช่วยสู้ ทั้งนี้ ไอซ์ น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคประชาชน ได้เดินทางมาร่วมรับฟังการแถลงครั้งนี้ด้วย
ประธานมูลนิธิ กล่าวว่า ต้องขออภัยที่อาจทำให้เข้าใจว่า ทำไมออกมาตอบคำถามช้า จากกระแสสังคม ทางคณะมูลนิธิติดได้ตามข่าวอยู่เสมอ ในข้อเท็จจริง รู้ว่าเป็นการตั้งคำถามถึงตัวกันจอมพลังโดยตรง แต่ช่วง 2 วันที่ผ่านมา ถูกตั้งคำถามตรงมาที่มูลนิธิ มีการเปิดราชกิจจาฯ ดูว่าใครอยู่ในมูลนิธิบ้าง และทำไมประธานไม่ใช่กัน จอมพลัง มีอะไรหรือไม่ ถือเป็นโอกาสดีที่ทีมงานจะชี้แจง
ประธานมูลนิธิกัน จอมพลัง ช่วยสู้ เปิดยอดเงินบริจาค 207 ล้าน ปัจจุบันเหลือ 90 ล้าน แจงยิบปมข้อบังคับมูลนิธิ ถ้าล้มเลิกทรัพย์สินตกเป็นของ มูลนิธิธรรมนัส
ประเด็นแรก เงินตั้งมูลนิธิเริ่มต้นที่ 5 แสนบาทตามข้อบังคับของกฎหมายที่จะต้องมีการนำเงินไว้ก่อน ซึ่ง 5 แสนบาทมาจากไหน คือก่อนที่เราจะมีมูลนิธิ เพื่อน ๆ ของกัน จอมพลังได้มีการลงขันช่วยกันทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อสังคมมาโดยตลอดตามที่ทุกคนเห็นผ่านเพจกันจอมพลังช่วยสู้ เราก็นำเงินตั้งต้นนี้มาตั้งมูลนิธิ
โดยมูลนิธิมีเงินเข้าทั้งหมด 207,350,262.04 บาท ปัจจุบันเราใช้เงินไปแล้วทั้งหมด 117,673,106.02 บาท และเงินคงเหลือในบัญชีอยู่ที่ 90,177,156.02 บาท แต่ข้อมูลอันนี้เราสรุปกันภายในเมื่อวาน แต่ ณ ขณะนี้ หน้างานยังคงมีการดำเนินงานกันอยู่
ส่วนประเด็นเกี่ยวกับวันที่ 8 กรกฎาคม ที่มีการเปิดเผยผ่านทางเพจต่าง ๆ ซึ่งยังไม่เป็นประเด็นอะไรทางสังคม แต่เป็นความกังวลของทางมูลนิธิเป็นอย่างมาก ว่าตรงนี้เป็นการชี้นำเพื่อที่จะชี้เป้าว่ามีการเรียกรับเงินก่อนที่มูลนิธิได้ถูกก่อตั้งมาหรือไม่
แต่ในเอกสารของราชกิจจาฯ ถ้าดูหน้าถัดไปจะมีลงวันที่เลยว่า ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายทะเบียนมูลนิธิกรุงเทพฯ ลงให้มูลนิธิกัน จอมพลัง ช่วยสู้ พร้อมที่จะดำเนินกิจการตั้งแต่วันที่ 5 ก.พ.2568
ถ้าถามว่า ทำไมกังวลเรื่องนี้ จริง ๆ เคสใหญ่มาก ๆ ของกัน จอมพลัง ช่วยสู้ เมื่อวันที่ 28 มี.ค.2568 ที่เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวและมีตึกของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินถล่ม มีผู้เสียชีวิต และเราได้เยียวยาไปทั้งหมด 98 ราย ตรงนี้ต้องขอชี้แจงก่อนว่า เราไม่มีการเรียกรับเงินก่อนที่มูลนิธิจะจัดตั้งเสร็จ แต่เรียกรับหลังจากนั้น
