JJNY : 4in1 ข้าวสารถุงเล็งขึ้นราคา│ผู้เลี้ยงไก่ขึ้นราคาไข่20สต./ฟอง│กมธ.ชี้รัฐช้าทำไทยเสียโอกาส│สหรัฐอนุมัติช่วยยูเครน

ข้าวสารถุง เล็งขึ้นราคาเดือนมิ.ย.-ก.ค. หลังปลายข้าวแพง-ปริมาณผลผลิตมีน้อย
https://www.khaosod.co.th/economics/news_6946917
 
 
ข้าวสารถุง เล็งขึ้นราคาเดือนมิ.ย.-ก.ค. หลังปลายข้าวแพง-ปริมาณผลผลิตมีน้อย หอการค้าคาดเอกชนขึ้นราคาสินค้าไม่เกิน 5% พร้อมขยับเป้าเงินเฟ้อทั้งปี2565 เป็น 3.5%
   
วันที่ 17 มี.ค.65 นายบุรินทร์ ธนถาวรลาภ นายกกิติมศักดิ์สมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทย เปิดเผยว่า การสู้รบระหว่างรัสเซียและยูเครนทำให้ไทยไม่สามารถนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ โดยเฉพาะข้าวสาลีจากยูเครนได้ ส่งผลกระทบทำให้ราคาปลายข้าวในไทยปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ส่งผลทำให้ราคาข้าวนาปรัง ประเภทข้าวขาว และข้าวหอมพวงภายในประเทศ ปรับเพิ่มขึ้นตัน 2-3 พันบาท/ตัน คือปรับจาก 6-7พัน/ตัน เป็น 1 หมื่นบาท/ตัน เนื่องจากอุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์ในประเทศหันมาใช้ปลายข้าวขาวในประเทศมากขึ้น โดยในระยะสั้น1-2 เดือนจากนี้ จะยังไม่ส่งผลกระทบต่อราคาจำหน่ายปลีกข้าวสารบรรจุถุงต้องปรับขึ้นราคา แต่ในระยะยาวอาจจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาข้าวสารถุงตามต้นทุน
 
“คาดว่าช่วงเดือน มิ.ย.-ก.ค.2565 อาจจะจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาข้าวสารบรรจุ เพราะอีก 1-2 เดือนสต็อกข้าวสารเก่าจะหมด รวมทั้งช่วงดังกล่าวยังเป็นช่วงที่เป็นช่องว่าง ปริมาณผลผลิตข้าวมีน้อย เนื่องจากข้าวฤดูใหม่จะออกอีกทีราวเดือนส.ค. 2565 “
 
รายงานข่าวจากสมาคมโรงสีข้าวไทยแจ้งถึงราคาปลายข้าวเดือนก.พ.2565 เปรียบเทียบกับล่าสุด ณ วันที่ 17 มี.ค.2565 ว่า ปลายข้าวขาวเอวันเลิศ ราคาปรับเพิ่มขึ้น 30-50 บาท/กระสอบ(100 ก.ก.)คือปรับ จาก 1,130 – 1,190 บาท/กระสอบ เป็น 1,180 – 1,220 บาท/กระสอบ และ ปลายข้าวขาวซีวัน ราคาปรับเพิ่มขึ้น 50 บาท/กระสอบ คือปรับจาก 1,000 – 1,070 บาท/กระสอบ เป็น 1,050 – 1,120บาท/กระสอบ
 
