สายลมแห่งความรัก 4/2 ...(ยังไม่จบ)

กระทู้สนทนา


บทที่แล้ว
https://pantip.com/topic/41151868

             ประโยคหลัง เขาหันไปแกล้งขู่สองกุหลาบสาว เสียงวินนี่หัวเราะอย่างชอบใจ เธอดูเป็นสายลมแห่งความสดชื่น แทบไม่เคยทำให้เครียดกดดันอะไรเลยสักนิด
             ขณะนั้นเอง เจ้าหน้าที่ชายคนสองเดินตรงมา ผมนึกรู้ทันทีว่าต้องมีเรื่องไม่ดีอย่างแน่นอน เพราะเจ้าหน้าที่พวกนี้ปรากฏตัวทีไร ก็เป็นที่รู้กันว่า จะต้องมาพร้อมกับปัญหาเสมอ

.......

 
              “ตำรวจและทนายต้องการคุยกับคุณ”  เจ้าหน้าที่ของสถาบันแจ้งกับผม ก่อนเดินพยักหน้าให้ผมเดินตามไปยังแผนกเยี่ยมคนไข้ด้วยท่าทางค่อนข้างรีบร้อน

              “มีอัยการมาด้วยไหมครับ”  ผมแกล้งถามอย่างสุภาพ ไม่ให้คนฟังรู้ว่าประชด

              “ไม่นะ....” เจ้าหน้าที่คนนั้นตอบโดยไม่หันหลังมามอง เมื่อเป็นเจ้าหน้าที่ ก็ต้องจดจ่ออยู่กับบทบาทของตัวเองเท่านั้น  ผมเดินตามอย่างว่าง่าย แม้ว่ายังต้องการคุยกับพวกของไซเอนซ์ต่อไป เสียงของวินนี่กระซิบว่าไม่ต้องกังวล มีปัญหาอะไรเธอจะช่วยเหลือเอง นั่นทำให้ผมรู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก ง่ายที่ไหนล่ะ ว่าคนธรรมดาจะมีสายลมคอยปกป้อง

              ก่อนเข้าห้องเยี่ยมพิเศษ ผมเห็นตำรวจและทนายเจ้าเก่าคุ้นหน้าตากันเป็นอย่างดี ทำท่ากันเจ้าหน้าที่ออกไปอย่างมีเลศนัย ซึ่งมันเป็นเรื่องผิดปกติ เพราะตามหลักสากล จะต้องมีเจ้าหน้าที่หรือหมออยู่ด้วย เจ้าที่ของสถาบันทำท่าจะคัดค้าน แต่นายตำรวจและทนาย ควักเอานามบัตรอะไรสักอย่าง ซึ่งดูมีพลังหลายเลเวล ยื่นใส่หน้า ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องหลบฉากไปอย่างรวดเร็ว

              ห้องเยี่ยมพิเศษ ไม่ใช่ห้องเยี่ยมปกติ  จะใช้กับคนไข้พิเศษเท่านั้น ผมรู้ว่ามันผิดปกติ แต่จิตใจของผมเยือกเย็นอย่างไม่น่าเชื่อ

              ผมมีวินนี่อยู่เคียงข้าง ดังนั้นผมไม่ควรจะกลัวอะไร   คนธรรมดาแต่มีสายลมคอยปกป้องทำให้รู้สึกอบอุ่นใจเป็นพิเศษ

              ในห้องเยี่ยมคนไข้ไม่มีอะไรนอกจากชุดโต๊ะเก้าอี้เท่านั้น ดูไปคล้ายห้องสอบสวนมากกว่า  ผมถูกเชิญให้นั่งเก้าอี้ เผชิญหน้ากับตำรวจและทนายความ ดูก็รู้ว่าทั้งสองไม่ค่อยสบายใจ แต่พวกเขายังปั้นหน้ายิ้มต้อนรับอย่างไร้ความจริงใจ  พวกเขาไม่ยอมนั่งเก้าอี้ แต่ยืนเอามือค้ำโต๊ะ แบบฉากตำรวจสอบสวนผู้ร้ายในภาพยนตร์ไม่มีผิด การยืนค้ำคอคนอื่น เป็นหลักการทางจิตวิทยา สร้างความกดดันให้อีกฝ่ายอยู่ในที