ส่วนประเด็นสำคัญต่อมาคือ เรื่องข้อบังคับมูลนิธิข้อที่ 39 ในเรื่องของการเลิกไปซึ่งมูลนิธิ ตรงนี้ขอชี้แจงว่า ในครั้งแรกที่เรามีการยื่นเอกสารพวกเราก็น้องใหม่หมดเลย ความคิดเดียวคือทำอย่างไรที่จะเร่งจัดตั้งมูลนิธิให้ไวที่สุด เพราะในช่วงนั้นที่ได้เข้ามาช่วยกัน จอมพลัง ทำงาน มีเคสอย่างมาก
เราพูดตรง ๆ เลยว่า เพื่อนกันที่ช่วยกันอยู่ก็เริ่มจะไม่ไหวแล้ว เงินเราก็ ทุกคนก็ทำสัมมาอาชีพสุจริต ลงขันกันมาทำแต่มันไม่ไหว แต่จะทำยังไงดี เคสรันเรียกว่าในเพจทุก ๆ 1 วินาทีจะมีความช่วยเหลือเข้ามา เราจึงอยากจะเร่งจัดตั้งมูลนิธิให้ไวที่สุด
เราอาจจะมีความบกพร่องหรือยังไงไปเราจะมาไล่เรียงกัน เราส่งเอกสารไปครั้งแรกเราถูกตีตก เพราะว่าในข้อนี้เราไม่รู้ว่าเราจะต้องใส่อะไร จำเป็นต้องใส่อะไรด้วยหรอ ต้องยกทรัพย์สินให้ใครหรอ ซึ่งตรงนี้จะให้ฝ่ายบัญชีเป็นผู้ให้ข้อมูล เพราะเขาจะให้รายละเอียดเกี่ยวกับข้อกฎหมายได้ดีกว่าว่าทำไมข้อนี้เราถึงจะต้องมีการใส่ให้มูลนิธิใดมูลนิธิหนึ่งไป
ฝ่ายบัญชี กล่าวว่า ปัญหามันอยู่ที่ข้อบังคับที่ 39 ซึ่งเป็นข้อบังคับในการจดทะเบียนมูลนิธิ ซึ่งเราจะต้องระบุว่า ถ้าเผื่อมูลนิธิจดทะเบียนเลิกจะต้องระบุไว้ว่าจะต้องมีมูลนิธิใดเข้ามาบริหารงานนี้ต่อไป ซึ่งเท่าที่ตนมองว่า มีคนเข้าใจผิด ขอท้าวความว่า ถ้าบริจาคเงินให้กับมูลนิธิแล้วเงินนั้นจะเป็นของมูลนิธิ เมื่อมูลนิธิเลิกแล้วเงินและทรัพย์สินจะต้องตกเป็นของมูลนิธิอื่นอันนี้เป็นการเข้าใจคลาดเคลื่อน
ตนอยากชี้แจงว่า เงินที่บริจาคมาไม่ใช่รายได้ทุนประเมินของมูลนิธิ ท่านบริจาคมาก็คือเงินบริจาคก็คือวางอยู่ตรงนั้น มูลนิธิต้องทำหน้าที่ตามวัตถุประสงค์ซึ่งบรรจุไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 110 ซึ่งท่านไปดูได้ เราทำหน้าที่ตรงนี้เท่านั้น
เพราะฉะนั้นเมื่อใดก็ตามที่มูลนิธิจดทะเบียนเลิก จะด้วยเหตุใด ๆ ก็ตาม กฎหมายจึงบังคับไว้ว่าให้มูลนิธิอื่นหรือนิติบุคคลอื่นใดบริหารจัดการต่อ เพื่อที่ไม่ให้ทรัพย์สินหรือเงินที่ผู้บริจาคบริจาคเข้ามาสูญหายไป เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ เป็นประโยชน์ต่อผู้ที่บริจาค แล้วการที่จะออกข้อบังคับตามนี้ เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 134
ซึ่งมาตรา 134 ระบุไว้ชัดว่า เมื่อได้ชำระบัญชีแล้ว ให้โอนทรัพย์สินของมูลนิธิให้แด่มูลนิธิหรือนิติบุคคลที่มีจุดประสงค์ตามมาตรา 110 ซึ่งได้ระบุชื่อไว้ในข้อบังคับของมูลนิธิ ถ้าข้อบังคับของมูลนิธิมิได้ระบุชื่อของมูลนิธิหรือนิติบุคคลดังกล่าวไว้