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยถึงผลกระทบต่อราคาสินค้าจากกรณีการสู้รบรัสเซียยูเครนที่ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและวัตถุดิบผลิตสินค้านำเข้าของไทยว่า คาดว่ากระทรวงพาณิชย์จะอนุญาตให้ผู้ผลิตสินค้าที่ได้รับผลกระทบต้นทุนปรับขึ้นราคาตามต้นทุนที่แท้จริง ซึ่งคาดว่าจะภาพรวมจะมีการปรับขึ้นราคาราว 5% เนื่องจากกำลังซื้อของประชาชนยังมีมากไม่มากนัก แต่อาจจะทำให้เงินเป้าอัตราเฟ้อทั้งปีนี้ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3-3.5% สูงกว่าเป้าหมายที่ 2-2.5% แต่ก็ยังไม่น่าจะบั่นทอนกำลังซื้อของประชาชนให้ลดลงมากนัก เนื่องจากประชาชนยังพอมีทางเลือกในการบริโภคสินค้าชนิดอื่นทดแทนสินค้าที่ปรับขึ้นราคา เช่น บริโภค ปลา แทนเนื้อไก่ เนื้อหมู และไข่ เป็นต้น
 

 
อั้นไม่ไหว! ผู้เลี้ยงไก่ขึ้นราคาไข่คละหน้าฟาร์ม 20 สต./ฟอง
https://ch3plus.com/news/economy/ruangden/283242

ผู้เลี้ยงไก่ ไม่ฟังกรมการค้าภายใน ประกาศปรับขึ้นราคาไข่ไก่คละหน้าฟาร์มทีเดียว 20 สตางค์ เหตุแบกรับต้นทุนต่อไม่ไหว

โดยในวันนี้ผู้เลี้ยงไก่ไข่ ได้ปรับขึ้นราคาไข่ไก่คละหน้าฟาร์ม ขึ้นทีเดียว 20 สตางค์ต่อฟอง ทั้งๆ ที่การหารือร่วมกัน กับกรมการค้าภายในวานนี้ ให้ขึ้นแค่ 10 สตางค์เท่านั้น ส่งผลราคาไข่ไก่คละหน้าฟาร์มวันนี้พุ่ง 3.30 บาทต่อฟอง สูงกว่าราคาที่กรมการค้าภายใน ขอให้ช่วยตรึงไว้ที่ราคา 3.20 บาท

นายชาณุวัฒณ์ ศิวโมกข์ เลขานุการสหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่แปดริ้ว กล่าวว่า ขณะนี้ต้นทุนผู้เลี้ยงไก่ไข่เพิ่มสูงขึ้นมาก โดยเฉพาะอาหารสัตว์ ซึ่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ราคาอาหารสัตว์อยู่ที่ 11 บาท แต่ตอนนี้ 15 บาทต่อกิโลกรัมแล้ว ซึ่งราคาไข่ไก่ที่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ควรอยู่ที่ 3.50 บาท เพื่อให้เกษตรกรรายย่อยอยู่ได้

ซึ่งวันนี้ เกษตรกรรายย่อย ได้เลิกกิจการไปเป็นจำนวนมาก เนื่องจากแบกรับต้นทุนไม่ไหว ยกตัวอย่างที่สหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่แปดริ้ว เดิมมีสมาชิก 80 ราย  ตอนนี้เหลือเพียง 50 ราย หรือ หายไปถึง 30 ราย ส่วนรายที่ยังเลี้ยงอยู่ ก็เริ่มปลดไก่มีอายุ บางรายเริ่มขายไก่สาวออก เพราะสู้ราคาอาหารไม่ไหว โดย เห็นว่า ต้องปลดไข่ไก่ออกจากสินค้าควบคุม และปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด เพราะแม้จะคุมราคาอาหารสัตว์ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนได้ แต่ก็กระทบกับผู้ผลิตอาหารสัตว์ ซึ่งขณะนี้ก็เจอปัญหาเดียวกัน คือ ต้นทุนสูง ราคาขายต่ำ เพราะถูกควบคุมเช่นกัน
 

 
กมธ. ต่างประเทศ ศึกษาผลกระทบรถไฟจีน-ลาว ชี้รัฐล่าช้าทำไทยเสียโอกาส
https://voicetv.co.th/read/dR538kuth

