สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 6
พวกสัสสตทิฏฐิ จะมาเข้าใจธรรมที่เป็นสัมมาทิฏฐินั้นเป็นเรื่องยาก
พวกสัสสตทิฏฐิ พยายามเผยแพร่ลัทธิตน โดยพยายามเข้ามาบิดเบือนธรรมอันเป็นสัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้า
ความเห็นของ 5447057 และพวก เป็นมิจฉาทิฏฐิ
ความดำริในการเผยแพร่เป็นมิจฉาสังกัปปะ
การเผยแพร่ อธรรม การบิดเบือนธรรมออกสู่โลกออนไลน์ เป็นมิจฉาวาจา
ความพยายามเผยแพร่ของพวกเขาเป็นมิจฉาวายามะ
พฤติกรรมที่ห้อมล้อม เช่นนี้ ย่อมทำให้มิจฉาทิฏฐิจมดิ่งปักแน่น ยากที่จะถอนขึ้น
แม้พระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้ธรรมอันเป็นสัมมาทิฏฐิ ก็ไม่ตอบคำถามกับพวกที่มีมิจฉาทิฏฐิปักแน่น

พวกมิจฉาทิฏฐิ กระสัน กระสับกระส่าย อยากสร้างตัวตนให้ยิ่งใหญ่ แสดงการยกตนย่ำยีธรรมอันเป็นสัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้า
แต่ก็ยังมี สมาชิกที่เล่าเรียนธรรมอันเป็นสัมมาทิฏฐิ มาชี้แจง มาโต้แย้ง
แม้กระนั้น พวกมิจฉาทิฏฐิ ก็ยังไม่รู้จักครั่นคร้าม ยังพยายามเผยแพร่ความเห็นที่ผิด อย่างต่อเนื่อง
ข้อนั้นเพราะอะไร เพราะเขาเป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่ละอายชั่ว ไม่เกรงกลัวบาป นั่นเอง
พวกสัสสตทิฏฐิ พยายามเผยแพร่ลัทธิตน โดยพยายามเข้ามาบิดเบือนธรรมอันเป็นสัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้า
ความเห็นของ 5447057 และพวก เป็นมิจฉาทิฏฐิ
ความดำริในการเผยแพร่เป็นมิจฉาสังกัปปะ
การเผยแพร่ อธรรม การบิดเบือนธรรมออกสู่โลกออนไลน์ เป็นมิจฉาวาจา
ความพยายามเผยแพร่ของพวกเขาเป็นมิจฉาวายามะ
พฤติกรรมที่ห้อมล้อม เช่นนี้ ย่อมทำให้มิจฉาทิฏฐิจมดิ่งปักแน่น ยากที่จะถอนขึ้น
แม้พระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้ธรรมอันเป็นสัมมาทิฏฐิ ก็ไม่ตอบคำถามกับพวกที่มีมิจฉาทิฏฐิปักแน่น

พวกมิจฉาทิฏฐิ กระสัน กระสับกระส่าย อยากสร้างตัวตนให้ยิ่งใหญ่ แสดงการยกตนย่ำยีธรรมอันเป็นสัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้า
แต่ก็ยังมี สมาชิกที่เล่าเรียนธรรมอันเป็นสัมมาทิฏฐิ มาชี้แจง มาโต้แย้ง
แม้กระนั้น พวกมิจฉาทิฏฐิ ก็ยังไม่รู้จักครั่นคร้าม ยังพยายามเผยแพร่ความเห็นที่ผิด อย่างต่อเนื่อง
ข้อนั้นเพราะอะไร เพราะเขาเป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่ละอายชั่ว ไม่เกรงกลัวบาป นั่นเอง
ความคิดเห็นที่ 19
,
"พระยมกเห็นว่าพระอรหันต์..ตายแล้วจะไม่เกิดอีก..จะต่างจาก...หลุดพ้นเป็นอรหันต์แล้วไม่เกิดอีก...อย่างไร?
สมาชิกหมายเลข 5449398
09 มีนาคม 2565 เวลา 12:25:55 น.
ศาสนาพุทธ
คนที่ถามนะ.... ถามมาอย่างนี้...เพราะไม่เข้าใจอรรถะในยมกสูตร..
และพระสูตรอื่นๆ....ที่มีการกล่าวถึง " ฐานะ4..ของตถาคตภายหล้งจากการตาย "
เรื่องมันไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย.. แต่เพราะเชื่ออาจารย์โดยไม่ไตร่ตรองให้ดี...
จึงหลงไปกล่าว " อุจเฉทวาทะ ".....เป็นวาจาที่เป็นข้าศึกกับศาสดาของตน..ไป
(... ที่จริงก็เข้าใจได้คือน่าเห็นใจ...เพราะว่าเรื่องนี้..เป็นเรื่องลึกซึ้ง..เป็นระดับปรัชญา..
ถ้าปัจจุบัน..ก็เป็นพวก...materialism(สสารนิยม)..และ... idealism(จิตนิยม)....
มันไม้ใช่เรื่องง่ายที่ชาวบ้านร้านตลาดจะเข้าใจได้ง่าย...จะต้องไปอ่านปรัชญาประกอบ..)
เรื่องก็คือว่า " พระอรหันต์และพระตถาคต....แยกออกจากขันธ์๕..อย่างเด็ดขาดแล้ว "
ดังที่พระองค์อธิบายแก่วัจฉะข้างล่างนี้... ว่า " ตถาคต...ไม่นับว่าเป็น..ขันธ์๕ "...
เพราะฉนั้น...จึงไม่ถึงการไปกล่าวว่า " ตายแล้ว... จะเข้าถึงฐานะ 4 ประการ "....
สิ่งที่ " ตาย-มรณ..มันคือ..ขันธ์๕ ..เท่านั้น " <----มันก็แค่นี้...
------ 5 5 5 5
. 
