วัตถุประสงค์ของกองทุน คือ เพื่ออุปถัมภ์อุปัฏฐากพระภิกษุสงฆ์ให้พวกท่านสามารถดำรงเพศบรรพชิตได้โดยไม่ต้องจับต้องเงินทอง จัดหาปัจจัย (ไม่ใช่เงิน) หรือสิ่งของที่จำเป็นและสมควรแก่เพศสมณะ จ่ายค่าน้ำค่าไฟของวัด จ่ายค่าซ่อมแซมปฏิสังขรณ์ศาสนวัตถุ
- เงินประเดิมเริ่มต้น มาจาก 2 ส่วน คือ
(1) งบประมาณที่จัดสรรเป็นเงินนิตยภัต หรือเงินเดือนของพระ (หมายถึงว่า จะต้องยกเลิกระบบเงินเดือนพระ ไม่โอนเงินเข้าบัญชีของพระ แต่เปลี่ยนรูปแบบเป็นเอาเงินนั้นมาอุปัฏฐากท่านในสิ่งที่สมควรและจำเป็นแก่ท่านจริงๆ)
(2) เงินบริจาคของพุทธศาสนิกชน โดยให้สามารถนำเงินบริจาคไปลดหย่อนภาษีได้ตามจริงแต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้สุทธิหลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน
- แต่ละปี รัฐจะต้องจัดสรรเงินงบประมาณประจำปีที่เดิมเคยเป็นงบของเงินนิตยภัต เข้ามาสู่กองทุนนี้
- ในแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ประจำปี ให้มีช่องให้ติ๊กแสดงความประสงค์ว่า จะขอคืนเงินภาษี หรือให้แบ่งเงินคืนภาษีไปเข้ากองทุนอุปัฏฐาก (เหมือนกับที่ให้ติ๊กแสดงความประสงค์จะบริจาคให้พรรคการเมือง)
- พุทธศาสนิกชนสามารถบริจาคเข้ากองทุนอุปัฏฐากได้ตลอดเวลา โดยมีสิทธิลดหย่อนภาษีได้
- วิธีที่วัดหรือพระภิกษุจะใช้ประโยชน์จากกองทุนฯ
- ให้มีแอ๊ปของกองทุนฯ ที่แต่ละวัด หรือภิกษุแต่ละรูป จะสามารถเข้าไปแสดงความประสงค์ได้ว่า ยังขาดเหลือสิ่งของจำเป็นที่ต้องการ (โดยต้องจำกัดงบให้แต่ละวัด หรือภิกษุแต่ละรูป ว่าเบิกได้สูงสุดเดือนละเท่าไหร่) โดยสิ่งที่จะขอเบิกได้ ก็เช่น ค่าน้ำค่าไฟของแต่ละวัด (และห้ามแต่ละวัดไปเรียกเก็บค่าน้ำค่าไฟค่าเช่ากุฏิจากพระลูกวัดโดยเด็ดขาด) ค่าซ่อมแซมปฏิสังขรณ์ศาสนวัตถุในวัด หรือสำหรับพระภิกษุ ก็เช่น ค่าเครื่องเขียน สมุดปากกา ดินสอ ค่าอุปกรณ์การเรียน ค่าเดินทางไปเรียนที่สำนักเปรียญธรรม หรือมหาลัยสงฆ์ ค่าจีวร ฯลฯ
แล้วต้องออกกฎหมาย ห้ามพระรับเงินรับทองรับทรัพย์สินที่ดิน รถ ฯลฯ จากชาวบ้าาน ถ้าฝ่าฝืน มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และห้ามชาวบ้านถวายเงินถวายทรัพย์สินให้พระภิกษุโดยตรง ถ้าฝ่าฝืน มีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท
ต้องมีกฎหมาย ห้ามพระเรี่ยไรเงินจากชาวบ้าน ห้ามพระตั้งมูลนิธิ ห้ามพระเป็นประธานมูลนิธิ ห้ามพระมีชื่อเป็นผู้มีอำนาจสั่งจ่ายเบิกเงินในนามของมูลนิธิ