กมธ. ต่างประเทศ ลงพื้นที่หนองคาย ศึกษาผลกระทบรถไฟจีนลาว “ชี้” รัฐล่าช้าทำไทยเสียโอกาส “แนะ” เร่งสร้างสถานีรองรับในหนองคาย-พร้อมเจรจาจีนเพื่อดึงโอกาสกลับไทย
 
คณะกรรมาธิการการต่างประเทศสภาผู้แทนราษฎร นำโดย ศราวุธ เพชรพนมพร ประธานกรรมาธิการฯ, จักรพล ตั้งสุทธิธรรม โฆษกกรรมาธิการฯและประธานอนุกรรมาธิการ, จุลพันธุ์ อมรวิวัฒน์ กรรมาธิการ, กฤษฎา ตันเทอดทิตย์ รองประธานอนุกรรมาธิการ, พงษ์ศักดิ์ พิบูลย์ศักดิ์ อนุกรรมาธิการ, วิโรจน์ พิพัฒน์ไชยศิริชญาภา สินธุไพร ที่ปรึกษาอนุกรรมาธิการ และวิสาระดี เตชะธีรวัฒน์
 
ลงพื้นที่ จ. หนองคายเพื่อศึกษาผลกระทบด้านเศรษฐกิจการค้าการลงทุน การท่องเที่ยว ของไทยกรณีการเปิดให้บริการของรถไฟจีน-ลาว พร้อมรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพร้อมด้วยภาคเอกชน โดยจากการศึกษาเบื้องต้น คณะฯเห็นว่ารัฐสามารถเตรียมความพร้อมประเทศได้มากกว่านี้ 
 
ทั้งนี้ ศราวุธ เพชรพนมพร ได้กล่าวว่า โจทย์ของคณะกรรมาธิการ คือการมารับฟังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบ เพื่อนำผลการศึกษาเสนอต่อ ครม. ให้ไปปรับปรุงมาตรการรองรับอย่างเท่าทันต่อสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เนื่องจากปัจจุบันโครงการรถไฟฟ้าจีนลาวได้สร้างแล้วเสร็จและเปิดใช้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
 
ขณะที่โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงของไทยเส้นทาง กรุงเทพฯ-โคราช-หนองคาย จากเดิมที่คาดว่าน่าจะสร้างเสร็จในปี 2571 ดูจะล่าช้ากว่ากำหนด และยังไม่ได้มีการเตรียมการใดๆที่รองรับการขนส่งสินค้าและนักท่องเที่ยวที่เกิดขึ้นจากรถไฟฟ้าจีนลาวเลย จึงเป็นห่วงว่าประเทศและผู้ประกอบการไทยจะเสีย “เวลา” ซึ่งเป็นต้นทุนทางโอกาสที่สำคัญ  
 
ด้าน จักรพล กล่าวว่า จากการรายงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขณะนี้สินค้าไทยที่ส่งออกไปจีน กำลังถูกกีดกัน ด้วยมาตรการ “ซีโร่โควิด” ของรัฐบาลจีน โดยจีนได้สร้าง “ด่านโม่หาน” เป็นด่านตรวจโควิดด่านแรกเพื่อตรวจสินค้าที่จะเข้าประเทศ หากรัฐบาลไทยจะเจรจาขอความร่วมมือจากทางจีนในการให้ความรู้เกี่ยวกับมาตรฐานการตรวจสินค้าแก่ผู้ประกอบไทย รวมถึงอาจจัดตั้งศูนย์ตรวจพร้อมส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจสินค้าในประเทศไทย นำกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศมาใช้ สร้างระเบียงเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง
 