นึกว่าเจ้าของกระทู้ จะรู้จักคิดมากกว่านี้
ไม่คิดเลยว่า เจ้าของกระทู้ จะดักดาน อ่านพระธรรม ไม่เข้าใจขนาดนี้
สมัยก่อนที่ยังไม่เข้าใจ ว่า ทำไม พระพุทธองค์ ทรงตรัสแสดงอยู่เสมอว่า ขันธ์5 ไม่ใช่ตัวตน
ก็ยังสงสัยว่า ทำไมพระพุทธองค์ทรงตรัส ย้ำ ให้สาวก รู้และเข้าใจ มาตลอด
ภายหลัง จึงได้รู้ว่า เพราะ ขันธ์5 (กายและจิต) คือสิ่งที่จะยึดได้ว่า เป็นตน (และตรัสแสดงพระธรรม และซักถาม เพื่อให้ผู้ที่เข้าใจผิดว่ามี ตัวตนอื่น นอกเหนือขันธ์5. ได้รู้ว่าไม่มีเช่นนั้น ตามที่เห็นแล้ว หลายพระสูตร (เช่น พระสูตร ท่านยมก ที่เจ้าของกระทู้ยกมาเองนี้ และพระสูตรอื่น ที่กล่าวถึงท่านพระอนุราธะ )
และท่านอื่นที่เข้าใจผิดว่า คำว่า พระอรหันต์(ที่เป็นชื่อเรียกแทนชุดของ ขันธ์5 ที่ตัดกิเลส(บรรลุธรรม)4ขั้น )
เมื่อปรินิพพาน(จิตดับครั้งสุดท้ายในภพนี้ แล้วไม่มีจิตใหม่เกิดในที่ใดๆอีก เพราะไม่มีกิเลสที่เป็นสาเหตุให้มีจิตใหม่เกิดอีก). แล้วสูญสิ้นไป
ก็จะถูกท่านที่เข้าใจถูกต้องแล้ว ซักถามว่า
- มีพระอรหันต์ในขันธ์5 หรือ?
และถามว่า มีพระอรหันต์ นอกเหนือขันธ์5 หรือ?
แล้วท่านนั้นๆ จึงเข้าใจว่า สิ่งที่ถูกเรียกว่า พระอรหันต์ นั้นคือขันธ์5
และ ไม่มีสิ่งอื่น อยู่นอกเหนือขันธ์5 อีก
เมื่อขันธ์5 คือกายและจิต ดับไป ก็ไม่มีออะไร มาเรียกว่าพระอรหันต์อักเท่านั้น ไม่ใช่ว่า พระอรหันต์สญไป แต่เป็นเพียงว่า เมื่อจันธ์5 ไม่สามารถตั้งอยู่ต่อไป ก็ดับไปเท่านั้นเอง
คำว่าพระอรหันต์ (หรือคำอื่นๆ เช่น เทวดา พรหม เป็นชื่อเรียก สถาวะที่แตกต่างกันของขันธ์5 แต่ละชุดเท่านั้น เอง
ก่อนหน้านี้ เจ้าของกอย่างกระทู้บอกว่าไม่ได้เชื่อ เจ้าสำนักวจน ทุกอย่าง
เข้าใจว่า จะรู้จักคิด พิจารณาเองได้บ้าง
แต่เห็น ความรู้ ที่ยังไม่เข้าใจ พระธรรม เรื่องความสำคัญของขันธ์5 ว่า เป็นสิ่งที่จะถูกยึดว่าเป็นตัวตน ไม่มีสิ่งอื่น นอกเหนือขันธ์5 ที่จะมายึดถือ(ผิดๆ)ว่าเป็นตัวตนอีก
จึงทรงตรัสแสดงถึงขันธ์5 ว่า ไม่คงที่ ไม่ใช่ตัวตน(ที่เป็นเหตุให้มีความอยาก(ตัณหา))
และทรงตรัสแสดง แก้ความเข้าใจผิด ว่า มีตัวตนอื่นใด นอกเหนือจาก ขันธ์5 อีก
แต่ก็เห็นใจ ที่เจ้าของกระทู้บอกว่า ศึกษาพระธรรมมา 5 ปี (แล้วเข้าใจว่าตนเองเข้าใจถูกต้อง)
เพราะ ถ้า ศึกษาเอง กว่าจะรู้ว่า ใีแต่ขันธ์5 เท่านั้นที่จะเป็นสิ่งที่จะเข้าใจยึดถิอเป็นตัวตนได้
ก็ต้องใช้ เวลาศึกษาพอสมควร จึงจะเข้าใจ ถึงจะรู้ว่า ทำไม พระธรรมเทศนา จึงเน้นเรื่องขันธ์5 และครูอาจารย์ท่านผู้เห็นความจริงแล้ว จึงสอนเรื่องขันธ์5(คือกายและจิต) นี้ เป็นอย่างมาก
เพราะถ้าเห็น ว่าขันธ์5 นี้ ไม่คงที่ แล้ว ก็จะเห็นความจริงว่า ไม่ควที่พอจะนับได้ว่าเป็นตัวตน ก็จะตัดกิเลส บรรลุธรรมได้ นั่นเอง
แต่เจ้าของกระทู้ โชคไม่ดี ได้พยกับสำนักวจน ที่เข้าใจผิด หลวผิด ว่าทีสิ่งอื่นนอกเหนือขันธ์5 ที่ตะเป็นตัวตนได้
จึงทำให้เข้าใจผิดเพี้ยน จากพระธรรม ตามที่เจ้าของกระทู้ อธิบายมา
จึงได้บอกว่า สิ่งที่สำนักวจน อธิบายผิดๆนั้น เป็นยาพิษ ใส่ลงในจิตใจ คนที่ยังไม่เข้าใจหลักพระธรรมอย่างถูกต้องมาก่อน
ทำให้ หลงเชื่อ หลงผิด เข้าใจผิดเพี้ยน ไปจากหลักพระธรรม
เช่นที่ เจ้าของกระทู้เป็น และแสดงให้เห็นแล้ว นี้
น่าเสียดาย และสงสาร เจ้าของกระทู้ ที่มีความขยัน แต่เพราะเข้าใจผิดตั้งแต่ต้น จึงยิ่งขยัน ยิ่งเข้าใจผิด
(และ ไม่ฟังสิ่งที่ท่านอื่นแธิบาย แม้อธิบายอย่างชัดเจน ไม่มีข้อโต้แย้งแล้ว ก็ยังดึงดันไม่ฟัง ไม่คิด น่าสงสารนัก)
สำนักวจน ได้สร้างผลร้าย แก่ผู้สนใจศาสนา และทำร้ายพระธรรม ยิ่งนัก
สงสาร เจ้าของกระทู้ ที่หลงเขื่อ ไป และยังไม่มี ความคิด พิจารณาพระธรรมให้เข้าใจอย่างถูกต้อง แม้ได้เห็นพระธรรม และได้มีผู้อธิบายให้เข้าใจอย่างละเอียด มามากมายแล้วก็ตาม
.
