กำลังซื้ออ่อนแอ-ของแพง! ธปท.เผยผลสำรวจพบแนวโน้ม'การใช้จ่ายผู้บริโภค'เดือน มี.ค.ลดลง
https://www.isranews.org/article/isranews-short-news/107764-bot-RSI-BSI-Mar-65-news.html
ธปท.เผยผลสำรวจฯ พบแนวโน้มการใช้จ่ายของผู้บริโภคในเดือน มี.ค. ลดลง เหตุกำลังซื้ออ่อนแอ-ราคาสินค้าแพง ขณะที่ผลสำรวจ BSI เดือน มี.ค. ระบุธุรกิจโดยรวมดีขึ้น แต่มองกำลังซื้อที่อ่อนแอ-การแพร่ระบาด Omicron เป็นอุปสรรคการฟื้นตัว
...................................
เมื่อวันที่ 1 เม.ย. ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผยแพร่ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีก (Retailer Sentiment Index: RSI) เดือน มี.ค.2565 ว่า ความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีกทั้งปัจจุบันและอีก 3 เดือนข้างหน้าปรับลดลงมาอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 หลังโครงการ ‘ช้อปดีมีคืน’ หมดลง ขณะที่การแพร่ระบาดสายพันธุ์ Omicron ที่เร่งขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของเดือนก่อน แนวโน้มต้นทุนและราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ประกอบกับกำลังซื้อที่อ่อนแอ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นฯอีก 3 เดือนข้างหน้าให้ปรับลดลง
“ความเชื่อมั่นต่อยอดขายสาขาเดิมทุกภูมิภาคปรับลดลงจากเดือนก่อน ตามความกังวลด้านราคาและต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ยกเว้นในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่ปรับดีขึ้นเล็กน้อยจากการทำโปรโมชั่นส่งเสริมการขายของร้านค้าต่อจากโครงการช้อปดีมีคืน อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้ติดเชื้อที่อยู่ในระดับสูง และกำลังซื้อที่ฟื้นตัวช้ำ ยังคงสร้างความกังวลให้กับผู้ประกอบการในระยะต่อไป” ผลสำรวจของ ธปท.ระบุ
นอกจากนี้ ธปท.ได้สำรวจในประเด็น ‘การประเมินกำลังซื้อและประเมินกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคการค้า’ โดยพบว่าผู้บริโภคมีแนวโน้มใช้จ่ายลดลงจากเดือนก่อน ตามมาตรการกระตุ้นการบริโภคที่หมดลง และประเมินว่าสถานการณ์จะปรับแย่ลงอีก จากกำลังซื้อที่ยังอ่อนแอ และปัจจัยกดดันจากราคาสินค้าพื้นฐานหลายหมวดปรับแพงขึ้น สะท้อนจากพฤติกรรมการใช้จ่ายที่ผู้บริโภคเลือกซื้อเฉพาะสินค้าที่มีโปรโมชั่นและเลือกสินค้าที่มีขนาดบรรจุภัณฑ์เล็กลง
ขณะเดียวกัน ธปท.ยังเผยแพร่ผลสำรวจ เรื่อง ผลกระทบจากไวรัส COVID-19 ต่อภาคธุรกิจไทย (BSI) เดือน มี.ค.2565 โดยระบุว่า ในเดือน มี.ค. ระดับการฟื้นตัวของธุรกิจโดยรวมปรับดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเดือนก่อน จากภาคที่มิใช่การผลิต โดยเฉพาะภาคบริการ สอดคล้องกับการฟื้นตัวของระดับการจ้างงาน จากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่ผ่อนคลายมากขึ้น
ส่วนการฟื้นตัวของภาคการผลิตปรับลดลงเล็กน้อย โดยเฉพาะธุรกิจผลิตอาหาร เหล็ก เครื่องจักร และกระดาษ ส่วนหนึ่งมาจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนกระทบต้นทุนการผลิต ประกอบกับปัญหาการขนส่งที่ยังไม่คลี่คลาย