              “เราพบยาไอซ์ เฮโรอีน ในบ้านของคุณ”  นายตำรวจจ้องหน้า เกริ่นนำเริ่มท่าทางถือไพ่เหนือกว่า  ทั้งที่ไม่มีอะไรเหนือกว่า ผมเงยหน้าประสานสายตาเลิกคิ้วจ้องมองกลับอย่างไม่หวั่นไหว

              “มันเป็นแป้ง”  ผมพูดเสียงราบเรียบ

              “อะไรนะ” นายตำรวจพูดเสียงสูงอย่างไม่เชื่อ

              “มันเป็นแป้ง”  ผมย้ำประโยคเดิม พวกเขาทั้งสองมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจความหมาย ก่อนถึงบททนายความหนุ่มยื่นหน้าพูดเสียงหนัก แบบข่มขู่อยู่ในที

              “ฟังนะแก กรุณาอย่ากวนบาทา ฉันคือทนายมือหนึ่ง ไม่ใช่คนธรรมดา และไม่ใช่ทนายระดับธรรมดา เป็นเพื่อนกันกับตำรวจ มีสิทธิ์พิเศษเหนือคนทั่วไป ถ้าฉันบอกว่าผิดก็ต้องผิด ถ้าบอกว่าถูกก็ต้องถูก เห็นปูฉันบอกว่าปลาปูก็ต้องเป็นปลา  เห็นปลาบอกว่าปู ปลาก็ต้องเป็นปู  สีขาวทำให้เป็นดำได้ สีดำทำให้เป็นสีขาวได้ แกควรให้ความร่วมมือจะดีกว่า”
 
              “แบบนั้นนักมายากลก็ทำได้ครับ”  ผมค้านอย่างมีเหตุผลล้นเปี่ยม “ไม่ต้องเป็นทนาย ก็ทำอะไรได้มากกว่านี้  ดึงกระต่ายออกจากหมวกยังดูตื่นเต้นกว่า  เอาเลื่อยตัดลำตัวขาดกลาง ยังออกมาเดินเฉย เสกตึกทั้งหลังหายไปก็ยังเคย ที่คุณพูด มันระดับกระจอกครับ”

              “นี่คุณไม่รู้สถานการณ์ของตัวเองเลยนะ” นายตำรวจพูดขึ้นบ้างอย่างเริ่มมีอารมณ์ ชักสีหน้าไม่พอใจ ผมยักไหล่อย่างไม่สนโลก

              “ตำรวจยังค้นบ้านแกไม่หมดนะ”  ทนายคนดังพูดขึ้นมาอีก  “ฟังให้ดีนะ...บางทีพวกเขาอาจพบสิ่งของผิดกฏหมาย เช่นอาวุธสงคราม การค้ามนุษย์สินค้าหนีภาษี....รถหรู...ฟอกเงิน”

              “และแป้ง”  ผมพูดเสริม หน้าตาเรียบร้อยมาก

              “หาเรื่องถูกจับไปปรับทัศนวิสัยเหรอแก”   ทนายหนุ่มแยกเขี้ยวขู่ฟ่อ

              “ก็ดีนะครับ ผมยิ่งสายตายาวอยู่ด้วย  ปรับทัศนวิสัยในการมอง คงเห็นอะไรชัดเจนขึ้น  โอ ไม่แน่...ผมซ่อนขีปนาวุธหัวรบนิวเคลียร์ หรือไวรัสซอมบี้ไว้ด้วย ลองค้นให้ดีนะครับ”

              พวกเขาสองคนหยุดมองหน้ากัน

              “เล่นบทตำรวจดีทนายเลวกันดีไหม”  ทนายหนุ่มทำท่าพูดเสียงดัง ขยับเนกไทให้เข้าที่ คงจะใช้กลวิธีทางจิตวิทยาอย่างหนึ่งสำหรับการสอบสวนผู้ต้องหา ผมมองอย่างรู้สึกขบขัน