.
"พระยมกเห็นว่าพระอรหันต์..ตายแล้วจะไม่เกิดอีก..จะต่างจาก...หลุดพ้นเป็นอรหันต์แล้วไม่เกิดอีก...อย่างไร?
สมาชิกหมายเลข 5449398
09 มีนาคม 2565 เวลา 12:25:55 น.
ศาสนาพุทธ
คนที่ถามนะ.... ถามมาอย่างนี้...เพราะไม่เข้าใจอรรถะในยมกสูตร..
และพระสูตรอื่นๆ....ที่มีการกล่าวถึง " ฐานะ4..ของตถาคตภายหล้งจากการตาย "
เรื่องมันไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย.. แต่เพราะเชื่ออาจารย์โดยไม่ไตร่ตรองให้ดี...
จึงหลงไปกล่าว " อุจเฉทวาทะ ".....เป็นวาจาที่เป็นข้าศึกกับศาสดาของตน..ไป
(... ที่จริงก็เข้าใจได้คือน่าเห็นใจ...เพราะว่าเรื่องนี้..เป็นเรื่องลึกซึ้ง..เป็นระดับปรัชญา..
ถ้าปัจจุบัน..ก็เป็นพวก...materialism(สสารนิยม)..และ... idealism(จิตนิยม)....
มันไม้ใช่เรื่องง่ายที่ชาวบ้านร้านตลาดจะเข้าใจได้ง่าย...จะต้องไปอ่านปรัชญาประกอบ..)
เรื่องก็คือว่า " พระอรหันต์และพระตถาคต....แยกออกจากขันธ์๕..อย่างเด็ดขาดแล้ว "
ดังที่พระองค์อธิบายแก่วัจฉะข้างล่างนี้... ว่า " ตถาคต...ไม่นับว่าเป็น..ขันธ์๕ "...
เพราะฉนั้น...จึงไม่ถึงการไปกล่าวว่า " ตายแล้ว... จะเข้าถึงฐานะ 4 ประการ "....
สิ่งที่ " ตาย-มรณ..มันคือ..ขันธ์๕ ..เท่านั้น " <----มันก็แค่นี้...
------ 5 5 5 5





นึกว่าเจ้าของกระทู้ จะรู้จักคิดมากกว่านี้
ไม่คิดเลยว่า เจ้าของกระทู้ จะดักดาน อ่านพระธรรม ไม่เข้าใจขนาดนี้



สมัยก่อนที่ยังไม่เข้าใจ ว่า ทำไม พระพุทธองค์ ทรงตรัสแสดงอยู่เสมอว่า ขันธ์5 ไม่ใช่ตัวตน
ก็ยังสงสัยว่า ทำไมพระพุทธองค์ทรงตรัส ย้ำ ให้สาวก รู้และเข้าใจ มาตลอด
ภายหลัง จึงได้รู้ว่า เพราะ ขันธ์5 (กายและจิต) คือสิ่งที่จะยึดได้ว่า เป็นตน (และตรัสแสดงพระธรรม และซักถาม เพื่อให้ผู้ที่เข้าใจผิดว่ามี ตัวตนอื่น นอกเหนือขันธ์5. ได้รู้ว่าไม่มีเช่นนั้น ตามที่เห็นแล้ว หลายพระสูตร (เช่น พระสูตร ท่านยมก ที่เจ้าของกระทู้ยกมาเองนี้ และพระสูตรอื่น ที่กล่าวถึงท่านพระอนุราธะ )
และท่านอื่นที่เข้าใจผิดว่า คำว่า พระอรหันต์(ที่เป็นชื่อเรียกแทนชุดของ ขันธ์5 ที่ตัดกิเลส(บรรลุธรรม)4ขั้น )
เมื่อปรินิพพาน(จิตดับครั้งสุดท้ายในภพนี้ แล้วไม่มีจิตใหม่เกิดในที่ใดๆอีก เพราะไม่มีกิเลสที่เป็นสาเหตุให้มีจิตใหม่เกิดอีก). แล้วสูญสิ้นไป
ก็จะถูกท่านที่เข้าใจถูกต้องแล้ว ซักถามว่า
- มีพระอรหันต์ในขันธ์5 หรือ?
และถามว่า มีพระอรหันต์ นอกเหนือขันธ์5 หรือ?