ก็จะสามารถลดความเสียหายให้แก่ผู้ประกอบการส่งออกที่สินค้าถูกตีกลับเป็นจำนวนมาก ซึ่งที่ผ่านมาความตกลงว่าด้วยพิธีสาร 13 กันยายน 2564 กับจีนได้มีการลงนามตกลงแล้ว แต่การส่งออกไม่สามารถเริ่มได้เพราะมาตรการโควิดของจีนที่เคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างผลไม้ไทยมูลค่าสูงที่เป็นที่นิยมและต้องการของตลาดจีนมาก ทั้งนี้ทางคณะฯจะนำทุกข้อมูลอันเป็นประโยชน์จากทุกภาคส่วน ไปหารือและหาทางออกเพื่อที่จะชดเชยโอกาสที่เสียไปของโครงการรถไฟความเร็วสูงนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ชาวอีสานและประเทศไทย
 
ด้าน จุลพันธุ์ อมรวิวัฒน์ ยังกล่าวอีกว่า อันที่จริงแล้วประเทศไทยควรจะมีรถไฟฟ้าความเร็วสูงใช้ ตั้งแต่ปี 2563 ตามโครงการสร้างอนาคตไทย 2020  ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่สุดท้ายต้องหยุดชะงักไปทำให้เสียโอกาสเป็นอย่างมาก ในทางปฏิบัติคณะฯ ได้ติดตามดูความคืบหน้าจริงของรถไฟฟ้าจีน-ลาวแล้วใน 4 เดือนที่ผ่านมามีผู้โดยสารกว่า 1,800,000 คน สินค้าขนส่งไปแล้ว 1.2 ล้านตัน นี่คือโอกาสที่ประเทศไทยสูญเสียไปในช่วงที่ผ่านมา
 
การศึกษาในครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์ที่จะเสนอแนวทางในการดึงโอกาสกลับมาให้ประเทศไทยอย่างไรให้เร็วที่สุด เพราะไทยกำลังถูกจีนเจาะตลาดผ่านทางเส้นทางคมนาคมเส้นใหม่นี้ โดยสินค้าที่นำเข้ามาในไทยเป็นอันดับหนึ่ง กลับเป็นพืชผักผลไม้ที่เข้ามาตีตลาดไทยโดยเฉพาะ อาจเป็นตัวเลขที่น่าตระหนก แต่หากเรามองวิกฤตให้เป็นโอกาส รัฐต้องเร่งเจรจานำสินค้าไทยกลับเข้าไปสู่ตลาดจีน เพราะรถไฟที่ขนสินค้ามาจากจีน คงไม่ความประสงค์ที่จะตีกลับเป็นรถไฟเปล่าอย่างแน่นอน
 
นอกจากนั้น กฤษฎา ตันเทอดทิตย์ ยังได้กล่าวเสริมอีกว่า ในช่วงปี 2556 ได้เคยมีการสำรวจเส้นทางรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-หนองคาย และ ระบบรางระหว่างไทย-ลาว-จีน และ ไทย-จีน-เวียดนาม เพื่อประสานความ ร่วมมือให้เกิดความเชื่อมโยงในภูมิภาค เพื่อส่งเสริมให้ จ.หนองคาย เป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน รองรับการเชื่อมโยงรถไฟทางคู่กับต่างประเทศ หนองคายควรจะเป็น “ประตูมังกร”
 
เชื่อมไทยไปสู่ตลาดโลกสร้างโอกาสให้กับภาคอุตสาหกรรม ภาคการเกษตรและธุรกิจ SME และเป็นจุดเริ่มต้นในการเชื่อมเส้นทาง ไทย-ลาว-จีน แต่วันนี้ด้วยความไม่พร้อม และความไม่เข้าใจ ทำให้หลายๆอย่าง ล่าช้าไปหมด เรากำลังสูญเสียโอกาสมหาศาล กลับกัน หากวันนี้รัฐเริ่มสร้างสถานีรถไฟจากหนองคาย ย้อนกลับขึ้นไปกรุงเทพฯ น่าจะสามารถปรับให้ทันต่อผลกระทบที่กำลังเกิดขึ้น ณ เมืองหน้าด่านในขณะนี้ได้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่