พนักงานอัยการผู้ชำระบัญชี ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียคนใดคนหนึ่งอาจร้องต่อศาลให้จัดสรรทรัพย์สินนั้นให้กับมูลนิธิหรือนิติบุคคลอื่นที่ปรากฏว่ามีวัตถุประสงค์ใกล้ชิดที่สุดกับวัตถุประสงค์ของมูลนิธินั้น ๆ ถ้ามูลนิธินั้น ๆ ถูกศาลสั่งห้ามหรือสั่งยกเลิกตามมาตรา 131(1) หรือ (2) ก็ดี หรือการจัดสรรทรัพย์สินวรรคหนึ่งไม่อาจกระทำได้ โดยทรัพย์สินของมูลนิธิจะต้องตกเป็นของแผ่นดินตามประมวลมาตรานี้
เพราะฉะนั้นอันนี้ไม่ใช่ทรัพย์สินของมูลนิธิ มันเป็นการที่เขาให้รับช่วงต่อ คือรักษาผลประโยชน์ของผู้ที่บริจาคไปดำเนินการต่อไป
ด้าน ประธานมูลนิธิฯ กล่าวว่า การที่เราจะดำเนินมูลนิธิวัตถุประสงค์ 1 คือ วัตถุประสงค์ของผู้บริจาค กับ 2 ถ้าเขาไม่ได้ระบุไว้ว่าเขาบริจาคมาเพื่ออะไร ก็ต้องให้ถือว่าเป็นไปตามข้อบังคับวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ
ดังนั้น ถ้าตัวมูลนิธิกัน จอมพลัง ช่วยสู้ ถูกตรวจพบจากกระทรวงมหาดไทย หรือหน่วยงานต่าง ๆ ว่ามูลนิธิกันฯโอนออกไปให้มูลนิธิธรรมนัส พรหมเผ่า ตรงนี้เราจะมีความผิดในข้อบังคับ ซึ่งยังไม่มีการเกิดขึ้น
ตั้งแต่เปิดมูลนิธิมาในความดูแลของตนนั้น กล้ายืนยันได้ว่า ไม่มีการโอนเงินออกไปยังมูลนิธิธรรมนัส พรหมเผ่า ทุกกรณี ตั้งแต่เปิดมูลนิธิมามีเหตุการณ์ที่เราโอนเงินไปยังมูลนิธิอื่นเพียงแค่ 2 มูลนิธิ คือ โอนให้มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ กับ มูลนิธิเพื่อนพึ่งพายามยาก
แต่ต้องบอกว่า ในส่วนของตรงนี้มันเป็นเรื่องของวัตถุประสงค์ของผู้ที่บริจาค ก็คือ แจ็คสัน หวัง ณ ขณะนั้นก็คือที่มีข่าวหมดเลยว่าบริจาคเงิน 3 ล้านกว่าบาท ณ วันนั้นทุกคนน่าจะจำได้ดี โดยที่เขาประสงค์เลยว่าให้มีการบริจาคต่อไปอีก 2 มูลนิธิ
ซึ่งตรงนี้เราก็ทำถูกต้องตามประสงค์ของผู้บริจาค เราก็โอนไปที่มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่งยามยาก 1,160,000 บาท และ มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ 1,160,000 บาท และเหลือเงินคงเหลือในส่วนนี้ 1,080,819 บาทที่คงอยู่ที่มูลนิธิ