แล้วท่านนั้นๆ จึงเข้าใจว่า สิ่งที่ถูกเรียกว่า พระอรหันต์ นั้นคือขันธ์5
และ ไม่มีสิ่งอื่น อยู่นอกเหนือขันธ์5 อีก
เมื่อขันธ์5 คือกายและจิต ดับไป ก็ไม่มีออะไร มาเรียกว่าพระอรหันต์อักเท่านั้น ไม่ใช่ว่า พระอรหันต์สญไป แต่เป็นเพียงว่า เมื่อจันธ์5 ไม่สามารถตั้งอยู่ต่อไป ก็ดับไปเท่านั้นเอง
คำว่าพระอรหันต์ (หรือคำอื่นๆ เช่น เทวดา พรหม เป็นชื่อเรียก สถาวะที่แตกต่างกันของขันธ์5 แต่ละชุดเท่านั้น เอง
ก่อนหน้านี้ เจ้าของกอย่างกระทู้บอกว่าไม่ได้เชื่อ เจ้าสำนักวจน ทุกอย่าง
เข้าใจว่า จะรู้จักคิด พิจารณาเองได้บ้าง
แต่เห็น ความรู้ ที่ยังไม่เข้าใจ พระธรรม เรื่องความสำคัญของขันธ์5 ว่า เป็นสิ่งที่จะถูกยึดว่าเป็นตัวตน ไม่มีสิ่งอื่น นอกเหนือขันธ์5 ที่จะมายึดถือ(ผิดๆ)ว่าเป็นตัวตนอีก
จึงทรงตรัสแสดงถึงขันธ์5 ว่า ไม่คงที่ ไม่ใช่ตัวตน(ที่เป็นเหตุให้มีความอยาก(ตัณหา))
และทรงตรัสแสดง แก้ความเข้าใจผิด ว่า มีตัวตนอื่นใด นอกเหนือจาก ขันธ์5 อีก
แต่ก็เห็นใจ ที่เจ้าของกระทู้บอกว่า ศึกษาพระธรรมมา 5 ปี (แล้วเข้าใจว่าตนเองเข้าใจถูกต้อง)
เพราะ ถ้า ศึกษาเอง กว่าจะรู้ว่า ใีแต่ขันธ์5 เท่านั้นที่จะเป็นสิ่งที่จะเข้าใจยึดถิอเป็นตัวตนได้
ก็ต้องใช้ เวลาศึกษาพอสมควร จึงจะเข้าใจ ถึงจะรู้ว่า ทำไม พระธรรมเทศนา จึงเน้นเรื่องขันธ์5 และครูอาจารย์ท่านผู้เห็นความจริงแล้ว จึงสอนเรื่องขันธ์5(คือกายและจิต) นี้ เป็นอย่างมาก
เพราะถ้าเห็น ว่าขันธ์5 นี้ ไม่คงที่ แล้ว ก็จะเห็นความจริงว่า ไม่ควที่พอจะนับได้ว่าเป็นตัวตน ก็จะตัดกิเลส บรรลุธรรมได้ นั่นเอง
แต่เจ้าของกระทู้ โชคไม่ดี ได้พยกับสำนักวจน ที่เข้าใจผิด หลวผิด ว่าทีสิ่งอื่นนอกเหนือขันธ์5 ที่ตะเป็นตัวตนได้
จึงทำให้เข้าใจผิดเพี้ยน จากพระธรรม ตามที่เจ้าของกระทู้ อธิบายมา
จึงได้บอกว่า สิ่งที่สำนักวจน อธิบายผิดๆนั้น เป็นยาพิษ ใส่ลงในจิตใจ คนที่ยังไม่เข้าใจหลักพระธรรมอย่างถูกต้องมาก่อน
ทำให้ หลงเชื่อ หลงผิด เข้าใจผิดเพี้ยน ไปจากหลักพระธรรม
เช่นที่ เจ้าของกระทู้เป็น และแสดงให้เห็นแล้ว นี้
น่าเสียดาย และสงสาร เจ้าของกระทู้ ที่มีความขยัน แต่เพราะเข้าใจผิดตั้งแต่ต้น จึงยิ่งขยัน ยิ่งเข้าใจผิด
(และ ไม่ฟังสิ่งที่ท่านอื่นแธิบาย แม้อธิบายอย่างชัดเจน ไม่มีข้อโต้แย้งแล้ว ก็ยังดึงดันไม่ฟัง ไม่คิด น่าสงสารนัก)
สำนักวจน ได้สร้างผลร้าย แก่ผู้สนใจศาสนา และทำร้ายพระธรรม ยิ่งนัก
สงสาร เจ้าของกระทู้ ที่หลงเขื่อ ไป และยังไม่มี ความคิด พิจารณาพระธรรมให้เข้าใจอย่างถูกต้อง แม้ได้เห็นพระธรรม และได้มีผู้อธิบายให้เข้าใจอย่างละเอียด มามากมายแล้วก็ตาม
.
.
ความคิดเห็นที่ 12
ไม่ได้มุ่งหวังโต้แย้งกับคนพาล
แต่มุ่งหวังให้ผู้อ่านที่มีสัมมาทิฏฐิ ได้รู้ว่า บัณฑิตในพาลปัณฑิตสูตรนี้ พระพุทธเจ้าหมายถึงใคร
พวกที่ศึกษาธรรมแบบสัมมาทิฏฐิ จะรู้ได้ว่า บัณฑิตในสูตรนี้หมายถึงพระขีณาสพ - พระอรหันต์
พวกที่ศึกษาธรรมแบบสัมมาทิฏฐิ จะรู้ได้ว่า พระพุทธเจ้ากล่าวถึง บัณฑิต-พระขีณาสพ/พระอรหันต์ ผู้ประพฤติพรหมจรรย์สิ้นทุกข์โดยชอบ----> ตาย
กายของบัณฑิตนี้ผู้ถูกอวิชชาใดหุ้มห่อแล้ว
และประกอบด้วยตัณหาใดเกิดขึ้นแล้ว
อวิชชานั้นแหละบัณฑิตละได้แล้ว และตัณหานั้นก็หมดสิ้นไปแล้ว
ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะบัณฑิตได้ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ
เพราะฉะนั้นเมื่อตายไป บัณฑิตจึงไม่เข้าถึงกาย
เมื่อไม่เข้าถึงกาย เขาจึงพ้นจากชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส
เราจึงกล่าวว่า ‘เขาพ้นจากทุกข์’
ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นความแปลกกัน นี้เป็นความแตกต่างกัน นี้เป็นเหตุทำให้ต่างกัน
ระหว่างบัณฑิตกับคนพาล กล่าวคือการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์
อ่านพระสูตรเต็มที่นี่ พาลปัณฑิตสูตร

แต่อาจเป็นไปได้ว่า
พวกมิจฉาทิฏฐิ จะไม่รู้ว่า บัณฑิตในพระสูตรนี้คือ พระขีณาสพ - พระอรหันต์
พวกมิจฉาทิฏฐิ อาจจะพอรู้ว่า คำว่า บัณฑิต หมายถึงผู้ที่ได้รับกระดาษ ที่เรียกว่าใบปริญญาจากใครก็ตาม (ฮา)
แต่มุ่งหวังให้ผู้อ่านที่มีสัมมาทิฏฐิ ได้รู้ว่า บัณฑิตในพาลปัณฑิตสูตรนี้ พระพุทธเจ้าหมายถึงใคร