ทั้งนี้ ภาคธุรกิจมีมุมมองต่อการฟื้นตัวกลับไปสู่ระดับก่อน COVID-19 ล่าช้ากว่าการสำรวจรอบก่อน โดยภาคการผลิตส่วนใหญ่คาดว่าจะกลับสู่ระดับเดิมได้ภายในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 เร็วกว่าภาคที่มิใช่การผลิตที่คาดว่าจะกลับมาได้ภายในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 อย่างไรก็ดี กำลังซื้อที่อ่อนแอ และการแพร่ระบาดในประเทศยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการฟื้นตัว แต่ธุรกิจกว่าครึ่งเห็นว่าผลกระทบจากการระบาดสายพันธุ์ Omicron น้อยกว่าระลอก Delta
ขณะที่ธุรกิจส่วนใหญ่มีสภาพคล่องสำรองใกล้เคียงไตรมาสก่อน แต่มีบางธุรกิจที่มีสัดส่วนสภาพคล่องน้อยกว่า 3 เดือนเพิ่มขึ้น อาทิ ผลิตเหล็ก ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และค้าปลีกยานยนต์ จากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นตามราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก ขณะที่การสต็อกวัตถุดิบคงคลังเพิ่มขึ้นในเกือบทุกธุรกิจ จากสถานการณ์การปิดโรงงานของคู่ค้าที่ทยอยคลี่คลายจากไตรมาสก่อน และราคาสินค้าที่มีแนวโน้มสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจผลิตเครื่องจักร ผลิตเหล็ก และการค้า มีสัดส่วนของธุรกิจที่มีวัตถุดิบคงคลังสำรองน้อยกว่า 1 เดือนเพิ่มขึ้น คาดว่าส่วนหนึ่งเกิดจากปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบ
สำหรับจำนวนและรายได้เฉลี่ยของแรงงานโดยรวมปรับดีขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อน สอดคล้องกับการฟื้นตัวของธุรกิจอย่างไรก็ตาม ธุรกิจเริ่มมีการกลับมาใช้นโยบายให้สลับกันมาทำงาน ใช้วันลาประจำปี และลดชั่วโมงทำงาน คาดว่าเกิดจากการแพร่ระบาดสายพันธุ์ Omicron ที่เริ่มมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น ขณะที่ธุรกิจบางส่วนมีการใช้ Leave without pay เพิ่มขึ้น เช่น ธุรกิจผลิตยานยนต์ ที่การผลิตลดลงตามการขาดแคลนชิ้นส่วนในบางรุ่น และธุรกิจโรงแรมที่เริ่มเข้าสู่ Low season
ไก่-กาแฟ ปรับราคา มีผลทันที ส่วนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป จ่อขยับ อีกครั้ง
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_6975568
ไก่เนื้อขอปรับราคา 3 บาทต่อกิโลกรัม หลังต้นทุนสูงต่อเนื่อง ย้ำไม่ปรับมาก กลัวคนไม่ซื้อ ด้านกาแฟขอปรับ 10% มีผลทันที บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป จ่อขยับอีกรอบ
วันที่ 1 เม.ย.2565 ทางผู้ประกอบการผลิตไก่เนื้อและกาแฟ เตรียมขึ้นราคา มีผลทันที โดยนาย
สมบูรณ์ วัชรพงษ์พันธ์ นายกสมาคมผู้เลี้ยงไก่เนื้อ เผยว่า ไก่เนื้อได้รับผลกระทบจากวัตถุดิบอาหารสัตว์สูงขึ้น หลังตรึงราคามานาน 2 เดือน จึงทำหนังสือไปยังกรมการค้าภายเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ได้รับอนุมัติปรับขึ้นราคา ไก่เนื้อ หน้าฟาร์ม 3 บาทต่อกิโลกรัม จาก 40 บาทเป็น 43 บาทต่อกิโลกรัมแล้ว ส่วนราคาจำหน่ายปลีกไก่สด ปรับเป็น 70 บาทต่อกิโลกรัม