นายกัณฐัศว์ กล่าวว่า เราไม่คิดว่ามันจะมีปัญหาแบบนี้ แต่วันนี้พอเรื่องมันเกิด อาจจะทำให้หลายคนรู้สึกไม่สบายใจ มีคนไปบิดข่าวจนมันคลาดเคลื่อน ยืนยันว่ามูลนิธิที่เราทำกัน ไม่ได้มีเจตนาว่าเราทำวันนี้จะต้องเอาเงินไปให้ใคร โดยที่ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีเงินไปถึงใครเลย ไปถึงมูลนิธิธรรมนัส พรหมเผ่า เอาชัด ๆ เลย
ดังนั้น เพื่อความสบายใจของทุก ๆ ท่าน วันนั้นตนอาจจะคิดน้อย ไม่คิดว่าเราจะมาถึงตรงนี้ขนาดนี้ ซึ่งเราได้พูดคุยกันแล้วและได้ประสานไปยังมูลนิธิที่มีความมั่นคงมาก ๆ แห่งหนึ่ง เราจะเปลี่ยนในข้อบังคับ 39
ซึ่งวันนี้บอกตรง ๆ ว่าตนไม่อยากนำชื่อของมูลนิธินั้นออกมาพูดตรงนี้ เพราะการที่เราเอาออกมาพูดเดี๋ยวหาว่าเราไปโหนเขา หรือเอาชื่อเขามาใช้ในเวลาที่เรามีปัญหา หลังจากนี้ตนเชื่อว่าทุกคนจะสามารถตรวจสอบได้ว่าเราเปลี่ยนไปที่มูลนิธิใด แต่ตนเชื่อว่าเป็นมูลนิธิที่ดี ทำศักยภาพใหญ่มากและมีความมั่นคงมาก ๆ... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_9990025
ประธานมูลนิธิกัน จอมพลัง ช่วยสู้ เปิดยอดเงินบริจาค 207 ล้าน
ประธานมูลนิธิกัน จอมพลัง ช่วยสู้ เปิดยอดเงินบริจาค 207 ล้าน ปัจจุบันเหลือ 90 ล้าน แจงยิบปมข้อบังคับมูลนิธิ ถ้าล้มเลิกทรัพย์สินตกเป็นของ มูลนิธิธรรมนัส
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 24 ต.ค.2568 ที่โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชัน นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ กัน จอมพลัง พร้อมด้วย ประธานมูลนิธิกัน จอมพลัง ช่วยสู้ และ ฝ่ายบัญชีของมูลนิธิ ร่วมกันแถลงข่าวชี้แจงกรณีเงินบริจาคของมูลนิธิกัน จอมพลัง ช่วยสู้ ทั้งนี้ ไอซ์ น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคประชาชน ได้เดินทางมาร่วมรับฟังการแถลงครั้งนี้ด้วย
ประธานมูลนิธิ กล่าวว่า ต้องขออภัยที่อาจทำให้เข้าใจว่า ทำไมออกมาตอบคำถามช้า จากกระแสสังคม ทางคณะมูลนิธิติดได้ตามข่าวอยู่เสมอ ในข้อเท็จจริง รู้ว่าเป็นการตั้งคำถามถึงตัวกันจอมพลังโดยตรง แต่ช่วง 2 วันที่ผ่านมา ถูกตั้งคำถามตรงมาที่มูลนิธิ มีการเปิดราชกิจจาฯ ดูว่าใครอยู่ในมูลนิธิบ้าง และทำไมประธานไม่ใช่กัน จอมพลัง มีอะไรหรือไม่ ถือเป็นโอกาสดีที่ทีมงานจะชี้แจง
ประธานมูลนิธิกัน จอมพลัง ช่วยสู้ เปิดยอดเงินบริจาค 207 ล้าน ปัจจุบันเหลือ 90 ล้าน แจงยิบปมข้อบังคับมูลนิธิ ถ้าล้มเลิกทรัพย์สินตกเป็นของ มูลนิธิธรรมนัส