              “ยอมลงนามรับสารภาพเถอะ ว่าแกเป็นคนฆ่านายตำรวจคนนั้น แกจะได้ออกจากที่นี่อย่างสมเกียรติ ติดคุกพอเป็นพิธี ไม่กี่ปีหรอก ลดโทษนั่นลดนี่  บ้าบอคอแตก  ขนาดโทษประหาร ยังเคยมีติดจริงปีกว่าเท่านั้น น่า...ให้ความร่วมมือปิดคดี เดี๋ยวแกก็ออกมาฆ่าคนได้ ทำให้เรื่องมันจบ ๆไปดีกว่า”

              “ผมไม่ได้ฆ่าใคร คนถูกรุมกินโต๊ะ ยังจะมีโอกาสทำร้ายคนอื่นได้ขนาดนั้นเชียวเหรอครับ  บอกแล้วว่าวินนี่เป็นคนทำ”

              “เรามีหลักฐานว่าแกทำ”

              “ก็เอาหลักฐานมาให้ดูสิครับ”

              “คุณนี่วอนซะแล้ว...”   นายตำรวจพูดขึ้นบ้างอย่างอดใจไม่ไหว  มองไปรอบห้องทำนองว่า กำลังหาทางใช้เทคนิคพิเศษสั่งสอน
ผมนั่งมองอย่างสงบ เพราะรู้ว่าวินนี่อยู่ข้างผม เธอไม่มีทางปล่อยให้ใครมารังแกผมอย่างแน่นอน  แต่ก่อนที่พวกเขาจะพากันเล่นบทบาทสมมุติ ประตูห้องก็เปิดออก 

              ใครบางคนรูปร่างหน้าตา การแต่งกายคล้ายไมเคิล แจ็กสัน พลิ้วกายเข้ามาทางประตูด้วยลีลาสวยงาม

              คุณหมอแจ็คสัน ซึ่งเป็นหมอประจำตัวของผมนั่นเอง  ทำท่าเหมือนกำลังเดินไปข้างหน้า แต่ความจริงแล้วกำลังเดินถอยไปข้างหลังเข้ามาในห้อง  ด้วยท่าเดินแบบมูนวอล์กของไมเคิล แจ็กสัน 

              ใคร ๆ ในสถาบันก็รู้ว่าคุณหมอชอบท่ามูนวอร์กของไมเคิล แจ็กสันมาก เขาลงทุนแต่งหน้าแต่งตัวเลียนแบบจนคล้ายดาราป็อบระดับโลกคนดัง  ใช้มูนวอร์กเดินทางไปทั่วสถาบันเวลาไปเยี่ยมคนไข้  แต่น่าแปลกตรงที่ว่าเขารู้จักเพลงของไมเคิล แจ็กสันเพียงเพลงเดียวเท่านั้น คือเพลง Billie Jean ถึงจะรู้จักเพียงเพลงเดียว แต่ก็รู้จักเพลงนี้อย่างลึกซึ้ง

              เคยเห็นคุณหมอแจ๊กสันมูนวอร์กและลูบเป้าไปด้วย บางทีก็ยืนทำท่ายึกยักอยู่หน้าห้องตรวจคนไข้ อุจาดตาพิลึก แต่ก็บันเทิงเพลินดี ถ้าเจ้าของต้นตำรับเห็น คงดิ้นขลุกขลักอยู่อีกโลกหนึ่ง

              “ไฮ้...สวัสดีครับคุณทนายคุณตำรวจ”  หมอแจ็คสันยักคิ้วให้กับสองผู้มาเยือน  ขณะหยุดยืนโยกไหล่สะบัดหน้าตาขยับเอวไหล่กึกกักไปมาอยู่ข้างโต๊ะ ภาพลักษณ์ตอนนี้แทบไม่ต่างจาก ไมเคิล  แจ็กสัน อวตารเข้ามาในห้อง

              “ใครใช้ให้คุณเข้ามา”  นายตำรวจมองก่อนพูดอย่างไม่พอใจ  คุณหมอเริ่มมูนวอร์กไปรอบ ๆ โต๊ะแบบไม่ยอมหยุด ด้วยลีลาสนุก เพลินตา เต้นไปพูดไป 