พระระดับสังฆาธิการ จะต้องแสดงบัญชีทรัพย์สินทุกปี
เป็นต้น
เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤติศรัทธาสงฆ์ ผมเสนอให้มีการจัดตั้ง "กองทุนอุปัฏฐากสงฆ์"
- เงินประเดิมเริ่มต้น มาจาก 2 ส่วน คือ
(1) งบประมาณที่จัดสรรเป็นเงินนิตยภัต หรือเงินเดือนของพระ (หมายถึงว่า จะต้องยกเลิกระบบเงินเดือนพระ ไม่โอนเงินเข้าบัญชีของพระ แต่เปลี่ยนรูปแบบเป็นเอาเงินนั้นมาอุปัฏฐากท่านในสิ่งที่สมควรและจำเป็นแก่ท่านจริงๆ)
(2) เงินบริจาคของพุทธศาสนิกชน โดยให้สามารถนำเงินบริจาคไปลดหย่อนภาษีได้ตามจริงแต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้สุทธิหลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน
- แต่ละปี รัฐจะต้องจัดสรรเงินงบประมาณประจำปีที่เดิมเคยเป็นงบของเงินนิตยภัต เข้ามาสู่กองทุนนี้
- ในแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ประจำปี ให้มีช่องให้ติ๊กแสดงความประสงค์ว่า จะขอคืนเงินภาษี หรือให้แบ่งเงินคืนภาษีไปเข้ากองทุนอุปัฏฐาก (เหมือนกับที่ให้ติ๊กแสดงความประสงค์จะบริจาคให้พรรคการเมือง)
- พุทธศาสนิกชนสามารถบริจาคเข้ากองทุนอุปัฏฐากได้ตลอดเวลา โดยมีสิทธิลดหย่อนภาษีได้
- วิธีที่วัดหรือพระภิกษุจะใช้ประโยชน์จากกองทุนฯ
- ให้มีแอ๊ปของกองทุนฯ ที่แต่ละวัด หรือภิกษุแต่ละรูป จะสามารถเข้าไปแสดงความประสงค์ได้ว่า ยังขาดเหลือสิ่งของจำเป็นที่ต้องการ (โดยต้องจำกัดงบให้แต่ละวัด หรือภิกษุแต่ละรูป ว่าเบิกได้สูงสุดเดือนละเท่าไหร่) โดยสิ่งที่จะขอเบิกได้ ก็เช่น ค่าน้ำค่าไฟของแต่ละวัด (และห้ามแต่ละวัดไปเรียกเก็บค่าน้ำค่าไฟค่าเช่ากุฏิจากพระลูกวัดโดยเด็ดขาด) ค่าซ่อมแซมปฏิสังขรณ์ศาสนวัตถุในวัด หรือสำหรับพระภิกษุ ก็เช่น ค่าเครื่องเขียน สมุดปากกา ดินสอ ค่าอุปกรณ์การเรียน ค่าเดินทางไปเรียนที่สำนักเปรียญธรรม หรือมหาลัยสงฆ์ ค่าจีวร ฯลฯ
แล้วต้องออกกฎหมาย ห้ามพระรับเงินรับทองรับทรัพย์สินที่ดิน รถ ฯลฯ จากชาวบ้าาน ถ้าฝ่าฝืน มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และห้ามชาวบ้านถวายเงินถวายทรัพย์สินให้พระภิกษุโดยตรง ถ้าฝ่าฝืน มีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท
ต้องมีกฎหมาย ห้ามพระเรี่ยไรเงินจากชาวบ้าน ห้ามพระตั้งมูลนิธิ ห้ามพระเป็นประธานมูลนิธิ ห้ามพระมีชื่อเป็นผู้มีอำนาจสั่งจ่ายเบิกเงินในนามของมูลนิธิ
พระระดับสังฆาธิการ จะต้องแสดงบัญชีทรัพย์สินทุกปี
เป็นต้น