ประเด็นแรก เงินตั้งมูลนิธิเริ่มต้นที่ 5 แสนบาทตามข้อบังคับของกฎหมายที่จะต้องมีการนำเงินไว้ก่อน ซึ่ง 5 แสนบาทมาจากไหน คือก่อนที่เราจะมีมูลนิธิ เพื่อน ๆ ของกัน จอมพลังได้มีการลงขันช่วยกันทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อสังคมมาโดยตลอดตามที่ทุกคนเห็นผ่านเพจกันจอมพลังช่วยสู้ เราก็นำเงินตั้งต้นนี้มาตั้งมูลนิธิ
โดยมูลนิธิมีเงินเข้าทั้งหมด 207,350,262.04 บาท ปัจจุบันเราใช้เงินไปแล้วทั้งหมด 117,673,106.02 บาท และเงินคงเหลือในบัญชีอยู่ที่ 90,177,156.02 บาท แต่ข้อมูลอันนี้เราสรุปกันภายในเมื่อวาน แต่ ณ ขณะนี้ หน้างานยังคงมีการดำเนินงานกันอยู่
ส่วนประเด็นเกี่ยวกับวันที่ 8 กรกฎาคม ที่มีการเปิดเผยผ่านทางเพจต่าง ๆ ซึ่งยังไม่เป็นประเด็นอะไรทางสังคม แต่เป็นความกังวลของทางมูลนิธิเป็นอย่างมาก ว่าตรงนี้เป็นการชี้นำเพื่อที่จะชี้เป้าว่ามีการเรียกรับเงินก่อนที่มูลนิธิได้ถูกก่อตั้งมาหรือไม่
แต่ในเอกสารของราชกิจจาฯ ถ้าดูหน้าถัดไปจะมีลงวันที่เลยว่า ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายทะเบียนมูลนิธิกรุงเทพฯ ลงให้มูลนิธิกัน จอมพลัง ช่วยสู้ พร้อมที่จะดำเนินกิจการตั้งแต่วันที่ 5 ก.พ.2568
ถ้าถามว่า ทำไมกังวลเรื่องนี้ จริง ๆ เคสใหญ่มาก ๆ ของกัน จอมพลัง ช่วยสู้ เมื่อวันที่ 28 มี.ค.2568 ที่เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวและมีตึกของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินถล่ม มีผู้เสียชีวิต และเราได้เยียวยาไปทั้งหมด 98 ราย ตรงนี้ต้องขอชี้แจงก่อนว่า เราไม่มีการเรียกรับเงินก่อนที่มูลนิธิจะจัดตั้งเสร็จ แต่เรียกรับหลังจากนั้น
ส่วนประเด็นสำคัญต่อมาคือ เรื่องข้อบังคับมูลนิธิข้อที่ 39 ในเรื่องของการเลิกไปซึ่งมูลนิธิ ตรงนี้ขอชี้แจงว่า ในครั้งแรกที่เรามีการยื่นเอกสารพวกเราก็น้องใหม่หมดเลย ความคิดเดียวคือทำอย่างไรที่จะเร่งจัดตั้งมูลนิธิให้ไวที่สุด เพราะในช่วงนั้นที่ได้เข้ามาช่วยกัน จอมพลัง ทำงาน มีเคสอย่างมาก
เราพูดตรง ๆ เลยว่า เพื่อนกันที่ช่วยกันอยู่ก็เริ่มจะไม่ไหวแล้ว เงินเราก็ ทุกคนก็ทำสัมมาอาชีพสุจริต ลงขันกันมาทำแต่มันไม่ไหว แต่จะทำยังไงดี เคสรันเรียกว่าในเพจทุก ๆ 1 วินาทีจะมีความช่วยเหลือเข้ามา เราจึงอยากจะเร่งจัดตั้งมูลนิธิให้ไวที่สุด
เราอาจจะมีความบกพร่องหรือยังไงไปเราจะมาไล่เรียงกัน เราส่งเอกสารไปครั้งแรกเราถูกตีตก เพราะว่าในข้อนี้เราไม่รู้ว่าเราจะต้องใส่อะไร จำเป็นต้องใส่อะไรด้วยหรอ ต้องยกทรัพย์สินให้ใครหรอ ซึ่งตรงนี้จะให้ฝ่ายบัญชีเป็นผู้ให้ข้อมูล เพราะเขาจะให้รายละเอียดเกี่ยวกับข้อกฎหมายได้ดีกว่าว่าทำไมข้อนี้เราถึงจะต้องมีการใส่ให้มูลนิธิใดมูลนิธิหนึ่งไป