              “ไม่มีใครใช้ให้ผมเข้ามาหรอกครับ  ผมใช้ตัวเองเข้ามาเองได้ หน้าที่นักจิตวิทยา หรือนักวิปลาสสงเคราะห์อยู่ด้วย  การดูแลคนไข้เป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว อย่าลืมสิครับ บุคคลภายนอกมาพบคนไข้จะต้องมีหมอสังเกตการณ์ด้วย ลืมไปแล้วหรือครับ”

             ผมฟังแล้วนึกขอบคุณหมอประจำตัวอยู่ในใจ  ถึงเขาจะดูบ้าบอคอแตก มากกว่าคนไข้ในบางครั้ง แต่ก็ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร คุณหมอจอมเต้นพยายามเป็นมิตรกับทุกคน ทำให้บรรดาคนไข้ชอบพอเขามาก

              “ผมรู้นะว่าพวกคุณต้องการอะไร”  คุณหมอจอมมูนวอร์กพูดขึ้นอีก  คุณกำลังข่มขู่คนไข้ของผม อย่าลืมสิครับ  ว่าพวกคุณกำลังถืออภิสิทธิ์ชน ผิดกฏหมายนะครับ ให้ผมเขียนรายงานเรื่องนี้ไหม... บิลลี่ จีน อิส น็อท มาย เลิฟเวอร์.....บิลลี่ จีน อิส น็อท มาย เลิฟเวอร์---ชีส์  จัสท์  อะ เกิร์ล  ฮู เคลมส์  แคส ไอ แอม เดอะ วัน... บัท เดาะ คิส อิส น็อท มาย ซัน.... ..อะ ... อะ...บิลลี่ จีน อิส น็อท มาย เลิฟเวอร์”
 
              ช่วงหลังคุณหมอจอมกวนร้องเพลงท่อนหนึ่งของ  Billie Jean    ซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ  ดูท่าทางคุณหมอมีความสุขมาก ออกลีลามูนวอร์ก ไปมาแบบไม่ยอมหยุด

              นายตำรวจกับทนายความชื่อดังมองหน้ากัน เหมือนจะรู้ว่าสถานการณ์เวลานี้ไม่สู้ดีเสียแล้ว  เพราะการขัดขวางจากคุณหมอแจ็กสัน

              “ทั้งหมอและคนไข้มันบ้าพอ ๆ กัน”    ทนายความเปรยขึ้นอย่างเหลืออด ทั้งที่เห็นได้ชัดว่าเขาพยายามสะกดใจต่อพฤติกรรมของหมอ

             “ไม่..."   คุณหมอคนเก่ง สวนคำขึ้นทันที  “ผมปราศจากบ้า บริสุทธิ์ผุดผ่องสะอาดหมดจด แต่พวกคุณทั้งสองนั่นละ ปกติเกินไป พวกคุณน่าจะรู้นะว่าอะไรที่ปกติมากเกินไป มันจะดูไม่เหมือนปกติ  แต่ถ้าไม่ปกติแบบเป็นสังคมใหญ่ ความไม่ปกตินั้น ก็จะกลายเป็นความปกติ ทั้งที่ไม่ปกติ แต่คนก็ยอมรับว่ามันปกติ   โอ้... .....อะ อะ...บิลลี่ จีน อิส น็อท มาย เลิฟเวอร์”

              “กลับกันดีกว่าคุณตำรวจ ก่อนผมจะปกติแบบไม่ปกติ  โอย ผมจะบ้า...”

