สายลมแห่งความรัก 2/2 ...(ยังไม่จบ)

กระทู้สนทนา


บทที่ 1/2
https://pantip.com/topic/41144020

ท้ายบทที่แล้ว

             เพราะหลังจากนั้นผมก็ไม่ทราบว่า แข้ง เท้า เข่า ศอก ของใครต่อใครบ้าง ที่ประสานสามัคคีประเคนเข้ามารอบทิศทาง เสียงหวีดร้อง เสียงสิ่งของแตก ดังผสมผสานไม่รู้อะไรเป็นอะไร ทุกอย่างชุลมุนวุ่นวายไปหมด เรื่องความเจ็บปวดแห่งการทารุณฆาต คงไม่ต้องบอกก็ได้นะครับคุณหมอ
             แบบนี้ยิงกันให้ตายดีกว่า ไอ้พวกบ้า ผมนึกในใจก่อนความรู้สึกดับวูบลง

..............

             หลังจากนั้น ผมกลายเป็นฆาตกร

             คุณหมอว่าแปลกไหมล่ะครับ ที่คนถูกรุมทำร้ายปางตาย มาฟื้นที่โรงพยาบาล กลับถูกข้อหาทำร้ายเจ้าหน้าที่ผู้กำลังปฏิบัติงานจนถึงแก่ชีวิต
สิ่งที่ผมรับรู้ว่าหลังจากนั้นคือ นายตำรวจคนนั้นถูกส้อมเสียบคอทะลุเส้นเลือดใหญ่ โดยมีตำรวจที่ร่วมรุมกินโต๊ะแบบ ‘อการุณยฆาตเชิงรุก’  ให้ผมอย่างเต็มพิกัด เป็นคนรายงานกับผู้สื่อข่าวและเจ้าหน้าที่ว่า ตำรวจกำลังล่อซื้อยาเสพติดจากผู้ต้องสงสัย แต่ว่าที่ผู้ต้องหา ขัดขืนการตรวจค้น ทั้งยังมีการต่อสู้ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ โดยการใช้ส้อมจ้วงแทงเข้าลำคอของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และทำให้ผู้ร่วมการตรวจค้นบาดเจ็บไปหลายราย บางคนโดนแก้วปาใส่ใบหน้าจนเลือดโชก บางคนโดนเก้าอี้ฟาด

            ใครที่อยู่ในเหตุการณ์และมีใจเป็นธรรมมากพอ คงรู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ตามรายงานของเจ้าหน้าที่ ความจริงผมไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการนั่งมองหน้าคนพวกนั้นเฉย ๆ ก่อนถูก สหบาทา แบบไม่ต้องร้องขอ ไม่มีใครรู้ว่าส้อมมรณะไปปักลำคอของนายตำรวจได้อย่างไร  และผมเคยเรียนวิชาการต่อสู้ป้องกันตัวตั้งแต่สมัยไหน ถึงเก่งขนาดนั้น แต่เมื่อจำเป็นต้องหา แพะ สักตัว ผมคงดูคล้ายแพะมากกว่าใคร

             ก็เป็นไปตามคาด ผมถูกสอบสวนอย่างหนัก และกดดันให้รับสารภาพว่า ขณะกำลังโดนรุมกินโต๊ะ ผมเก่งมากพอที่จะมีเวลาหยิบส้อมมาเป็นอาวุธ และแทงเข้าเป้าหมายแบบจงใจแม่นยำ แถมยังทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่อีกหลายคนด้วยสิ่งของเครื่องใช้นานาชนิด  ชนิด ไม่ต่างจากพระเอกในหนังแอ็กชัน  แน่นอนว่าผมปฏิเสธ เพราะไม่อยากอ้างตัวเองว่าเก่งเกินกว่าเหตุ

             ความจริงผมต่างหากต้องเป็นฝ่ายฟ้องร้องกลับ เพราะเป็นฝ่ายถูกรุมทำร้าย  แต่ผมก็แค่คนธรรมดาสามัญ ไม่มีเพื่อนเป็นตำรวจ ผู้พิพากษา หรือทนายความ ไม่ได้เป็นญาติฝ่ายใดกับนักการเมือง หรือประธานาธิบดี จะเอาปัญญาที่ไหนไปดำเนินการทางกฏหมาย

             แต่ผมกล้าที่จะพูดความจริง

             “ผมไม่ได้ทำอะไร สายลมต่างหากเป็นคนจัดการพวกคนไม่ดี”