ฝ่ายบัญชี กล่าวว่า ปัญหามันอยู่ที่ข้อบังคับที่ 39 ซึ่งเป็นข้อบังคับในการจดทะเบียนมูลนิธิ ซึ่งเราจะต้องระบุว่า ถ้าเผื่อมูลนิธิจดทะเบียนเลิกจะต้องระบุไว้ว่าจะต้องมีมูลนิธิใดเข้ามาบริหารงานนี้ต่อไป ซึ่งเท่าที่ตนมองว่า มีคนเข้าใจผิด ขอท้าวความว่า ถ้าบริจาคเงินให้กับมูลนิธิแล้วเงินนั้นจะเป็นของมูลนิธิ เมื่อมูลนิธิเลิกแล้วเงินและทรัพย์สินจะต้องตกเป็นของมูลนิธิอื่นอันนี้เป็นการเข้าใจคลาดเคลื่อน
ตนอยากชี้แจงว่า เงินที่บริจาคมาไม่ใช่รายได้ทุนประเมินของมูลนิธิ ท่านบริจาคมาก็คือเงินบริจาคก็คือวางอยู่ตรงนั้น มูลนิธิต้องทำหน้าที่ตามวัตถุประสงค์ซึ่งบรรจุไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 110 ซึ่งท่านไปดูได้ เราทำหน้าที่ตรงนี้เท่านั้น
เพราะฉะนั้นเมื่อใดก็ตามที่มูลนิธิจดทะเบียนเลิก จะด้วยเหตุใด ๆ ก็ตาม กฎหมายจึงบังคับไว้ว่าให้มูลนิธิอื่นหรือนิติบุคคลอื่นใดบริหารจัดการต่อ เพื่อที่ไม่ให้ทรัพย์สินหรือเงินที่ผู้บริจาคบริจาคเข้ามาสูญหายไป เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ เป็นประโยชน์ต่อผู้ที่บริจาค แล้วการที่จะออกข้อบังคับตามนี้ เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 134
ซึ่งมาตรา 134 ระบุไว้ชัดว่า เมื่อได้ชำระบัญชีแล้ว ให้โอนทรัพย์สินของมูลนิธิให้แด่มูลนิธิหรือนิติบุคคลที่มีจุดประสงค์ตามมาตรา 110 ซึ่งได้ระบุชื่อไว้ในข้อบังคับของมูลนิธิ ถ้าข้อบังคับของมูลนิธิมิได้ระบุชื่อของมูลนิธิหรือนิติบุคคลดังกล่าวไว้
พนักงานอัยการผู้ชำระบัญชี ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียคนใดคนหนึ่งอาจร้องต่อศาลให้จัดสรรทรัพย์สินนั้นให้กับมูลนิธิหรือนิติบุคคลอื่นที่ปรากฏว่ามีวัตถุประสงค์ใกล้ชิดที่สุดกับวัตถุประสงค์ของมูลนิธินั้น ๆ ถ้ามูลนิธินั้น ๆ ถูกศาลสั่งห้ามหรือสั่งยกเลิกตามมาตรา 131(1) หรือ (2) ก็ดี หรือการจัดสรรทรัพย์สินวรรคหนึ่งไม่อาจกระทำได้ โดยทรัพย์สินของมูลนิธิจะต้องตกเป็นของแผ่นดินตามประมวลมาตรานี้
เพราะฉะนั้นอันนี้ไม่ใช่ทรัพย์สินของมูลนิธิ มันเป็นการที่เขาให้รับช่วงต่อ คือรักษาผลประโยชน์ของผู้ที่บริจาคไปดำเนินการต่อไป