              “นั่นสิ ผมเองก็กลัวจะปกติแบบไม่ปกติ เหมือนกัน”  นายตำรวจพูดอย่างปลงตก

              แล้วทั้งคุณตำรวจกับทนายความชื่อดังก็ล่าถอยกลับไปแต่โดยดี ผมแอบสังเกตเห็นแวบ ๆ ว่า คุณตำรวจเองก็เผลอมีอาการมูนวอร์กเล็กน้อยก่อนจะออกห้องไป

              ผมกล่าวขอบคุณ หมอแจ็กสันอย่างซาบซึ้งใจ  เพราะถ้าเขาไม่เข้ามาแทรก ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าพวกทนายและตำรวจใช้กำลังประทุษร้าย วินนี่จะต้องไม่ยอมแน่นอน เธอจะต้องปกป้องผมอย่างสุดกำลังลม  หมอแจ็กสันบอกว่า เจ้าหน้าที่นั่นละเป็นคนไปตามเขาถึงห้องตรวจคนบ้า และเขาก็รีบรุดมูนวอร์กมาทันที

             “มันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้วครับ  เพราะผมคือหมอแจ็กสัน”  หมอตอบอย่างเห็นเป็นเรื่องธรรมดา ในขณะที่กำลังทำท่ายึกยักพลิ้วไหวไปมาอย่างน่าชม  “คุณเป็นคนบ้าผู้น่าศึกษาที่สุด เพราะคุณบ้าได้สงบนิ่ง สุขุมคัมภีรภาพ อิมเมจดีมาก โอ...ผมอยากบ้าเหมือนคุณเหลือเกิน... ช่างดูบ้างดงามล้ำค่าสูงส่ง แต่ในสถานการณ์แบบนี้ คุณควรไปศึกษางานเชิงปฏิบัติการความบ้า เพื่อรักษาความบ้าไว้ให้มั่นคง ไม่งั้นพวกข้างนอกหาทางเล่นงานคุณได้แน่  บ้าเท่านั้นจะครองโลก อะ  อะ...บิลลี่ จีน อิส น็อท มาย เลิฟเวอร์....บิลลี่จีน ไม่ช่ายแฟนโผ้ม.....”
 
              ว่าแล้วคุณหมอก็มูนวอร์กนำหน้าผมออกไปจากห้องเยี่ยมพิเศษ ด้วยท่าทางของไมเคิล แจ็กสันอวตาร
 
              คำพูดของหมอประจำตัว ทำให้ผมนึกถึงช่วงเวลาที่ถูกนำตัวเข้าเครื่องจับเท็จ ผมยืนยันว่าวินนี่เป็นสายลมที่ฆ่าตำรวจ เครื่องจับเท็จรายงานครั้งแล้วครั้งเล่าว่าผมถูกความจริง
 
              นั่นคือสาเหตุหลักที่ผมรอดจากการถูกขังคุก เพราะมีแต่คนบ้าเท่านั้นที่เชื่อเรื่องแบบนี้ โดยมีผลรายงานจากเครื่องจับเท็จรองรับ น่าคิดว่า ถ้าพวกตำรวจเห็นว่าผมหายบ้า ก็เข้าทางพวกเขา อาจโดนส่งตัวไปลงโทษ ในแบบฉบับที่พวกเขาต้องการ
 
              พวกเขาคิดว่าผมบ้า  ดังนั้นผมจะต้องแสดงบทบ้าต่อไป ทั้งที่ไม่ได้บ้า ซึ่งการแสดงบทบ้าก็ไม่ได้ลำบากยากเข็ญอะไร เพียงพูดความจริงเท่านั้น
การพูดความจริง บางครั้งก็ดูเป็นคนบ้าได้  ให้มันได้อย่างนี้สิ ผมนึกในใจอย่างขบขัน กับชะตาชีวิตของตัวเอง บ้าเพื่อความอยู่รอด

              สำหรับผมแล้ว  บ้าหรือไม่บ้า ก็ได้ทั้งนั้น ขอเพียงมีวินนี่ อยู่เคียงข้าง  การอยู่ในสถาบันวิเคราะห์โรคทางจิตแห่งนี้ไม่ได้เดือดร้อนอะไรมากมาย ผมเริ่มพบว่าบรรดาเพื่อนผีบ้าทั้งหลายมีความ ‘น่ารัก’ อยู่ในตัวมากกว่าพวกข้างนอกเสียอีก แถมคุยกันถูกคอแม้จะฟังเผิน ๆ แล้วเหมือนพูดไม่รู้เรื่อง พูดกันคนละอย่างก็ตาม แต่สามารถสื่อสารกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ

.
.

มีต่อ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่