เรื่องเงินเดือนเป็นสิ่งสำคัญที่เรามองข้ามไม่ได้เลยถ้ากำลังจะหางาน แล้วหลาย ๆ คนจะเกิดปัญหาไม่รู้ว่าต้องใส่จำนวนเงินเดือนเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสมกับประสบการณ์ หรือเด็กจบใหม่เองก็ไม่รู้ว่าถ้าตัวเองยังไม่มีประสบการณ์ ควรต้องเรียกเงินเดือนเท่าไหร่ถึงไม่ถูกมองว่าขอสูงเกินไป
กระทู้นี้ JobThai Tips เอาวิธีเรียกเงินเดือนที่สมเหตุสมผลเพื่อเป็นแนวทางสำหรับคนทำงานทุกกลุ่มมาฝาก
ก่อนจะเรียกเงินเดือน ต้องคำนวณต้นทุน และดูว่ามีอะไรที่จะเสียหรือได้เพิ่ม
ก่อนจะถึงการใส่จำนวนเงินเดือนที่อยากได้ เราต้องกลับมาคิดก่อนว่าเงินเดือนที่จะขอคุ้มค่าไหม? ดังนั้นเราก็ต้องเอาต้นทุนต่าง ๆ ที่เรามักจะชอบลืมไปมาคิดคำนวณด้วยว่าหากเรารับงานนี้ด้วยจำนวนเงินเดือนเท่านี้ เราจะเสียโอกาส หรือได้โอกาสอะไรเพิ่มมา ลองดูกันเลยว่ามีเรื่องอะไรที่เราต้องเอามาประกอบการพิจารณาบ้าง
1. ค่าเดินทาง ค่าที่พัก ค่าอาหาร
การย้ายงานแต่ละที่อาจจะมีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันเปลี่ยนแปลงไป เช่น ค่าเดินทาง ค่าที่พัก หรือค่าอาหาร บางที่ให้เงินเดือนเพิ่มขึ้นก็จริง แต่ออฟฟิศอยู่ในเมือง ต้องเดินทางหลายต่อเพราะบ้านอยู่ชานเมือง จะซื้อกาแฟแต่ละทีก็แก้วละเป็นร้อย หรือบางที่ให้เงินเดือนเพิ่มขึ้นนิดหน่อย แต่ให้พนักงานทำงานแบบ Work from Home ซึ่งก็ประหยัดค่าน้ำมันไปได้หลายพัน ดังนั้นลองคิดคำนวณค่าใช้จ่ายคร่าว ๆ ต่อเดือนแล้วทดไว้ในใจก่อน
2. สวัสดิการต่าง ๆ
ดูว่าบริษัทใหม่มีสวัสดิการอะไรให้บ้าง เช่น วันหยุด ค่าล่วงเวลา ค่าโทรศัพท์ ค่าอาหาร เบี้ยขยัน รวมถึงพวกค่ารักษาพยาบาลก็สำคัญมาก ยิ่งถ้าได้ประกันกลุ่มที่จ่ายค่ารักษาได้อย่างครอบคลุม พอเจ็บป่วยเราไม่ต้องควักเงินในกระเป๋าจ่ายก็อาจจะช่วยลดภาระของเราในอนาคตได้ ซึ่งคนทำงานส่วนใหญ่มักจะชอบเลือกไม่ได้ระหว่างเงินเดือนเยอะแต่ไม่มีสวัสดิการอะไรเลย กับเงินเดือนตามเรททั่วไปแต่สวัสดิการแน่น ดังนั้นเอามาคิดคำนวณให้ดีว่าสวัสดิการที่ทำงานใหม่คุ้มแค่ไหนกับเงินเดือนที่เราได้ และสวัสดิการพวกนั้นเป็นสวัสดิการที่เราต้องการรึเปล่า
3. โบนัส