ด้าน ประธานมูลนิธิฯ กล่าวว่า การที่เราจะดำเนินมูลนิธิวัตถุประสงค์ 1 คือ วัตถุประสงค์ของผู้บริจาค กับ 2 ถ้าเขาไม่ได้ระบุไว้ว่าเขาบริจาคมาเพื่ออะไร ก็ต้องให้ถือว่าเป็นไปตามข้อบังคับวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ
ดังนั้น ถ้าตัวมูลนิธิกัน จอมพลัง ช่วยสู้ ถูกตรวจพบจากกระทรวงมหาดไทย หรือหน่วยงานต่าง ๆ ว่ามูลนิธิกันฯโอนออกไปให้มูลนิธิธรรมนัส พรหมเผ่า ตรงนี้เราจะมีความผิดในข้อบังคับ ซึ่งยังไม่มีการเกิดขึ้น
ตั้งแต่เปิดมูลนิธิมาในความดูแลของตนนั้น กล้ายืนยันได้ว่า ไม่มีการโอนเงินออกไปยังมูลนิธิธรรมนัส พรหมเผ่า ทุกกรณี ตั้งแต่เปิดมูลนิธิมามีเหตุการณ์ที่เราโอนเงินไปยังมูลนิธิอื่นเพียงแค่ 2 มูลนิธิ คือ โอนให้มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ กับ มูลนิธิเพื่อนพึ่งพายามยาก
แต่ต้องบอกว่า ในส่วนของตรงนี้มันเป็นเรื่องของวัตถุประสงค์ของผู้ที่บริจาค ก็คือ แจ็คสัน หวัง ณ ขณะนั้นก็คือที่มีข่าวหมดเลยว่าบริจาคเงิน 3 ล้านกว่าบาท ณ วันนั้นทุกคนน่าจะจำได้ดี โดยที่เขาประสงค์เลยว่าให้มีการบริจาคต่อไปอีก 2 มูลนิธิ
ซึ่งตรงนี้เราก็ทำถูกต้องตามประสงค์ของผู้บริจาค เราก็โอนไปที่มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่งยามยาก 1,160,000 บาท และ มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ 1,160,000 บาท และเหลือเงินคงเหลือในส่วนนี้ 1,080,819 บาทที่คงอยู่ที่มูลนิธิ
นายกัณฐัศว์ กล่าวว่า เราไม่คิดว่ามันจะมีปัญหาแบบนี้ แต่วันนี้พอเรื่องมันเกิด อาจจะทำให้หลายคนรู้สึกไม่สบายใจ มีคนไปบิดข่าวจนมันคลาดเคลื่อน ยืนยันว่ามูลนิธิที่เราทำกัน ไม่ได้มีเจตนาว่าเราทำวันนี้จะต้องเอาเงินไปให้ใคร โดยที่ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีเงินไปถึงใครเลย ไปถึงมูลนิธิธรรมนัส พรหมเผ่า เอาชัด ๆ เลย
ดังนั้น เพื่อความสบายใจของทุก ๆ ท่าน วันนั้นตนอาจจะคิดน้อย ไม่คิดว่าเราจะมาถึงตรงนี้ขนาดนี้ ซึ่งเราได้พูดคุยกันแล้วและได้ประสานไปยังมูลนิธิที่มีความมั่นคงมาก ๆ แห่งหนึ่ง เราจะเปลี่ยนในข้อบังคับ 39
ซึ่งวันนี้บอกตรง ๆ ว่าตนไม่อยากนำชื่อของมูลนิธินั้นออกมาพูดตรงนี้ เพราะการที่เราเอาออกมาพูดเดี๋ยวหาว่าเราไปโหนเขา หรือเอาชื่อเขามาใช้ในเวลาที่เรามีปัญหา หลังจากนี้ตนเชื่อว่าทุกคนจะสามารถตรวจสอบได้ว่าเราเปลี่ยนไปที่มูลนิธิใด แต่ตนเชื่อว่าเป็นมูลนิธิที่ดี ทำศักยภาพใหญ่มากและมีความมั่นคงมาก ๆ... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_9990025