พวกที่ศึกษาธรรมแบบสัมมาทิฏฐิ จะรู้ได้ว่า บัณฑิตในสูตรนี้หมายถึงพระขีณาสพ - พระอรหันต์
พวกที่ศึกษาธรรมแบบสัมมาทิฏฐิ จะรู้ได้ว่า พระพุทธเจ้ากล่าวถึง บัณฑิต-พระขีณาสพ/พระอรหันต์ ผู้ประพฤติพรหมจรรย์สิ้นทุกข์โดยชอบ----> ตาย
กายของบัณฑิตนี้ผู้ถูกอวิชชาใดหุ้มห่อแล้ว
และประกอบด้วยตัณหาใดเกิดขึ้นแล้ว
อวิชชานั้นแหละบัณฑิตละได้แล้ว และตัณหานั้นก็หมดสิ้นไปแล้ว
ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะบัณฑิตได้ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ
เพราะฉะนั้นเมื่อตายไป บัณฑิตจึงไม่เข้าถึงกาย
เมื่อไม่เข้าถึงกาย เขาจึงพ้นจากชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส
เราจึงกล่าวว่า ‘เขาพ้นจากทุกข์’
ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นความแปลกกัน นี้เป็นความแตกต่างกัน นี้เป็นเหตุทำให้ต่างกัน
ระหว่างบัณฑิตกับคนพาล กล่าวคือการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์
อ่านพระสูตรเต็มที่นี่ พาลปัณฑิตสูตร

แต่อาจเป็นไปได้ว่า
พวกมิจฉาทิฏฐิ จะไม่รู้ว่า บัณฑิตในพระสูตรนี้คือ พระขีณาสพ - พระอรหันต์
พวกมิจฉาทิฏฐิ อาจจะพอรู้ว่า คำว่า บัณฑิต หมายถึงผู้ที่ได้รับกระดาษ ที่เรียกว่าใบปริญญาจากใครก็ตาม (ฮา)
ความคิดเห็นที่ 10
จขกท ละสักกายะทิฏฐิให้ได้ก่อนแล้วค่อยมาสอนธรรม แบบคห.3 เค้าว่าไว้นั่นแหละ
เพราะคุณกำลังเข้าใจธรรมผิด เอาความคิดของปุถุชนกิเลสหนาไปตัดสินพระธรรมอันลุ่มลึกของพระพุทธเจ้า
ยังมีเรื่องที่คุณจะต้องตะลึงอีกเยอะในพระธรรมอันลุ่มลึกที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้นี้
ถ้าพระองค์ไม่นำมาสอนโดยทรงเล็งเห็นว่า ระดับปัญญาของปุถุชนย่อมมีดั่งระดับของดอกบัวที่รอวันโผล่ขึ้นมาพ้นน้ำ
ชาวโลกก็ย่อมพลาดโอกาสในอันที่จะได้เดินตามหนทางที่สามารถหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้
ปัญญาของ จขกท ยังน้อยนัก
ที่นำมาแสดงในกระทู้นี้ หาใช่ปัญญาแต่แต่อย่างใดไม่
เป็นสัญญาความจำล้วนๆ ที่กระทำกิจ "รู้ชัด" ในสภาวะธรรมที่พระองค์ทรงค้นพบนี้ไม่ได้เลย
บางท่านที่เพิ่งเริ่มต้นศึกษาพระธรรมของพระผู้มีพระภาคฯ
ก็ขอแนะนำว่า เนื้อหาอย่างกระทู้นี้จะดีมากๆ ถ้าผู้ตั้งกระทู้สามารถปฏิบัติตนให้เป็น "ผู้เดินตาม" ทางเดินที่พระพุทธเจ้าทำทางไว้ให้ด้วยดี
เพราะสภาวะทางปัญญาของปุถุชนนั้น ถูกห่อหุ้มไปด้วยอวิชชาที่สืบต่อกันมาอย่างชนิดที่หาแสงสว่างเพียงน้อยนิดก็ไม่มี
การที่ปุถุชน จะมานั่งคิดเองเออเอง พยายามเข้าใจพระธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสสอนเอาเอง โดยขาดกัลยาณมิตร
ผลที่คิดได้นั้น ก็ย่อมถูกอวิชชาพาไปหาคำตอบอยู่นั่นเอง
หนอนแมลงวัน ย่อมมีความสุขสดชื่นอยู่ในมูตรแลคูถฉันใด
จขกท ผู้ถูกอวิชชาห่อหุ้มอยู่ ย่อมมองไม่เห็นว่าสิ่งที่ตนกำลังทึกทักเอาอยู่นี้เป็นมูครแลคูถฉันนั้น
พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้นั้น จึงไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยการ "คิด" เพียงลำพัง
เพราะจะคิดให้หัวแตกเป็นเสี่ยงๆ หนอนแมลงวันก็ย่อมไม่เข้าใจว่ามูตรแลคูถนั้นเป็นอย่างไร
สิ่งที่ จขกท ยกตัวอย่างปรัชญาฝรั่งมานั้น ก็เป็นเพียงปรัชญา
ใช้อธิบายพระธรรมไม่ได้แม้เพียงน้อยนิด
ไม่เข้าหากัลยาณมิตรที่ช่วยให้เข้าถึงพระธรรมได้ง่ายขึ้น อย่างพระอภิธรรมปิฎกและอรรถกถา
แต่ได้ตัดทิ้งไปตามการชี้นำของพระคึกฤทธิ์
แต่กลับไปเอาปรัชญาฝรั่งปุถุชนมาเทียบเคียงพระธรรมอันลุ่มลึก
สำหรับ จขกท นั้น โดนสมาชิกฆ่าทิ้งไปแล้ว
เปล่าประโยชน์ที่จะมาช่วยแก้ไขความเข้าใจผิดๆ นี้
ก็ได้แต่หวังว่า ท่านผู้อ่านบางท่านที่เพิ่งเริ่มต้นเข้ามาศึกษาพระธรรม
จะได้พึงสำเหนียกว่า คัมภีร์พระอภิธรรมปิฎกและคัมภีร์อรรถกถานั้น
เป็นคัมภีร์ชั้นที่ 1 และ ชั้นที่ 2 ที่สำคัญมากๆ ในการเข้าถึงพระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอน
อย่าได้กระทำตนศึกษาพระธรรมแบบหัวมังกุท้ายมังกรอย่างพระคึกฤทธิ์และ จขกท อย่างเด็ดขาด
เพราะน้อยรายที่จะสามารถเข้าถึงพระธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้.