การปรับราคาครั้งนี้ น่าจะอีกนานกว่าจะปรับขึ้นอีกรอบ เพราะหากปรับสูงไป คนจะไม่ซื้อ ก็จะขายไม่ได้ เกิดปัญหาอีก เพราะไก่เน่าเสียง่าย
ด้านนาย
วีระพงษ์ ปัญจวัฒนกุล ที่ปรึกษาสมาคมฯ กล่าวว่า อาหารไก่มีส่วนผสมหลัก 60% คือข้าวโพด อีก 40% เป็นกากถั่วเหลือง โดยช่วงตั้งแต่ต้นปี และเดือนที่ผ่านมา ราคาข้าวโพดปรับสูงขึ้นมาก จาก 11 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 13 บาทต่อกิโลกรัม
รายงานข่าวจากกรมการค้าภายใน แจ้งถึงสถิติราคาจำหน่ายปลีกไก่เนื้อในพื้นที่กรุงเทพฯ เมื่อวานนี้ (31 มี.ค.65) ไก่สดทั้งตัว รวมเครื่องในอยู่ที่ 65–70 บาทต่อกิโลกรัม ไก่สดชำแหละเนื้ออกล้วน และสันใน 85–90 บาทต่อกิโลกครัม และไก่สดชำแหละน่องสะโพก 70–80 ต่อกิโลกรัม เป็นต้น
ขณะที่ นาย
สมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมค้าส่งค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า ผู้ผลิตกาแฟแบรนด์นำตลาดได้แจ้งขอปรับขึ้นราคาจำหน่ายปลีกกาแฟผง บรรจุขวด คาดว่าจะปรับขึ้นไม่เกิน 10% มีผลวันนี้
ส่วนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป คาดว่าผู้ผลิตจะขอปรับขึ้นราคาจำหน่ายปลีกแน่นอนเร็วๆ นี้ จากที่ก่อนหน้านี้ปรับขึ้นราคาขายส่งไปแล้ว 25 สตางค์ต่อซอง เนื่องจากต้นทุนข้าวสาลีซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการทำเส้นบะหมี่ปรับเพิ่มสูงขึ้นมาก จากผลกระทบสงครามรัสเซีย-ยูเครน รวมทั้งผู้ผลิตไม่ได้ปรับขึ้นราคามาเป็นระยะเวลานานมากแล้ว
พิษเศรษฐกิจ! เจ้าของร้านสุกี้เป็นหนี้ หิ้วขวดน้ำมันเผาตัวเอง เมียเล่าทั้งน้ำตาปัญหารุมเร้า
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_3266374
พิษเศรษฐกิจ! เจ้าของร้านสุกี้เป็นหนี้ หิ้วขวดน้ำมันเผาตัวเอง เมียเล่าทั้งน้ำตาปัญหารุมเร้า
เมื่อเวลา 15.00 น.วันที่ 1 เมษายน ร.ต.ท.
ชานนท์ สมฤทธิ์ รอง สว.(สอบสวน) สภ.เมืองพิษณุโลก รับแจ้งว่ามีผู้พบศพคนถูกเผาอยู่ในพงหญ้าริมถนนบายพาสสี่แยกประโดก – สามแยกซีพี ไปตรวจสอบพร้อมแพทย์เวร รพ.มหาวิทยาลัยนเรศวร ตำรวจชุดสืบสวนจำนวนหนึ่งและเจ้าหน้าที่สมาคมกู้ภัยข่าวภาพ พบประชาชนมุงดูเหตุการณ์จำนวนหนึ่ง พบศพผู้เสียชีวิตนอนหงายอยู่ในพงหญ้าห่างจากถนนประมาณ 10 เมตร ร่างกายมีร่องรอยถูกไฟไหม้ร่างกายบางส่วน และพบขวดใส่น้ำมัน 1 ขวดพร้อมปืนไฟแช็ก 1 อัน คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 วัน จึงให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยนำร่างขึ้นมาชันสูตรริมถนน ทราบชื่อผู้เสียชีวิตคือ นาย
วินัย พรศิริ อายุ 38 ปี สภาพศพมีบาดแผลถูกไฟไหม้ร่างกายที่มือทั้งสองข้าง ขาทั้งสองข้าง ใบหน้า ศีรษะและตามลำตัวท่อนบน ตำรวจจึงให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยนำศพส่งให้แพทย์ชันสูตรโดยละเอียดอีกครั้งที่แผนกนิติเวช รพ.มหาวิทยาลัยนเรศวร
ตำรวจสอบสวน น.ส.