พิจารณาว่ามีโอกาสที่จะได้โบนัสมากขึ้นไหม หรือมีการันตีโบนัส (Fixed Bonus) ให้กี่เดือน เอามาคำนวณรวมกับเงินเดือนแล้ว เฉลี่ยเราจะมีรายได้ต่อเดือนเท่าไหร่ และเราโอเคกับตัวเลขนั้นไหม แต่บางคนก็ชอบโฟกัสกับโบนัสมากเกินไป จนยอมลดเงินเดือนตัวเองเพื่อโบนัสที่เยอะขึ้น สิ่งที่อยากบอกคือโบนัสไม่ใช่เงินเดือนที่เราจะได้อย่างแน่นอนทุกเดือน แต่มันเป็นเงินที่เราจะได้ตามผลประกอบการของบริษัท ถ้าผลประกอบการไม่ดี เขาจะจ่าย หรือไม่จ่ายก็ได้ หรือบางบริษัทมีการันตีโบนัสให้ก็จริง แต่พอเจอสถานการณ์ที่คาดไม่ถึงอย่างเช่นโควิด-19 เข้าไป ขอลดเงินเดือนแทนก็มี ดังนั้นเอาโบนัสมาคิดด้วยได้ แต่ก็ต้องอย่าลืมนึกถึงความไม่แน่นอนของมันด้วย
4. เวลา
หลายคนอาจจะคิดถึงแค่เวลาในขณะที่ทำงาน แต่ความเป็นจริงแล้ว “เวลา” ที่เราเสียไปมันมากกว่านั้น และมันมีค่า บางคนใช้เวลาเดินทางไปที่ทำงานหลายต่อ ใช้เวลา 3-4 ชั่วโมงต่อวันในการเดินทาง กว่าจะถึงที่ทำงานก็เหนื่อย หมดเรี่ยวแรงจะทำงาน ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงาน กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็ไม่อยากจะทำอะไรต่อแล้ว บางบริษัทให้วันหยุดแค่วันเดียว หรือให้ทำงานหนักเกิน 8 ชั่วโมง Work-Life Balance ของเราก็เสีย ไม่มีเวลาทำในสิ่งที่อยากทำ ดังนั้นต้องอย่าลืมคิดถึงเวลาที่เราต้องเสียไปกับงานงานนี้ด้วยเพราะเวลาที่เสียไปเหล่านั้นก็มีผลต่อสุขภาพกายและจิตใจเราด้วยเช่นกัน
5. สิ่งที่จะได้จากการทำงานที่นี่
ข้อนี้สำคัญมากเราต้องมองไปถึงสิ่งที่จะได้รับกลับมาจากที่นี่ซึ่งอาจจะจับต้องไม่ได้ด้วย ลองจินตนาการดูว่าถ้าเราได้ทำงานที่นี่ เราจะมีโอกาสได้พัฒนาความรู้และทักษะอะไรใหม่ ๆ ไหม? สามารถต่อยอดไปถึงเป้าหมายในอนาคตเราได้รึเปล่า? มีเวทีให้เราได้โชว์ของไหม? รวมถึงมีที่ให้เราเติบโตรึเปล่า? โดยเฉพาะเด็กจบใหม่ ที่ยังไม่มีประสบการณ์ให้สามารถเรียกเงินเดือนได้ตามที่ต้องการ เราอาจจะต้องยอมคิดถึงจำนวนเงินให้น้อยลงเพื่อแลกกับประสบการณ์และทักษะที่เราจะได้เรียนรู้
การที่เราย้ายงานก็เหมือนกับการเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตใหม่ไปด้วย และมีความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เช่น ย้ายไปแล้วงานไม่เป็นอย่างที่คิด หัวหน้าไม่ใช่แบบที่คาดหวัง เพื่อนร่วมงานไม่โอเค ดังนั้นการเรียกเงินเดือนเพิ่มก็ต้องประเมินความเสี่ยงด้วย และเมื่อคิดต้นทุนคร่าว ๆ แล้วก็ค่อยมาดูว่าเราควรจะต้องเรียกเงินเดือนเท่าไหร่ ถึงจะคุ้มค่าและเหมาะสม่ ซึ่งการใส่เงินเดือนมีผลต่อการได้งานหรือไม่ได้งานของเราสูงมาก และ HR จะมีการพิจารณาเงินเดือนของแต่ละกลุ่มคนทำงานไม่เหมือนกัน
ก่อนจะเรียกเงินเดือนต้องดูอะไรบ้างคะ
กระทู้นี้ JobThai Tips เอาวิธีเรียกเงินเดือนที่สมเหตุสมผลเพื่อเป็นแนวทางสำหรับคนทำงานทุกกลุ่มมาฝาก
ก่อนจะเรียกเงินเดือน ต้องคำนวณต้นทุน และดูว่ามีอะไรที่จะเสียหรือได้เพิ่ม
ก่อนจะถึงการใส่จำนวนเงินเดือนที่อยากได้ เราต้องกลับมาคิดก่อนว่าเงินเดือนที่จะขอคุ้มค่าไหม? ดังนั้นเราก็ต้องเอาต้นทุนต่าง ๆ ที่เรามักจะชอบลืมไปมาคิดคำนวณด้วยว่าหากเรารับงานนี้ด้วยจำนวนเงินเดือนเท่านี้ เราจะเสียโอกาส หรือได้โอกาสอะไรเพิ่มมา ลองดูกันเลยว่ามีเรื่องอะไรที่เราต้องเอามาประกอบการพิจารณาบ้าง
1. ค่าเดินทาง ค่าที่พัก ค่าอาหาร
การย้ายงานแต่ละที่อาจจะมีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันเปลี่ยนแปลงไป เช่น ค่าเดินทาง ค่าที่พัก หรือค่าอาหาร บางที่ให้เงินเดือนเพิ่มขึ้นก็จริง แต่ออฟฟิศอยู่ในเมือง ต้องเดินทางหลายต่อเพราะบ้านอยู่ชานเมือง จะซื้อกาแฟแต่ละทีก็แก้วละเป็นร้อย หรือบางที่ให้เงินเดือนเพิ่มขึ้นนิดหน่อย แต่ให้พนักงานทำงานแบบ Work from Home ซึ่งก็ประหยัดค่าน้ำมันไปได้หลายพัน ดังนั้นลองคิดคำนวณค่าใช้จ่ายคร่าว ๆ ต่อเดือนแล้วทดไว้ในใจก่อน
2. สวัสดิการต่าง ๆ
ดูว่าบริษัทใหม่มีสวัสดิการอะไรให้บ้าง เช่น วันหยุด ค่าล่วงเวลา ค่าโทรศัพท์ ค่าอาหาร เบี้ยขยัน รวมถึงพวกค่ารักษาพยาบาลก็สำคัญมาก ยิ่งถ้าได้ประกันกลุ่มที่จ่ายค่ารักษาได้อย่างครอบคลุม พอเจ็บป่วยเราไม่ต้องควักเงินในกระเป๋าจ่ายก็อาจจะช่วยลดภาระของเราในอนาคตได้ ซึ่งคนทำงานส่วนใหญ่มักจะชอบเลือกไม่ได้ระหว่างเงินเดือนเยอะแต่ไม่มีสวัสดิการอะไรเลย กับเงินเดือนตามเรททั่วไปแต่สวัสดิการแน่น ดังนั้นเอามาคิดคำนวณให้ดีว่าสวัสดิการที่ทำงานใหม่คุ้มแค่ไหนกับเงินเดือนที่เราได้ และสวัสดิการพวกนั้นเป็นสวัสดิการที่เราต้องการรึเปล่า
3. โบนัส
พิจารณาว่ามีโอกาสที่จะได้โบนัสมากขึ้นไหม หรือมีการันตีโบนัส (Fixed Bonus) ให้กี่เดือน เอามาคำนวณรวมกับเงินเดือนแล้ว เฉลี่ยเราจะมีรายได้ต่อเดือนเท่าไหร่ และเราโอเคกับตัวเลขนั้นไหม แต่บางคนก็ชอบโฟกัสกับโบนัสมากเกินไป จนยอมลดเงินเดือนตัวเองเพื่อโบนัสที่เยอะขึ้น สิ่งที่อยากบอกคือโบนัสไม่ใช่เงินเดือนที่เราจะได้อย่างแน่นอนทุกเดือน แต่มันเป็นเงินที่เราจะได้ตามผลประกอบการของบริษัท ถ้าผลประกอบการไม่ดี เขาจะจ่าย หรือไม่จ่ายก็ได้ หรือบางบริษัทมีการันตีโบนัสให้ก็จริง แต่พอเจอสถานการณ์ที่คาดไม่ถึงอย่างเช่นโควิด-19 เข้าไป ขอลดเงินเดือนแทนก็มี ดังนั้นเอาโบนัสมาคิดด้วยได้ แต่ก็ต้องอย่าลืมนึกถึงความไม่แน่นอนของมันด้วย
4. เวลา
หลายคนอาจจะคิดถึงแค่เวลาในขณะที่ทำงาน แต่ความเป็นจริงแล้ว “เวลา” ที่เราเสียไปมันมากกว่านั้น และมันมีค่า บางคนใช้เวลาเดินทางไปที่ทำงานหลายต่อ ใช้เวลา 3-4 ชั่วโมงต่อวันในการเดินทาง กว่าจะถึงที่ทำงานก็เหนื่อย หมดเรี่ยวแรงจะทำงาน ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงาน กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็ไม่อยากจะทำอะไรต่อแล้ว บางบริษัทให้วันหยุดแค่วันเดียว หรือให้ทำงานหนักเกิน 8 ชั่วโมง Work-Life Balance ของเราก็เสีย ไม่มีเวลาทำในสิ่งที่อยากทำ ดังนั้นต้องอย่าลืมคิดถึงเวลาที่เราต้องเสียไปกับงานงานนี้ด้วยเพราะเวลาที่เสียไปเหล่านั้นก็มีผลต่อสุขภาพกายและจิตใจเราด้วยเช่นกัน
5. สิ่งที่จะได้จากการทำงานที่นี่
ข้อนี้สำคัญมากเราต้องมองไปถึงสิ่งที่จะได้รับกลับมาจากที่นี่ซึ่งอาจจะจับต้องไม่ได้ด้วย ลองจินตนาการดูว่าถ้าเราได้ทำงานที่นี่ เราจะมีโอกาสได้พัฒนาความรู้และทักษะอะไรใหม่ ๆ ไหม? สามารถต่อยอดไปถึงเป้าหมายในอนาคตเราได้รึเปล่า? มีเวทีให้เราได้โชว์ของไหม? รวมถึงมีที่ให้เราเติบโตรึเปล่า? โดยเฉพาะเด็กจบใหม่ ที่ยังไม่มีประสบการณ์ให้สามารถเรียกเงินเดือนได้ตามที่ต้องการ เราอาจจะต้องยอมคิดถึงจำนวนเงินให้น้อยลงเพื่อแลกกับประสบการณ์และทักษะที่เราจะได้เรียนรู้
การที่เราย้ายงานก็เหมือนกับการเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตใหม่ไปด้วย และมีความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เช่น ย้ายไปแล้วงานไม่เป็นอย่างที่คิด หัวหน้าไม่ใช่แบบที่คาดหวัง เพื่อนร่วมงานไม่โอเค ดังนั้นการเรียกเงินเดือนเพิ่มก็ต้องประเมินความเสี่ยงด้วย และเมื่อคิดต้นทุนคร่าว ๆ แล้วก็ค่อยมาดูว่าเราควรจะต้องเรียกเงินเดือนเท่าไหร่ ถึงจะคุ้มค่าและเหมาะสม่ ซึ่งการใส่เงินเดือนมีผลต่อการได้งานหรือไม่ได้งานของเราสูงมาก และ HR จะมีการพิจารณาเงินเดือนของแต่ละกลุ่มคนทำงานไม่เหมือนกัน