เพราะคุณกำลังเข้าใจธรรมผิด เอาความคิดของปุถุชนกิเลสหนาไปตัดสินพระธรรมอันลุ่มลึกของพระพุทธเจ้า
ยังมีเรื่องที่คุณจะต้องตะลึงอีกเยอะในพระธรรมอันลุ่มลึกที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้นี้
ถ้าพระองค์ไม่นำมาสอนโดยทรงเล็งเห็นว่า ระดับปัญญาของปุถุชนย่อมมีดั่งระดับของดอกบัวที่รอวันโผล่ขึ้นมาพ้นน้ำ
ชาวโลกก็ย่อมพลาดโอกาสในอันที่จะได้เดินตามหนทางที่สามารถหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้
ปัญญาของ จขกท ยังน้อยนัก
ที่นำมาแสดงในกระทู้นี้ หาใช่ปัญญาแต่แต่อย่างใดไม่
เป็นสัญญาความจำล้วนๆ ที่กระทำกิจ "รู้ชัด" ในสภาวะธรรมที่พระองค์ทรงค้นพบนี้ไม่ได้เลย
บางท่านที่เพิ่งเริ่มต้นศึกษาพระธรรมของพระผู้มีพระภาคฯ
ก็ขอแนะนำว่า เนื้อหาอย่างกระทู้นี้จะดีมากๆ ถ้าผู้ตั้งกระทู้สามารถปฏิบัติตนให้เป็น "ผู้เดินตาม" ทางเดินที่พระพุทธเจ้าทำทางไว้ให้ด้วยดี
เพราะสภาวะทางปัญญาของปุถุชนนั้น ถูกห่อหุ้มไปด้วยอวิชชาที่สืบต่อกันมาอย่างชนิดที่หาแสงสว่างเพียงน้อยนิดก็ไม่มี
การที่ปุถุชน จะมานั่งคิดเองเออเอง พยายามเข้าใจพระธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสสอนเอาเอง โดยขาดกัลยาณมิตร
ผลที่คิดได้นั้น ก็ย่อมถูกอวิชชาพาไปหาคำตอบอยู่นั่นเอง
หนอนแมลงวัน ย่อมมีความสุขสดชื่นอยู่ในมูตรแลคูถฉันใด
จขกท ผู้ถูกอวิชชาห่อหุ้มอยู่ ย่อมมองไม่เห็นว่าสิ่งที่ตนกำลังทึกทักเอาอยู่นี้เป็นมูครแลคูถฉันนั้น
พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้นั้น จึงไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยการ "คิด" เพียงลำพัง
เพราะจะคิดให้หัวแตกเป็นเสี่ยงๆ หนอนแมลงวันก็ย่อมไม่เข้าใจว่ามูตรแลคูถนั้นเป็นอย่างไร
สิ่งที่ จขกท ยกตัวอย่างปรัชญาฝรั่งมานั้น ก็เป็นเพียงปรัชญา
ใช้อธิบายพระธรรมไม่ได้แม้เพียงน้อยนิด
ไม่เข้าหากัลยาณมิตรที่ช่วยให้เข้าถึงพระธรรมได้ง่ายขึ้น อย่างพระอภิธรรมปิฎกและอรรถกถา
แต่ได้ตัดทิ้งไปตามการชี้นำของพระคึกฤทธิ์
แต่กลับไปเอาปรัชญาฝรั่งปุถุชนมาเทียบเคียงพระธรรมอันลุ่มลึก
สำหรับ จขกท นั้น โดนสมาชิกฆ่าทิ้งไปแล้ว
เปล่าประโยชน์ที่จะมาช่วยแก้ไขความเข้าใจผิดๆ นี้
ก็ได้แต่หวังว่า ท่านผู้อ่านบางท่านที่เพิ่งเริ่มต้นเข้ามาศึกษาพระธรรม
จะได้พึงสำเหนียกว่า คัมภีร์พระอภิธรรมปิฎกและคัมภีร์อรรถกถานั้น
เป็นคัมภีร์ชั้นที่ 1 และ ชั้นที่ 2 ที่สำคัญมากๆ ในการเข้าถึงพระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอน
อย่าได้กระทำตนศึกษาพระธรรมแบบหัวมังกุท้ายมังกรอย่างพระคึกฤทธิ์และ จขกท อย่างเด็ดขาด
เพราะน้อยรายที่จะสามารถเข้าถึงพระธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้.
ความคิดเห็นที่ 21
๒๔. พระอรหันต์นิพพานแล้วเหลือแต่จิตบริสุทธิ์หรือ โดยคณะสหายธรรม ผู้ทรงพระไตรปิฏก
http://www.84000.org/tipitaka/book/nana.php?q=24
(บางส่วน)
ธรรมดาขันธ์ ๕ เป็นสังขตธรรมหรือสังขารธรรม คือธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งและมีสภาพเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป ปราศจากเหตุปัจจัยแล้ว ขันธ์ ๕ เกิดขึ้นไม่ได้ เมื่อมีเหตุปัจจัยให้เกิด ขันธ์ ๕ ก็เกิด เมื่อหมดเหตุปัจจัย ขันธ์ ๕ ก็ดับ
ดังที่พระอัสสชิกล่าวแก่อุปติสสะปริพาชก ซึ่งภายหลังคือท่านพระสารีบุตร ว่า
“ธรรมเหล่าใดมีเหตุเป็นแดนเกิด พระตถาคตตรัสถึงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะมีปกติตรัสอย่างนี้”
ด้วยเหตุนี้ขันธ์ ๕ ของพระอรหันต์เมื่อดับ คือปรินิพพานแล้ว เพราะหมดเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดแล้วจึงไม่เกิดอีก ไม่ว่าจะเป็นรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเหลือแต่จิตล้วนๆ บริสุทธิ์ ในเมื่อจิตก็คือวิญญาณขันธ์ เมื่อวิญญาณขันธ์ซึ่งรวมอยู่ในขันธ์ ๕ ดับ การจะเหลือแก่จิตบริสุทธิ์จึงเป็นไปไม่ได้
ในพรหมชาลสูตร ที. สีลขันธวรรค ข้อ ๙๐ ตอนท้าย
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่ภิกษุว่า
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้วยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายย่อมเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ ต่อเมื่อกายแตกสิ้นชีวิตแล้วเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจะไม่เห็นตถาคต”
จากพระพุทธดำรัสนี้ก็แสดงชัดว่า ผู้ที่ทำลายตัณหาอันเป็นเหตุให้เกิดในภพต่างๆ ได้ขาดแล้ว เป็นพระอรหันต์แล้วยังมีชีวิตอยู่ เทวดาและมนุษย์ย่อมเห็นกายของพระอรหันต์ได้ แต่เมื่อพระอรหันต์สิ้นชีวิตแล้วคือปรินิพพานแล้ว เทวดาและมนุษย์ย่อมไม่เห็นกายของท่าน เพราะกายของท่านดับแล้วไม่เกิดอีกแล้ว
อนึ่ง การดับของขันธ์ ๕ ท่านไม่เรียกว่าสูญ ในเมื่อขันธ์ ๕ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ดับไปก็เพราะสิ้นเหตุปัจจัย ท่านจึงเรียกการไม่ได้เกิดอีกของขันธ์ ๕ ว่า เพราะหมดเหตุปัจจัยที่จะให้เกิด ขันธ์ ๕ ก็ไม่เกิด
อีกอย่างหนึ่ง จุติของพระอรหันต์ ท่านเรียกว่าจริมะจิต คือเป็นจิตดวงสุดท้ายในสังสารวัฏ สำหรับบุคคลที่ตายแล้วยังต้องเกิดอีก จิตดวงสุดท้ายในแต่ละชาติที่ตายนั้น เรียกว่าจุติจิต เพราะจุติจิตดับแล้วมีปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นในภพใหม่ชาติใหม่อีก ทั้งนี้บุคคลที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์นั้น ไม่ว่าจะเกิดมากี่ร้อย กี่พัน กี่แสน กี่โกฏิชาติ จิตก็เกิดดับติดต่อกันมาตลอดร้อยชาติ พันชาติ แสนชาติ โกฏิชาติ คือจุติจิตดับแล้วปฏิสนธิจิตก็เกิดสืบต่อไปอีกทุกๆ ชาติ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++
คนตายแล้วไปเกิดได้อย่างไร ?