ชนิดาภา สุภาเกตุ ภรรยาผู้เสียชีวิตที่เดินทางมาจุดเกิดเหตุพร้อมรถยนต์เก๋งยี่ห้อซูซูกิ สวิฟ สีขาว ทะเบียน กย 1997 พิษณุโลก ให้การว่า หลังตนได้รับแจ้งจากตำรวจว่าพบรถยนต์ที่สามีขับออกจากบ้านจอดอยู่ริมถนน จุดที่พบศพของสามีเมื่อคืนนี้ จึงแจ้งความคนหายไว้กับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองพิษณุโลก กระทั่งตำรวจโทรศัพท์แจ้งว่าพบศพผู้เสียชีวิตจุดที่สามีตนจอดรถยนต์ทิ้งไว้ จึงเดินทางมาดูก็พบว่าเป็นสามีของตนเองจริง ทุกวันนี้ตนประกอบอาชีพขายสุกี้ ใช้ชื่อร้านว่า แซ่บสุกี้กระทะร้อน อยู่บริเวณริมทางรถไฟหน้าตลาดผักบ้านแขก ใกล้กับโรงเรียนพุทธชินราชพิทยา เปิดมาได้ประมาณ 5 ปีแล้ว ช่วงนี้ครอบครัวมีปัญหาเรื่องเงินที่หมุนไม่ทัน จนต้องกู้เงินนอกระบบมาใช้ สุกี้ก็ขายไม่ค่อยดีในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ สามีบ่นกลุ้มใจกับปัญหาเรื่องเงินมาโดยตลอด กระทั่งวันพุธที่ผ่านมาหลังซื้อของมาเตรียมขายสุกี้สามีก็ขับรถออกมาเพียงลำพังแล้วหายตัวไป
น.ส.
ชนิดาภา สุภาเกตุ เล่าทั้งน้ำตาว่า เมื่อวันพุธ ที่ 30 มี.ค.2565 ช่วงกลางวันเวลาบ่ายๆ สามีตนเพิ่งออกจากร้าน แรกๆ คิดว่า เขาเครียด คงหาที่สงบ ซึ่งเรื่องเครียดนั้นหลายอย่าง ปัญหาอะไรชัดเจนนั้นไม่รู้ ซึ่งสามีไปจอดรถเก๋งบริเวณนี้ ก่อนไปฆ่าตัวตาย สามีก็ล็อกรถไว้เรียบร้อย กระทั่งตนไปเอากุญแจสำรองมาไขและขับออกไปเมื่อสองคืนก่อน ก็ยังไม่รู้ว่าสามีนั้นตาย รู้แค่ว่าหายตัวไป กระทั่งมาพบศพวันนี้
ขณะที่สายตรวจสมอแขระบุว่า 2 วันที่ผ่านมา รถยนต์ยี่ห้อสวิฟสีขาวจอดอยู่นาน จึงได้ประสานหาตัวเจ้าของ ให้มารับรถยนต์ไปก่อนหน้านี้ เนื่องจากภรรยาใช้กุญแจสำรองไขและขับออกไป พร้อมกับตรวจตราบริเวณโดยรอบ เพื่อหานาย
วินัย แต่ไม่พบ จึงได้แจ้งคนหายในเวลาต่อมา กระทั่งพบศพในวันนี้ในพงหญ้าริมข้างทางห่างออกไปกว่า 20 เมตร
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเชิญตัว น.ส.
ชนิดาภา ไปสอบสวนปากคำเพิ่มเติมที่ สภ.เมืองพิษณุโลก และจะได้ทำการสืบสวนสอบสวนหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริง เพื่อคลี่คลายคดีและดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
ของจริงไม่ใช่แป้ง! ตม.จิงโจ้ ยึดยาเสพติด 69 กก.จากไทย มูลค่า 1.8 พันล้านบาท
https://www.matichon.co.th/foreign/news_3265267
ของจริงไม่ใช่แป้ง! ตม.จิงโจ้ ยึดยาเสพติด 69 กก.จากไทย มูลค่า 1.8 พันล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 1 เมษายนระบุว่า เว็บไซต์
9news สื่อท้องถิ่นออสเตรเลีย รายงานเมื่อวันที่ 2 มีนาคมที่ผ่านมา ระบุว่าเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองออสเตรเลียสามารถตรวจยึดยาเสพติดมูลค่ากว่า 55 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1,800 ล้านบาท ที่ซุกซ่อนอยู่ในกล่องชาเขียวและกล่องแม่เหล็ก ที่ถูกส่งจากประเทศไทย ไปยังเมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย
รายงานระบุว่า ตม.ออสเตรเลียใช้ระบบเอกซเรย์ ตรวจพบกล่องที่ซุกซ่อนยาเสพติดทั้งหมด 27 กล่องภายในบรรจุเมทแอมเฟตามีน จำนวน 56 กิโลกรัม และเฮโรอีน 13 กิโลกรัม โดยส่งถึงเมลเบิร์นด้วยการขนส่งทางอากาศเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์
ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจออสเตรเลีย ได้เปิดให้มีการสืบสวนการนำเข้ายาเสพติดผิดกฎหมายแล้ว ขณะที่แมทแอมเฟตามีนดังกล่าวหากหลุดรอดสายตาการตรวจสอบจะถูกขายให้กับประชาชนในประเทศได้ราว 560,000 คน โดยมีมูลค่าสูงถึง 50.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1,600 ล้านบาท ขณะที่ เฮโรอีน มีมูลค่าราว 5.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือราว 183 ล้านบาท
JJNY : 5in1 กำลังซื้ออ่อนแอ-ของแพง!│ไก่-กาแฟปรับราคา│เจ้าของร้านสุกี้เผาตัวเอง│ตม.จิงโจ้ยึดยาจากไทย│ก้าวหน้าขอคนละชื่อ
https://www.isranews.org/article/isranews-short-news/107764-bot-RSI-BSI-Mar-65-news.html
...................................
“ความเชื่อมั่นต่อยอดขายสาขาเดิมทุกภูมิภาคปรับลดลงจากเดือนก่อน ตามความกังวลด้านราคาและต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ยกเว้นในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่ปรับดีขึ้นเล็กน้อยจากการทำโปรโมชั่นส่งเสริมการขายของร้านค้าต่อจากโครงการช้อปดีมีคืน อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้ติดเชื้อที่อยู่ในระดับสูง และกำลังซื้อที่ฟื้นตัวช้ำ ยังคงสร้างความกังวลให้กับผู้ประกอบการในระยะต่อไป” ผลสำรวจของ ธปท.ระบุ
นอกจากนี้ ธปท.ได้สำรวจในประเด็น ‘การประเมินกำลังซื้อและประเมินกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคการค้า’ โดยพบว่าผู้บริโภคมีแนวโน้มใช้จ่ายลดลงจากเดือนก่อน ตามมาตรการกระตุ้นการบริโภคที่หมดลง และประเมินว่าสถานการณ์จะปรับแย่ลงอีก จากกำลังซื้อที่ยังอ่อนแอ และปัจจัยกดดันจากราคาสินค้าพื้นฐานหลายหมวดปรับแพงขึ้น สะท้อนจากพฤติกรรมการใช้จ่ายที่ผู้บริโภคเลือกซื้อเฉพาะสินค้าที่มีโปรโมชั่นและเลือกสินค้าที่มีขนาดบรรจุภัณฑ์เล็กลง
ขณะเดียวกัน ธปท.ยังเผยแพร่ผลสำรวจ เรื่อง ผลกระทบจากไวรัส COVID-19 ต่อภาคธุรกิจไทย (BSI) เดือน มี.ค.2565 โดยระบุว่า ในเดือน มี.ค. ระดับการฟื้นตัวของธุรกิจโดยรวมปรับดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเดือนก่อน จากภาคที่มิใช่การผลิต โดยเฉพาะภาคบริการ สอดคล้องกับการฟื้นตัวของระดับการจ้างงาน จากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่ผ่อนคลายมากขึ้น
ส่วนการฟื้นตัวของภาคการผลิตปรับลดลงเล็กน้อย โดยเฉพาะธุรกิจผลิตอาหาร เหล็ก เครื่องจักร และกระดาษ ส่วนหนึ่งมาจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนกระทบต้นทุนการผลิต ประกอบกับปัญหาการขนส่งที่ยังไม่คลี่คลาย
ทั้งนี้ ภาคธุรกิจมีมุมมองต่อการฟื้นตัวกลับไปสู่ระดับก่อน COVID-19 ล่าช้ากว่าการสำรวจรอบก่อน โดยภาคการผลิตส่วนใหญ่คาดว่าจะกลับสู่ระดับเดิมได้ภายในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 เร็วกว่าภาคที่มิใช่การผลิตที่คาดว่าจะกลับมาได้ภายในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 อย่างไรก็ดี กำลังซื้อที่อ่อนแอ และการแพร่ระบาดในประเทศยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการฟื้นตัว แต่ธุรกิจกว่าครึ่งเห็นว่าผลกระทบจากการระบาดสายพันธุ์ Omicron น้อยกว่าระลอก Delta
ขณะที่ธุรกิจส่วนใหญ่มีสภาพคล่องสำรองใกล้เคียงไตรมาสก่อน แต่มีบางธุรกิจที่มีสัดส่วนสภาพคล่องน้อยกว่า 3 เดือนเพิ่มขึ้น อาทิ ผลิตเหล็ก ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และค้าปลีกยานยนต์ จากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นตามราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก ขณะที่การสต็อกวัตถุดิบคงคลังเพิ่มขึ้นในเกือบทุกธุรกิจ จากสถานการณ์การปิดโรงงานของคู่ค้าที่ทยอยคลี่คลายจากไตรมาสก่อน และราคาสินค้าที่มีแนวโน้มสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจผลิตเครื่องจักร ผลิตเหล็ก และการค้า มีสัดส่วนของธุรกิจที่มีวัตถุดิบคงคลังสำรองน้อยกว่า 1 เดือนเพิ่มขึ้น คาดว่าส่วนหนึ่งเกิดจากปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบ
สำหรับจำนวนและรายได้เฉลี่ยของแรงงานโดยรวมปรับดีขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อน สอดคล้องกับการฟื้นตัวของธุรกิจอย่างไรก็ตาม ธุรกิจเริ่มมีการกลับมาใช้นโยบายให้สลับกันมาทำงาน ใช้วันลาประจำปี และลดชั่วโมงทำงาน คาดว่าเกิดจากการแพร่ระบาดสายพันธุ์ Omicron ที่เริ่มมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น ขณะที่ธุรกิจบางส่วนมีการใช้ Leave without pay เพิ่มขึ้น เช่น ธุรกิจผลิตยานยนต์ ที่การผลิตลดลงตามการขาดแคลนชิ้นส่วนในบางรุ่น และธุรกิจโรงแรมที่เริ่มเข้าสู่ Low season
ไก่-กาแฟ ปรับราคา มีผลทันที ส่วนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป จ่อขยับ อีกครั้ง
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_6975568
ไก่เนื้อขอปรับราคา 3 บาทต่อกิโลกรัม หลังต้นทุนสูงต่อเนื่อง ย้ำไม่ปรับมาก กลัวคนไม่ซื้อ ด้านกาแฟขอปรับ 10% มีผลทันที บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป จ่อขยับอีกรอบ
วันที่ 1 เม.ย.2565 ทางผู้ประกอบการผลิตไก่เนื้อและกาแฟ เตรียมขึ้นราคา มีผลทันที โดยนายสมบูรณ์ วัชรพงษ์พันธ์ นายกสมาคมผู้เลี้ยงไก่เนื้อ เผยว่า ไก่เนื้อได้รับผลกระทบจากวัตถุดิบอาหารสัตว์สูงขึ้น หลังตรึงราคามานาน 2 เดือน จึงทำหนังสือไปยังกรมการค้าภายเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ได้รับอนุมัติปรับขึ้นราคา ไก่เนื้อ หน้าฟาร์ม 3 บาทต่อกิโลกรัม จาก 40 บาทเป็น 43 บาทต่อกิโลกรัมแล้ว ส่วนราคาจำหน่ายปลีกไก่สด ปรับเป็น 70 บาทต่อกิโลกรัม
การปรับราคาครั้งนี้ น่าจะอีกนานกว่าจะปรับขึ้นอีกรอบ เพราะหากปรับสูงไป คนจะไม่ซื้อ ก็จะขายไม่ได้ เกิดปัญหาอีก เพราะไก่เน่าเสียง่าย
ด้านนายวีระพงษ์ ปัญจวัฒนกุล ที่ปรึกษาสมาคมฯ กล่าวว่า อาหารไก่มีส่วนผสมหลัก 60% คือข้าวโพด อีก 40% เป็นกากถั่วเหลือง โดยช่วงตั้งแต่ต้นปี และเดือนที่ผ่านมา ราคาข้าวโพดปรับสูงขึ้นมาก จาก 11 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 13 บาทต่อกิโลกรัม
รายงานข่าวจากกรมการค้าภายใน แจ้งถึงสถิติราคาจำหน่ายปลีกไก่เนื้อในพื้นที่กรุงเทพฯ เมื่อวานนี้ (31 มี.ค.65) ไก่สดทั้งตัว รวมเครื่องในอยู่ที่ 65–70 บาทต่อกิโลกรัม ไก่สดชำแหละเนื้ออกล้วน และสันใน 85–90 บาทต่อกิโลกครัม และไก่สดชำแหละน่องสะโพก 70–80 ต่อกิโลกรัม เป็นต้น