             นั่นคือคำให้การกับพวกตำรวจ  ไม่มีอะไรต้องปิดบัง เพราะผมรู้ว่าวินนี่เป็นคนจัดการกับพวกนั้น และเธอนั่นเองเป็นคนเสนอแนะให้พูดความจริงไปเลย  ผมใช้คำว่า คน กับ วินนี่ เพราะถือว่าเธอคือคน เพียงแต่อยู่ในรูปของสายลม ผมกล้าพูดความจริงเพราะรู้ว่าไม่มีกฏหมายของประเทศไหนจะ จับกระแสลม ขึ้นศาลพิพากษาเข้าคุก  

             “พูดความจริงไปเลยค่ะ ว่าเป็นฝีมือของวินนี่”  เสียงของเธอมีแววขุ่นเคืองกับการกระทำของคนพวกตำรวจนอกรีต  “พวกมันรุมทำร้ายคุณ ฉันยอมไม่ได้หรอกค่ะ”

             นั่นเป็นครั้งแรกที่วินนี่ช่วยเหลือผม นี่เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่นิยาย ผมจึงสู้คนจำนวนมากที่รุมทำร้ายไม่ได้

             เธอสารภาพว่า ขณะเห็นผมถูกรุมสกรัม นายตำรวจจอมกร่างดึงปืนออกมาจ่อศีรษะของผมในช่วงเวลาแห่งความชุลมุน วินนี่ไม่มีทางเลือก  เธอทนไม่ได้ จึงแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ด้วยการเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนที่ให้รวดเร็วรุนแรงมากขึ้น ชักนำอุปกรณ์ต่าง ๆ บนโต๊ะโต้ตอบพวกอันธพาลอย่างไม่ลังเล ถ้ามีคนสังเกตภาพในกล้องวงจรปิดที่บันทึกเหตุการณ์วันนั้นได้ คงจะเห็นช้อนส้อมถ้วยชามบนโต๊ะพุ่งขึ้นมาได้เอง ราวโดนผีสิง แต่ใครล่ะจะไปเชื่อ

             “ฉันต้องช่วยเหลือคุณ”  วินนี่บอกภายหลังอย่างไม่วิตกทุกข์ร้อน เธอทนเห็นถูกทำร้ายร่างกายไม่ได้ และจะทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้ นั่นเป็นสิ่งที่ผมซาบซึ้งใจอย่างที่สุด ถ้าวินนี่ไม่ช่วยเหลือผมอาจตายไปแล้ว

             แต่อีกฝ่าย ดูเหมือนจะทำให้ผมเป็นคนลงมือให้ได้

             “มันเป็นภาพลวงตา มุมกล้องทำให้เกิดการบิดเบือนของการมองเห็น” ทนายความประกาศอย่างมั่นใจ เมื่อมีคนซักถามถึงความผิดปกติวิดีโอของภาพเหตุการณ์กล้องวงจรผิด

             อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่มีหลักฐานอะไรมาระบุว่าผมเป็นคนลงมือนอกจากลายมือบนส้อมซึ่งความจริงก็ไม่แปลก เพราะผมหยิบส้อมมาก่อนหน้า  ซึ่งมีหลายคนใจเป็นธรรมออกมาโต้แย้ง ในที่สุดคำให้การสุดพิลึกของผม ไป ๆ มา ๆ  ผมก็ถูกส่งตัวมาอยู่ในสถาบันวิเคราะห์โรคทางจิตอย่างเต็มภาคภูมิ

             ทนายความคนดัง ที่อยู่ในกลุ่มของคนที่ร่วมมิกันทำร้ายผม เคยมาเยื่ยมผมด้วย แน่นอนว่าเขามาเพื่อผลประโยชน์ของเขามากกว่าสิ่งอื่นใด

             “รับสารภาพเถอะว่าเป็นฝีมือของแก”  เขาพยายามให้ผมลงนาม ในคำสารภาพที่ผมไม่ได้เป็นคนเขียน “แกจะได้ออกจากโรงพยาบาลบ้านี่เสียที โทษของแกจะได้ลดหย่อนเพราะให้ความร่วมมือและมีการสารภาพผิด  จะทำเรื่องให้มันยุ่งยากไปทำไม”

             เขาคิดผิดที่เกลี้ยกล่อมให้ผมรับสารภาพในสิ่งที่ผมไม่ได้กระทำ อะไรที่ไม่ผิด ผมจะสู้หัวชนฝาเสมอ 

             “เมื่อวานตำรวจไปค้นที่บ้านของแก พวกเขาพบยาบ้ายาไอซ์เป็นกิโล ฉันช่วยแกได้นะ ถ้าแกให้ความร่วมมือ”
 
            ผมเมินเฉยต่อข้อเสนอและข่มขู่ อยากทำอะไรก็ทำ ผมไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนอะไรอีกต่อไป เพราะผมเริ่มชอบสถานที่แห่งนี้เสียแล้ว  แม้ว่าในสายตาของคนหลายคน สถาบันวิเคราะห์โรคทางจิต คือโรงพยาบาลบ้าขนาดใหญ่พิเศษ แต่ความจริงมันเป็นอะไรมากกว่านั้น ผมรู้สึกถึงความปลอดภัยและอบอุ่น รู้สึกถึงมิตรภาพสวยงามระหว่างบรรดาคนไข้ด้วยกัน ผมยอมเป็น ‘คนทดลอง’  ให้กับทางสถาบันอย่างเต็มใจ เพราะที่นี่มีทั้งอาหารการกิน ไม่ต้องเสียเงินซื้อ มีเพื่อนบ้าบอแต่ดูดี (ฟังแปลก ๆ ไหมล่ะครับ) จะทำอะไรผิดปกติแค่ไหนก็จะกลายเป็นเรื่องธรรมดา

             ที่สำคัญผมพูดคุยกับวินนี่ได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องปิดบังพฤติกรรมของตัวเอง ไม่ต้องกลัวใครจะหาว่าบ้า ก็มีที่ไหนล่ะครับคุณหมอ ที่เราจะสามารถ บ้า ได้ แบบดูปกติมาก (นี่ก็ยิ่งฟังดูแปลกไปอีกล่ะ) 

             ผมมีเพื่อนที่บ้าดี ๆ มากมาย บ้าดี ...มาถึงขั้นนี้คุณหมอน่าจะหายแปลกใจแล้วนะครับ คงซึมซับบรรยากาศแห่งความบ้าจนคุ้นชินบ้างแล้ว  
ผมรู้จักเจ้าหนุ่มหน้ามนคนหนึ่ง ที่มักใช้เวลาพูดคุยกับต้นกุหลาบในแปลงกุหลาบอย่างมีความสุข เขาตั้งชื่อต้นกุหลาบว่าโรสและโรซี่  หลัง ๆ เขายังมีคนไข้สาวสวยคนหนึ่งมานั่งข้าง ๆ เขาอ่านหนังสือให้เธอฟังทุกวัน แม้ว่าเธอจะยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใด ๆ แต่ผมสัมผัสถึงมิตรภาพงดงามของพวกเขา  ผมเองยังเคยไปนั่งฟังเรื่องที่เขาอ่านให้ผู้หญิงคนนั้นฟังบ่อย ๆ 

             เพื่อนของผมอีกคน ตกหลุมรักน้ำในขวด เรื่องราวของเขาฟังดูดีมาก กับความรักไร้ขอบเขต

             ยังมีอีกคนที่บอกว่า เขามีคนรักเป็นก้อนน้ำแข็ง ผมไม่แปลกใจอะไรเลย สายลมยังพูดได้ ทำไมก้อนน้ำแข็งจะพูดไม่ได้ มีเรื่องราวมากมายหลายหลากนอกเหนือสามัญสำนึก 

             ผมเสียหน้าที่การงาน แต่ไม่ได้เสียใจ เพราะเบื่องานประจำที่ทำอยู่เหมือนกัน อยู่ในสถาบันแบบนี้ก็มีความสุขดี ไม่ต้องคิดอะไรมาก เป็นโลกใหม่น่าตื่นตาตื่นใจ

              แต่พวกทนายความและตำรวจกลับไม่คิดแบบนั้น พวกเขาคิดว่าผมคงอยากเป็นอิสระเต็มที จึงเอาข้ออ้างต่าง ๆ มาต่อรองให้ผมรับสารภาพว่าเป็นฆาตกร เพื่อที่จะได้หาทางช่วยเหลือผมออกไปสู่โลกภายนอก

             “ไม่งั้น แกได้บ้าตายอยู่ในนี้ละ พวกนั้นจะเป็นพยานบุคคลว่าแกเป็นคนลงมือฆ่าตำรวจ พยานบุคคลหลายคน แกรอดยาก” 

             นั่นเป็นคำขู่ ผมได้แต่แอบยิ้มในใจไม่ได้วิตกทุกข์ร้อน วินนี่ก็แวะมาพูดคุยทักทายทุกวันไม่เคยขาดหาย การไส่ร้ายป้ายสีใส่ความยัดเยียดข้อหาทำกันได้ แต่จะให้รับสารภาพในสิ่งที่ตนเองไม่ได้กระทำ ไม่มีทางสำหรับคนอย่างผม

             “วินนี่เป็นคนทำ”  ผมยืนยันมั่นคง ตามคำแนะนำของสายลมสาว ทำให้พวกนั้นต้องล่าถอยออกไปอย่างผิดหวัง  และผมก็มีความสุขไปกับการเป็นคนทดลองของสถาบัน ทานยาตามคำสั่งของพวกหมอ ทั้งที่ไม่ได้ป่วยไข้  มีหน้าที่เพียงแต่เข้าห้องทดสอบกับอุปกรณ์ไฟฟ้าอาทิตย์ละสี่ห้าครั้ง  ผมเองก็ไม่รู้เรื่องว่าอุปกรณ์ดังกล่าวทำงานอย่างไร รวมทั้งการตอบคำถามมากมายให้กับบรรดาหมอ ซึ่งไม่ใช่เรื่องหนักหนาสาหัสอะไร

             คนที่ผมคุยด้วยบ่อย ๆ คือเจ้าหนุ่มหน้ามนคนที่คุยกับต้นกุหลาบได้นั่นเอง ผมชอบไปนั่งฟังเวลาเขาอ่านนิยายให้คนไข้สาวคนสำคัญของเขาฟัง ผมได้แต่ภาวนาให้คนไข้สาวตอบสนองกับความรักความใส่ใจของเขาโดยเร็ว ความรักของคนบ้าก็มีสีสันความหมายลึกซึ้งไม่แพ้คนปกติ
เขาบอกว่าเขาชื่อ ไซเอนซ์  ฟังดูแปลกดีแต่ไม่ได้ฟังดูบ้า 

             “เฮ้...โรสกับโรซี่ฝากทักทายคุณ”  เขานั่งอยู่เก้าอี้หินอ่อนตัวโปรดข้างแปลงกุหลาบในสวนไม้ระหว่างอาคาร  เขาโบกมือให้ขณะผมเดินตรงไปหาในเช้าวันหนึ่ง  โรสกับโรซี่คือพี่น้องสองต้นแห่งสวนกุหลาบสวยนั่นเอง

             ผมเดินไปใกล้ และนั่งลงเก้าอี้หินอ่อนอีกตัว หันไปทักทายกับต้นกุหลาบสาวด้วยท่าทางเป็นมิตร

             “สวัสดีครับ  คุณโรสคุณโรซี่ วันนี้ท่าทางสดชื่นดีนะครับ  ขออภัยด้วยที่ผมไม่ได้ยินเสียงคุณ”

             รู้สึกคล้ายว่าพวกต้นกุหลาบจะพากันทักทายตอบ  ทั้งยังมีทีท่าแย้มยิ้มไปด้วย ผมได้แต่นึกเสียดายที่ไม่ได้ยินเสียงของพวกเธอ

             “ไม่เป็นไรครับ พวกเธอเข้าใจ”  ไซเอนซ์ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางให้ เพราะเขาพูดคุยกับต้นหลาบได้ “ขอเพียงมีใจจริงจริงใจต่อกัน ต่อให้สื่อสารกันทางโสตประสาทธรรมดาไม่ได้ ก็ไม่เป็นไรครับ  โรสกับโรซี่ฝากบอกมาแบบนี้ครับ”

             “ดีใจจังที่พวกคุณเข้าใจ หวังว่าสักวันเราจะคุยกันได้นะครับ”  ผมพูดอย่างสุภาพและให้เกียรติ เพราะอย่างไรเธอทั้งสองก็เป็นกุหลาบสุภาพสตรี  จากนั้นพวกเราก็พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน โดยมีไซเอนซ์เป็นตัวกลางการสื่อสาร 

             หลังจากนั้นไม่นาน คนไข้สาวคนหนึ่งก็มากับนางพยาบาล เธอมานั่งลงด้านข้างไซเอนซ์ ด้วยท่าทางของคนอยู่ในโลกส่วนตัวสูงจนไม่รับรู้โลกภายนอก แต่ถึงกระนั้นเธอมีสิ่งหนึ่งที่เชื่อมโยงกับโลกภายนอกได้บ้าง นั่นคือการฟังนิยายที่ไซเอนซ์อ่านในฟังนั่นเอง

             นั่นทำให้ผมและสองกุหลาบสาว สองพี่น้องนั่งฟังตามไปด้วย ปล่อยจินตนาการไหลเลื่อนไปตามเรื่องราวอย่างเพลิดเพลิน คนไข้สาวนิ่งฟังอย่างสนใจแม้มองเผิน ๆ เหมือนจะไม่สนใจก็ตาม ผมรู้ว่าเธอกำลังตั้งใจฟัง

             ไซเอนซ์ดูทุ่มเทกับการอ่านหนังสืออย่างสุดชีวิตจิตใจ ราวกับว่าเป็นเรื่องสำคัญอย่างที่สุดในชีวิต นั่นเป็นสิ่งที่คนรักกันพึงกระทำให้แก่กันอย่างไม่ต้องสงสัย  สิ่งที่เขาทำไม่ใช่เป็นเพียงการอ่านหนังสือธรรมดา แต่เป็นการทุ่มเททั้งชีวิตให้กับคนที่รักด้วยต้องการช่วยเหลือเธอให้เป็นปกติ อย่างไม่สนใจว่าหลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้น

.
.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่