http://pantip.com/topic/32113760/comment8

กำเนิด ๔ และ โอปปาติกะ ในพระพุทธศาสนา
http://pantip.com/topic/34219137/comment15
ทางชีวิต ๗ สาย
http://pantip.com/topic/35823854/comment16
http://www.84000.org/tipitaka/book/nana.php?q=24
(บางส่วน)
ธรรมดาขันธ์ ๕ เป็นสังขตธรรมหรือสังขารธรรม คือธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งและมีสภาพเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป ปราศจากเหตุปัจจัยแล้ว ขันธ์ ๕ เกิดขึ้นไม่ได้ เมื่อมีเหตุปัจจัยให้เกิด ขันธ์ ๕ ก็เกิด เมื่อหมดเหตุปัจจัย ขันธ์ ๕ ก็ดับ
ดังที่พระอัสสชิกล่าวแก่อุปติสสะปริพาชก ซึ่งภายหลังคือท่านพระสารีบุตร ว่า
“ธรรมเหล่าใดมีเหตุเป็นแดนเกิด พระตถาคตตรัสถึงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะมีปกติตรัสอย่างนี้”
ด้วยเหตุนี้ขันธ์ ๕ ของพระอรหันต์เมื่อดับ คือปรินิพพานแล้ว เพราะหมดเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดแล้วจึงไม่เกิดอีก ไม่ว่าจะเป็นรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเหลือแต่จิตล้วนๆ บริสุทธิ์ ในเมื่อจิตก็คือวิญญาณขันธ์ เมื่อวิญญาณขันธ์ซึ่งรวมอยู่ในขันธ์ ๕ ดับ การจะเหลือแก่จิตบริสุทธิ์จึงเป็นไปไม่ได้
ในพรหมชาลสูตร ที. สีลขันธวรรค ข้อ ๙๐ ตอนท้าย
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่ภิกษุว่า
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้วยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายย่อมเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ ต่อเมื่อกายแตกสิ้นชีวิตแล้วเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจะไม่เห็นตถาคต”
จากพระพุทธดำรัสนี้ก็แสดงชัดว่า ผู้ที่ทำลายตัณหาอันเป็นเหตุให้เกิดในภพต่างๆ ได้ขาดแล้ว เป็นพระอรหันต์แล้วยังมีชีวิตอยู่ เทวดาและมนุษย์ย่อมเห็นกายของพระอรหันต์ได้ แต่เมื่อพระอรหันต์สิ้นชีวิตแล้วคือปรินิพพานแล้ว เทวดาและมนุษย์ย่อมไม่เห็นกายของท่าน เพราะกายของท่านดับแล้วไม่เกิดอีกแล้ว
อนึ่ง การดับของขันธ์ ๕ ท่านไม่เรียกว่าสูญ ในเมื่อขันธ์ ๕ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ดับไปก็เพราะสิ้นเหตุปัจจัย ท่านจึงเรียกการไม่ได้เกิดอีกของขันธ์ ๕ ว่า เพราะหมดเหตุปัจจัยที่จะให้เกิด ขันธ์ ๕ ก็ไม่เกิด
อีกอย่างหนึ่ง จุติของพระอรหันต์ ท่านเรียกว่าจริมะจิต คือเป็นจิตดวงสุดท้ายในสังสารวัฏ สำหรับบุคคลที่ตายแล้วยังต้องเกิดอีก จิตดวงสุดท้ายในแต่ละชาติที่ตายนั้น เรียกว่าจุติจิต เพราะจุติจิตดับแล้วมีปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นในภพใหม่ชาติใหม่อีก ทั้งนี้บุคคลที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์นั้น ไม่ว่าจะเกิดมากี่ร้อย กี่พัน กี่แสน กี่โกฏิชาติ จิตก็เกิดดับติดต่อกันมาตลอดร้อยชาติ พันชาติ แสนชาติ โกฏิชาติ คือจุติจิตดับแล้วปฏิสนธิจิตก็เกิดสืบต่อไปอีกทุกๆ ชาติ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++
คนตายแล้วไปเกิดได้อย่างไร ?
http://pantip.com/topic/32113760/comment8

กำเนิด ๔ และ โอปปาติกะ ในพระพุทธศาสนา
http://pantip.com/topic/34219137/comment15
ทางชีวิต ๗ สาย
http://pantip.com/topic/35823854/comment16
แสดงความคิดเห็น
พระยมกเห็นว่าพระอรหันต์..ตายแล้วจะไม่เกิดอีก..จะต่างจาก...หลุดพ้นเป็นอรหันต์แล้วไม่เกิดอีก...อย่างไร?
และพระสูตรอื่นๆ....ที่มีการกล่าวถึง " ฐานะ4..ของตถาคตภายหล้งจากการตาย "
เรื่องมันไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย.. แต่เพราะเชื่ออาจารย์โดยไม่ไตร่ตรองให้ดี...