ขณะที่ นายสมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมค้าส่งค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า ผู้ผลิตกาแฟแบรนด์นำตลาดได้แจ้งขอปรับขึ้นราคาจำหน่ายปลีกกาแฟผง บรรจุขวด คาดว่าจะปรับขึ้นไม่เกิน 10% มีผลวันนี้
ส่วนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป คาดว่าผู้ผลิตจะขอปรับขึ้นราคาจำหน่ายปลีกแน่นอนเร็วๆ นี้ จากที่ก่อนหน้านี้ปรับขึ้นราคาขายส่งไปแล้ว 25 สตางค์ต่อซอง เนื่องจากต้นทุนข้าวสาลีซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการทำเส้นบะหมี่ปรับเพิ่มสูงขึ้นมาก จากผลกระทบสงครามรัสเซีย-ยูเครน รวมทั้งผู้ผลิตไม่ได้ปรับขึ้นราคามาเป็นระยะเวลานานมากแล้ว
พิษเศรษฐกิจ! เจ้าของร้านสุกี้เป็นหนี้ หิ้วขวดน้ำมันเผาตัวเอง เมียเล่าทั้งน้ำตาปัญหารุมเร้า
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_3266374
พิษเศรษฐกิจ! เจ้าของร้านสุกี้เป็นหนี้ หิ้วขวดน้ำมันเผาตัวเอง เมียเล่าทั้งน้ำตาปัญหารุมเร้า
เมื่อเวลา 15.00 น.วันที่ 1 เมษายน ร.ต.ท.ชานนท์ สมฤทธิ์ รอง สว.(สอบสวน) สภ.เมืองพิษณุโลก รับแจ้งว่ามีผู้พบศพคนถูกเผาอยู่ในพงหญ้าริมถนนบายพาสสี่แยกประโดก – สามแยกซีพี ไปตรวจสอบพร้อมแพทย์เวร รพ.มหาวิทยาลัยนเรศวร ตำรวจชุดสืบสวนจำนวนหนึ่งและเจ้าหน้าที่สมาคมกู้ภัยข่าวภาพ พบประชาชนมุงดูเหตุการณ์จำนวนหนึ่ง พบศพผู้เสียชีวิตนอนหงายอยู่ในพงหญ้าห่างจากถนนประมาณ 10 เมตร ร่างกายมีร่องรอยถูกไฟไหม้ร่างกายบางส่วน และพบขวดใส่น้ำมัน 1 ขวดพร้อมปืนไฟแช็ก 1 อัน คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 วัน จึงให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยนำร่างขึ้นมาชันสูตรริมถนน ทราบชื่อผู้เสียชีวิตคือ นายวินัย พรศิริ อายุ 38 ปี สภาพศพมีบาดแผลถูกไฟไหม้ร่างกายที่มือทั้งสองข้าง ขาทั้งสองข้าง ใบหน้า ศีรษะและตามลำตัวท่อนบน ตำรวจจึงให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยนำศพส่งให้แพทย์ชันสูตรโดยละเอียดอีกครั้งที่แผนกนิติเวช รพ.มหาวิทยาลัยนเรศวร
ตำรวจสอบสวน น.ส.ชนิดาภา สุภาเกตุ ภรรยาผู้เสียชีวิตที่เดินทางมาจุดเกิดเหตุพร้อมรถยนต์เก๋งยี่ห้อซูซูกิ สวิฟ สีขาว ทะเบียน กย 1997 พิษณุโลก ให้การว่า หลังตนได้รับแจ้งจากตำรวจว่าพบรถยนต์ที่สามีขับออกจากบ้านจอดอยู่ริมถนน จุดที่พบศพของสามีเมื่อคืนนี้ จึงแจ้งความคนหายไว้กับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองพิษณุโลก กระทั่งตำรวจโทรศัพท์แจ้งว่าพบศพผู้เสียชีวิตจุดที่สามีตนจอดรถยนต์ทิ้งไว้ จึงเดินทางมาดูก็พบว่าเป็นสามีของตนเองจริง ทุกวันนี้ตนประกอบอาชีพขายสุกี้ ใช้ชื่อร้านว่า แซ่บสุกี้กระทะร้อน อยู่บริเวณริมทางรถไฟหน้าตลาดผักบ้านแขก ใกล้กับโรงเรียนพุทธชินราชพิทยา เปิดมาได้ประมาณ 5 ปีแล้ว ช่วงนี้ครอบครัวมีปัญหาเรื่องเงินที่หมุนไม่ทัน จนต้องกู้เงินนอกระบบมาใช้ สุกี้ก็ขายไม่ค่อยดีในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ สามีบ่นกลุ้มใจกับปัญหาเรื่องเงินมาโดยตลอด กระทั่งวันพุธที่ผ่านมาหลังซื้อของมาเตรียมขายสุกี้สามีก็ขับรถออกมาเพียงลำพังแล้วหายตัวไป
น.ส.ชนิดาภา สุภาเกตุ เล่าทั้งน้ำตาว่า เมื่อวันพุธ ที่ 30 มี.ค.2565 ช่วงกลางวันเวลาบ่ายๆ สามีตนเพิ่งออกจากร้าน แรกๆ คิดว่า เขาเครียด คงหาที่สงบ ซึ่งเรื่องเครียดนั้นหลายอย่าง ปัญหาอะไรชัดเจนนั้นไม่รู้ ซึ่งสามีไปจอดรถเก๋งบริเวณนี้ ก่อนไปฆ่าตัวตาย สามีก็ล็อกรถไว้เรียบร้อย กระทั่งตนไปเอากุญแจสำรองมาไขและขับออกไปเมื่อสองคืนก่อน ก็ยังไม่รู้ว่าสามีนั้นตาย รู้แค่ว่าหายตัวไป กระทั่งมาพบศพวันนี้
ขณะที่สายตรวจสมอแขระบุว่า 2 วันที่ผ่านมา รถยนต์ยี่ห้อสวิฟสีขาวจอดอยู่นาน จึงได้ประสานหาตัวเจ้าของ ให้มารับรถยนต์ไปก่อนหน้านี้ เนื่องจากภรรยาใช้กุญแจสำรองไขและขับออกไป พร้อมกับตรวจตราบริเวณโดยรอบ เพื่อหานายวินัย แต่ไม่พบ จึงได้แจ้งคนหายในเวลาต่อมา กระทั่งพบศพในวันนี้ในพงหญ้าริมข้างทางห่างออกไปกว่า 20 เมตร
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเชิญตัว น.ส.ชนิดาภา ไปสอบสวนปากคำเพิ่มเติมที่ สภ.เมืองพิษณุโลก และจะได้ทำการสืบสวนสอบสวนหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริง เพื่อคลี่คลายคดีและดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
ของจริงไม่ใช่แป้ง! ตม.จิงโจ้ ยึดยาเสพติด 69 กก.จากไทย มูลค่า 1.8 พันล้านบาท
https://www.matichon.co.th/foreign/news_3265267
ของจริงไม่ใช่แป้ง! ตม.จิงโจ้ ยึดยาเสพติด 69 กก.จากไทย มูลค่า 1.8 พันล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 1 เมษายนระบุว่า เว็บไซต์ 9news สื่อท้องถิ่นออสเตรเลีย รายงานเมื่อวันที่ 2 มีนาคมที่ผ่านมา ระบุว่าเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองออสเตรเลียสามารถตรวจยึดยาเสพติดมูลค่ากว่า 55 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1,800 ล้านบาท ที่ซุกซ่อนอยู่ในกล่องชาเขียวและกล่องแม่เหล็ก ที่ถูกส่งจากประเทศไทย ไปยังเมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย
รายงานระบุว่า ตม.ออสเตรเลียใช้ระบบเอกซเรย์ ตรวจพบกล่องที่ซุกซ่อนยาเสพติดทั้งหมด 27 กล่องภายในบรรจุเมทแอมเฟตามีน จำนวน 56 กิโลกรัม และเฮโรอีน 13 กิโลกรัม โดยส่งถึงเมลเบิร์นด้วยการขนส่งทางอากาศเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์
ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจออสเตรเลีย ได้เปิดให้มีการสืบสวนการนำเข้ายาเสพติดผิดกฎหมายแล้ว ขณะที่แมทแอมเฟตามีนดังกล่าวหากหลุดรอดสายตาการตรวจสอบจะถูกขายให้กับประชาชนในประเทศได้ราว 560,000 คน โดยมีมูลค่าสูงถึง 50.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1,600 ล้านบาท ขณะที่ เฮโรอีน มีมูลค่าราว 5.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือราว 183 ล้านบาท