จึงหลงไปกล่าว " อุจเฉทวาทะ ".....เป็นวาจาที่เป็นข้าศึกกับศาสดาของตน..ไป
(... ที่จริงก็เข้าใจได้คือน่าเห็นใจ...เพราะว่าเรื่องนี้..เป็นเรื่องลึกซึ้ง..เป็นระดับปรัชญา..
ถ้าปัจจุบัน..ก็เป็นพวก...materialism(สสารนิยม)..และ... idealism(จิตนิยม)....
มันไม้ใช่เรื่องง่ายที่ชาวบ้านร้านตลาดจะเข้าใจได้ง่าย...จะต้องไปอ่านปรัชญาประกอบ..)
เรื่องก็คือว่า " พระอรหันต์และพระตถาคต....แยกออกจากขันธ์๕..อย่างเด็ดขาดแล้ว "
ดังที่พระองค์อธิบายแก่วัจฉะข้างล่างนี้... ว่า " ตถาคต...ไม่นับว่าเป็น..ขันธ์๕ "...
เพราะฉนั้น...จึงไม่ถึงการไปกล่าวว่า " ตายแล้ว... จะเข้าถึงฐานะ 4 ประการ "....
สิ่งที่ " ตาย-มรณ..มันคือ..ขันธ์๕ ..เท่านั้น " <----มันก็แค่นี้...
แต่เพราะเป็นอุจเฉททิฏฐิ.. จึงไปบอกว่า " ไม่มีเรา-ไม่มีใคร "...
รวมไปถึง.. " พระอริยเจ้า - พระตถาคต...ก็ไม่มี ที่มี..คือ..มีโดยสมมุติ "..
" มันมีแค่..ขันธ์๕ "👈👈...คำนี้เป็น..อุจเฉทวาทะ..กล่าวออกไปด้วยความไม่รู้..ไม่เข้าใจ
ถ้า...ขันธ์๕..สมมุติ..ให้เป็น..พระอริยเจ้า - พระตถาคต
อย่างนี้...เมื่อขันธ์๔..แตกสลายไป.." พระอริยเจ้า - พระตถาคต...จะขาดสูญ..นะซิ "
ไปเข้ากับทิฏฐิของท่านยมกะ...และไปเข้ากับฐานะที่-2 <--ที่พระศาสดาไม่ทรงพยากรณ์...
==== พอไม่เข้าใจ...ก็ไปสร้างหลักการ สมมติ&ปรมัตถ์...กันขึ้นมา ====
ปล. ผมท้าให้ไปค้นหามา..ว่าพระองค์เคยกล่าวว่า " ตาย - มรณ...กับพระอรหันต์ "...หรือไม่???
ปรินิพพาน...ไม่ได้หมายถึง " ตาย "....แต่หมายถึงดับเย็น..โดยรอบ...
เพราะว่า " ขันธ์๕..มันแต่สลายไป พระอรหันต์..จึง..ดับเย็นโดยรอบ "
พระอรหันต์-พระตถาคต.....ทั้งหลาย ไม่ใช่หายไป-ไม่ใช่สูญไป... แต่ดำรงค์อยู่-เป็นผู้คงที่-อยู่อย่างอมตะ
ถ้า " พระอรหันต์ - สูญ "..นี่...เสียของเลย...ศาสนานี้ 😁😁
ผม..งด...ต่อล้อต่อเถียง..กับทุกๆท่าน...
โดยเฉพาะกับคนไม่มีรู้...และ...คนพาล....ผมจะไม่ไปสนทนาด้วย...เลย
พระศาสดาท่านก็บอกกับวัจฉะ...ว่า
" สาเหตุใดพระองค์จึงไม่พยากรณ์...นิพพานธาตุ "
(พระอรหันต์..คือ..นิพพานธาตุ นิพพานธาตุนะ..เกิดไม่ปรากฏ-เสื่อมไม่ปรากฏ-เมื่อตั้งอยู่ก็ไม่มีอย่างอื่นปรากฏ
-ไม่กระทำ-ไม่ปรุงแต่ง )
[๒๕๑] เอวเมว โข วจฺฉ เยน รูเปน ตถาคตํ ปญฺญาปยมาโน ปญฺญาเปยฺย
(..อย่างนั้นแล...วัจฉะ โดยรูป(ใดๆ)...ที่ปรากฏกให้เรียกว่า " ตถาคต "...)
ตํ รูปํ ตถาคตสฺส ปหีนํ อุจฺฉินฺนมูลํ ตาลาวตฺถุกตํ อนภาวงฺคตํ อายตึ อนุปฺปาทธมฺมํ
(....รูปอันนั้น...ของตถาคต...ได้ประหารจนสิ้นแล้วละแล้ว..เป็นเหมือนกับ
ลำตาลที่ขาดถอนถึงราก, ถึงความไม่มี...ไม่ถึงการเกิดใหม่อีกเป็นธรรมดา...)
รูปสงฺขาวิมุตฺโต โข วจฺฉ ตถาคโต คมฺภีโร อปฺปเมยฺโย ทุปฺปริโยคาโฬฺห ฯ
(..วัจฉะ ตถาคตพ้นไปแล้วจากการนับว่าเป็นรูปแล... ตถาคตลึกซึ้ง-ประมาณไม่ได้-หยังไม่ได้-แน่นหนา..)
เสยฺยถาปิ มหาสมุทฺโท
(...เหมือนดั่งเช่น....มหาสมุทร...)
อุปฺปชฺชตีติ น อุเปติ
ฐานะแบบที่-1 (...ไม่เข้าถึง...." การเกิดอีก "..)
น อุปฺปชฺชตีติ น อุเปติ
ฐานะแบบที่-2 (...ไม่เข้าถึง..." การไม่เกิดอีก "...)
อุปฺปชฺชติ จ น จ อุปฺปชฺชตีติ น อุเปติ
ฐานะแบบที่-3 (...ไม่เข้าถึง..." การเกิดอีกก็มี-การไม่เกิดอีกก็มี "...)
เนว อุปฺปชฺชติ น น อุปฺปชฺชตีติ น อุเปติ ฯ
ฐานะแบบที่-4 (....ไม่เข้าถึง... " การเกิดอีกก็ไม่ใช่-การไม่เกิดอีกก็ไม่ใช่ "...)
===แม้น..เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ====