สายลมแห่งความรัก 1/2

กระทู้สนทนา

.

บันทึกของคนไข้
หมายเลข 26340 
ห้อง 334
 
             ผมเคยมีช่วงลำบากใจที่สุด กับชีวิตไร้จุดหมายปลายทาง  เคยยิ้มให้กับความตาย แต่ความตายเมินหน้าหนี  นรกยังไม่ต้องการ

             ถ้าเรียกหาการุณยฆาตฉุกเฉินได้ ผมคงคุกเข่าอ้อนวอน ยอมละทิ้งชีวิตที่ไม่มีใคร เป็นข้อต่อรอง  ฟังดูช่างน่าสมน้ำหน้าและแสนเศร้า กับชีวิตหนึ่งที่ไม่มี ‘อะไร’ การงานก็ย่ำแย่ ผู้หญิงที่คิดว่าจะเป็นคนรัก ก็ผละจากไปแบบเหตุผลนรกแตก ให้มันได้อย่างนี้สิ...แล้วชีวิตที่เหลือจะคืออะไร นอกจากลมหายใจของหลุมฝังศพอันเยือกเย็นไร้ความปรานี

             แต่เพราะความ หลุดโลก  ของผม กระมัง  ในช่วงเลวร้ายของชีวิต ผมรู้จัก ‘เธอ’

             เธอคือสายลม

             บ้าอีกแล้วสิ คุณหมอคงอุทานอย่างนี้ 

             เอ้า...บ้าก็บ้าวะ...

             ยังไงผมกับคุณหมอก็อยู่ในสถานที่เดียวกัน ต่างกันเพียงบทบาทหน้าที่เท่านั้น หมอเป็นคนรักษา ผมเป็นคนไข้ แต่ยังไงเราก็อยู่ในจักรวาลเดียวกัน  ถ้าจะบอกว่า สายลมพูดได้ รับรองเลยว่าไม่มีใครเชื่อแน่นอน เพราะมันฟังดูบ้ายิ่งกว่าบ้า ความจริงแล้วในโลกของเรามีหลายอย่างที่บ้า แต่ผู้คนกลับพากันคิดว่าปกติ ในขณะหลายเรื่องดูปกติธรรมดาสามัญ  แต่ผู้คนกลับมองว่ามันบ้าบอคอแตก ความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ไม่ต่างจากการพยายามทำความเข้าใจเรื่องของควอนตัมหรือกาลอวกาศ

             แต่เพราะอยู่ในสถาบันวิเคราะห์โรคทางจิต ผมถึงกล้าเล่าให้คุณหมอฟังยังไงครับ 

             วินนี่ คือชื่อของเธอ

             วินนี่ คือสายลมเพศหญิง

             นั่นไง... ผมนึกแล้วว่าคุณหมอต้องบอกว่ามันฟังดูบ้า สายลมมีการแบ่งเพศด้วยหรือ ถ้ามีสายลมเพศหญิงชาย ก็คงต้องมีสายลมเด็ก ผู้ใหญ่ คนแก่ สายลมหลังโลกแห่งความตาย หรือวิญญาณสายลม อะไรทำนองนั้น แต่ช่างเถอะ ผมไม่สนใจหรอกว่า คุณจะคิดอย่างไร ผมเพียงแต่จะเขียนบันทึกฉบับนี้ให้จบลงเท่านั้น ไม่ได้ถือเป็นปัญหาอะไร เพราะผมชอบขีด ๆ เขียน ๆ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว  อย่างน้อยก็ทำให้มีอะไรทำบ้าง ไม่ใช่บ้าไปวัน ๆ

             ผมรู้ว่าวินนี่เป็นสายลมเพศหญิง  เพราะเสียงของเธอหวานใสแบบเสียงของผู้หญิง ทั้งที่ผมเองก็ไม่เคย ‘เห็น’ หน้าเธอหรอกว่า ‘สวย’ แค่ไหน แต่ผมก็ทะลึ่ง ‘รู้’  อีกว่า เธอสวยและน่ารักเพียงใด  แน่นอนว่าผมสามารถ ‘รับรู้’ ได้ด้วยใจ ไม่ใช่ผ่านการมองทางสายตา

             ที่เรารู้จักกันในบ่ายของวันหนึ่งช่วงเดือนธันวาคม อากาศหนาวเย็น ความกดอากาศสูงอันโหดร้าย จนผมต้องปิดหน้าต่างเก็บตัว ใช้ชีวิตอย่างเงียบเหงา ในห้องนอนชั้นสองของบ้านเพียงลำพัง ไม่อยากยุรยาตรออกไปไหนในวันหยุด เพราะความรู้สึกเซ็ง สุดเซ็ง และเบื่อหน่ายกับโลกมนุษย์ กับความคิดและการกระทำนอกรีตของใครบางคน บางกลุ่ม เริ่มทำให้ผมกลายเป็นคนแปลกแยกสังคม
 
             ใครบางคน...
 
             ใครบางคนเรียกชื่อของผม แว่วดังมาจากนอกหน้าต่าง เป็นเสียงที่ผ่านโสตประสาท ไม่ใช่เสียงดังในความรู้สึก ห้องนอนอยู่หลังบ้าน ถัดออกไปจากเขตรั้วเป็นพื้นที่รกร้าง ผมได้แต่นึกประหลาดใจกับความแปลกประหลาดมากกว่าจะหวาดกลัว ชีวิตของผมเผชิญเรื่องเลวร้ายมามากมาย จนเกินกว่าจะหวาดกลัวกับเรื่องแบบนี้
 
             เปิดหน้าต่างออกไป มองสำรวจโดยรอบ ไม่มีมนุษย์ตนใดอยู่แถวนั้น  จะว่ามีคนไม่ได้รับเชิญ ส่งเสียงเรียกจากหลังบ้านก็เป็นไปไม่ได้ เพราะไม่ได้เปิดประตูรั้วหน้าบ้านทิ้งเอาไว้ ให้ใครต่อใครเดินเข้ามาเดินอ้อยอิ่งลอยชายในอาณาจักรส่วนตัว

             ก็แค่อาการหลอนไปเองแบบธรรมชาติ...ผมคิดในใจอย่างไม่กังวลกับชีวิตของตัวเอง ชีวิตคนเราไม่เที่ยงแท้แน่นอนอยู่แล้ว  แค่อาการประสาทหลอนเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่เห็นจะมีความหมายพิเศษอะไรมากมาย
 
             ขณะกำลังยืนมองไปมาอย่างไม่เข้าใจกึ่งทำใจ เสียงใครบางคนก็เรียกชื่อของผมซ้ำขึ้นอีก ไม่ได้ดังมาจากด้านล่าง แต่เหมือนดังมาจากอากาศด้านบนมากกว่า  เงยหน้ามอง มีเพียงกลุ่มเมฆขาวลอยฟ่อง ในฟ้าคราม ฝูงนกกาโบยบินเรียงเคียงคู่ ปราศจากตัวตนของคนลึกลับ

            “คุณคะ...”    คราวนี้เสียงกระซิบข้างหู

             เป็นบางคนคงสติแตก วิ่งออกไปหน้าบ้าน พร้อมเสียงกรีดร้องโหยหวน ว่าผีหลอกกลางวัน....

             แต่ผม...ไม่

             หมายถึงว่า ผมไม่สนใจอะไรทั้งนั้น นอกจากชีวิตไร้ความหมายของตัวเอง  นั่นทำให้ผมไม่หวั่นไหวอะไรกับความวิปลาส ความชาด้านบางครั้งก็นำมาซึ่งความสงบเยือกเย็น

             “ครับ....”     ผมหลุดปากตอบรับอย่างราบเรียบ เพราะความแปลกใจมากกว่าจะหวาดกลัว  สายลมเย็นพัดผ่านไป สายตาของผมยังคงจับจ้องความว่างเปล่าเบื้องหน้าอย่างครุ่นคิด นึกในใจว่า อาการประสาทหลอนก็ดีเหมือนกัน สนุกดี จะได้ไม่เหงา  กิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่หลังบ้านสะบัดไหวไปมา เหมือนเป็นรหัสบางอย่าง  แต่ผมไม่จำเป็นต้องเข้าใจ  สายลมพัดพารอบตัว ทำให้รู้สึกถึงความอบอุ่นทางจิตใจชนิดหนึ่งอย่างไม่เคยสัมผัสมาก่อน

             “ขอคุยด้วยได้ไหมคะ”   

             น้ำเสียงมีแววอ้อนวอน กึ่งขอความเห็นใจ ผมยิ้มให้กับตัวเองขณะตั้งสติให้มั่นคง  นึกในใจว่าคนอย่างเราก็มีคนอยากคุยด้วย คนหรือ..? ถ้าเป็นคนเจ้าของเสียงอยู่ไหนกัน ผีหรือ ? เวลาบ่ายไม่น่าจะเป็นเวลาของภูตผีปีศาจมาหลอกหลอน แต่ถ้าไม่ใช่ผีจะเป็นอะไรล่ะ  มนุษย์ล่องหน หรือจะเป็นสิ่งมีชีวิตพิสดารจากต่างมิติ

             “คุณอยู่ไหน...”  ผมถามประโยคสำคัญ พยายามทำเสียงให้ราบเรียบ ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับใคร หรืออะไร การแสดงความไม่หวาดหวั่นอย่างน้อยก็ทำให้รู้สึกถึงความเข้มแข็งของตัวเอง

             “ฉันอยู่ข้าง ๆ คุณค่ะ”  เสียงของเธอหวานใสใกล้ชิด จนทำให้หัวใจเริ่มสั่นไหวเพราะผมมักแพ้เสียงหวาน  ไม่ได้สัมผัสถึงรังสีแห่งการคุกคามมุ่งร้ายแม้สักนิด อะไรบางอย่างทำให้ผมเชื่อมั่นว่า สิ่งที่ผมคุยด้วยจะต้องเป็นผู้หญิง มากกว่าเป็นผู้ชาย  เพราะอะไรนะหรือ...ก็ความหวานใสน่ารัก เป็นสมบัติของผู้หญิงเสียเป็นส่วนใหญ่  ชายชาตรีจะมีอิมเมจหวานใสน่ารักคงดูไม่จืด

             “ผมมองไม่เห็นคุณ”  ผมพูด ขณะพยายามฝืนยิ้มอย่างจริงใจให้กับความว่างเปล่า

             “ฉันอยู่ที่นี่ค่ะ”... เธอไม่ได้หมายถึงให้ผมจ้องมองด้วยสายตา แต่เธอให้ผมรับรู้ด้วยความรู้สึก และหัวใจ ขณะสายลมพัดแผ่วผิวกายและใบหน้า ผมหลับตาสงบจิตใจ และเริ่มสัมผัสได้ถึง ‘เธอ’
 
             นั่นเป็นจุดเริ่มต้น ที่ผมกับ ‘วินนี่’ รู้จักกันครั้งแรก

             เธอเป็นสายลม ที่อยู่ในสายลม มีตัวตนอยู่ในความไม่มีตัวตน ทำไมเธอเลือกสื่อสารกับผมก็ไม่รู้เหมือนกัน เราไม่จำเป็นต้องรู้คำตอบของทุกคำถาม เราไม่ต้องเข้าใจความงามก็รู้สึกถึงความงามได้  ผมเชื่อแบบนี้
 
             วินนี่เล่าให้ฟังว่าเธอกำลังหลงทาง ชีวิตน้อย ๆ ของเธอเดินทางไปในโลกกว้างและกระแสลมใหญ่แบบไร้จุดหมาย เธอจดจำเรื่องราวในอดีตไม่ได้มากนัก ไม่รู้ว่าผู้ให้กำเนิดเธอคืออะไร (ก็แน่ละ...สายลมจะมีพ่อกับแม่ได้อย่างไร แค่คิดก็บ้าแล้ว แต่ผมก็พร้อมจะรับมือกับเรื่องบ้า ๆ ได้เสมอ)

             ภายหลังเธอบอกว่าตัวเธอพัดพามาอย่างไร้จุดหมายปลายทาง กระทั่งเจอผม และในความรู้สึกอ้างว่างโดดเดี่ยวเปล่าเปลี่ยวไร้ความหวัง วันนี้จับความรู้สึกของผมได้อย่างไม่น่าเชื่อ ผู้คนในโลกมีมากมาย ทำไมเธอไม่จับความรู้สึกคนเหล่านั้น ทำไมต้องเป็นผม  ช่างศีรษะมารดามันเถอะ ผมไม่สนใจกับเหตุผลแบบนี้  แต่รู้ว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้น จะต้องมีจุดประสงค์ในตัวของมันเอง

             หลังจากนั้น วินนี่จะพัดพามาหาผมในช่วงเย็นของทุกวันหลังเลิกงาน ทำให้ชีวิตที่ไร้แก่นสารของผมมีคุณค่ามากขึ้น ความหวังและการอยู่เพื่อใคร หรืออะไรสักคน สร้างความหมายกับชีวิตไม่ให้เวิ้งว้างว่างเปล่า

             ทุกวันเราจะคุยกันถึงเรื่องราวมากมายหลายหลาก  เธอมักจะพัดวนอยู่รอบตัวของผมอย่างให้กำลังใจและใส่ใจ คอยปลอบประโลมในยามเหนื่อยล้ากับชีวิต คอยพูดคุยเวลาเงียบเหงา คอยหัวเราะด้วยกันเวลาสนุกสนาน เราเข้าใจกันมากขึ้น จนผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังก้าวข้ามคำว่า ‘เพื่อน’ ไปเป็น ‘คนรัก’ อย่างช่วยไม่ได้  ไม่สิ...ต้องบอกว่าเป็น ‘สายลมรัก’ มากกว่า

             วินนี่พัดพามาหาทุกวัน พร้อมเรื่องราวเล่าขานมากมาย  เธอมีเรื่องพิสดารนับไม่ถ้วนเล่าให้ฟังแบบไม่รู้จบ ก็ไม่น่าแปลกเพราะเธอพัดพาไปทั่วโลกกว้าง ผมนั่งฟังนอนฟังอย่างมีความสุข สายลมที่แสนดี ถึงวินนี่ไม่มีตัวตนชัดเจน แต่ผมต้องยอมรับว่าผม หลงรักเธอ เข้าให้เสียแล้ว

             ฟังไม่ผิดหรอกครับ ผมหลงรักสายลม  ฟังดูเหมือนบ้า แต่คิดให้ดี นี่มันแก่นของความรักระดับสูงเลยทีเดียว

             ผู้คนหลายคู่ รักกัน แต่งงานกัน โดยคิดว่าสิ่งประสานสองใจเข้าด้วยกันคือความรัก บางทีพวกเขาอาจติดอยู่เพียงเปลือกนอกของความรักก็เป็นได้ คิดว่านั่นคือความรัก ซึ่งความจริงอาจคือ ความใคร่ความเห็นแก่ตัว มองรูปร่างหน้าตากันถูกใจ ก็บอกตัวเองว่าเกิดความรัก อยากครอบครองเป็นเจ้าของเพื่อเอาชนะคนอื่นหรือตอบสนองกิเลสตัวเอง  พอเกิดปัญหาเลิกรากันยังมีการทำร้ายกันอีก ความรักประสาอะไร

             ผมเชื่อว่าคนรักกัน หรือเคยรักกัน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีวันทำร้ายกันได้

             ความรักของผมที่มีต่อวินนี่ ก้าวข้ามคำว่า รูปร่างหน้าตา ไปแล้ว  และเราสองไม่จำเป็นต้องพึ่งพิธีการใดเพื่อแสดงเชิงสัญลักษณ์ ไม่ต้องขอเธอแต่งงาน ไม่ต้องจัดงานให้เอิกเกริก   วินนี่บอกว่าเธอสามารถสื่อสารกับผมได้เพียงคนเดียว ถ้าห่างออกไปเธอก็แทบไม่ต่างจากสายลมธรรมดา ความรู้สึกเลือนรางลงตามระยะทาง    แต่พอเข้าใกล้ผม ความรู้สึกของเธอจะชัดเจนเข้มข้นขึ้นตามลำดับ  เธอบอกว่าแอบติดตามชีวิตของผมมาระยะหนึ่งแล้ว ยังไม่กล้าทักทายในช่วงแรก นานพอสมควรกับการเฝ้ามอง ก่อนจะตัดสินใจทักทายอย่างเป็นทางการ ทำให้เธอรับรู้ข้อมูลต่าง ๆ ของผมเป็นอย่างดี

             เธอจะแอบดูผมอาบน้ำไหมนะ คงไม่...  ผมคิดอย่างขวยเขิน วินนี่ต้องไม่ทะลึ่งขนาดนั้น

             การที่สามารถสื่อสารกันได้ หมายถึงว่าเราต้องมีบางอย่างตรงกัน อาจเหมือนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของคลื่นวิทยุ กับเครื่องรับวิทยุ ที่จูนตรงกันก็เป็นได้  หลังจากพบกับวินนี่ หัวใจของผมก็ไม่เคยเปิดต้อนรับหญิงใดอีก จะว่าไปหมายถึงไม่มีหญิงใดสนใจผมมากกว่า แต่ผมไม่ได้คิดอะไรมากกับเรื่องความสัมพันธ์ทางกาย มีวินนี่อยู่ด้วยก็พอใจ แม้จะไม่ตลอดเวลาก็ตาม

             คืนวันหนึ่งผมกลับบ้านค่ำ กว่าจะจัดการงานบ้านเสร็จสิ้นความมืดก็คลี่ปีกม่านดำมืดเข้าปกคลุม  ผมอยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้างจึงชวนวินนี่ออกไปทานข้าวนอกบ้าน คุณว่าแปลกดีไหมล่ะ เราไม่ค่อยได้ออกนอกบ้านกันบ่อยนัก  เธอตอบรับอย่างดีใจ พัดหมุนวนไปรอบ ๆ ตัวผมอย่างกระตือรือร้น

             “ในที่สุดก็ได้ไปทานข้าวนอกบ้านกับคุณเสียที”   เธอทำให้โมเลกุลอากาศสั่นไหวเป็นคลื่นเสียงเริงร่า  ทำให้ผมยิ้มอย่างมีความสุขใจไปด้วย
คุณคงสงสัยว่าวินนี่กินข้าวเป็นด้วยหรือ เธอกินอาหารได้ แต่กินตามแบบฉบับของเธอ  ถ้าใครคิดว่าเธอจะกินอาหารแบบมนุษย์ ก็บ้าไปกันใหญ่ละ  บ้ามากกว่าผมหลายเท่า...อากาศที่ไหนมีปากกินอาหารได้ ในเมื่อเป็นอากาศธาตุ เธอก็ต้องกินแบบอากาศธาตุ โดยการพัดพาตัวเองไปยังอาหาร ก็จะสัมผัสรสชาติอาหารแต่ละชนิดได้ ข่างเถอะ เราไม่ต้องสนใจรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็อย่างที่ผมเคยพูดไว้ละครับว่า ศิลปะไม่จำเป็นต้องเข้าใจทั้งหมด   เราไม่ต้องเข้าใจก็สามารถสัมผัสความงามและคุณค่าได้ อย่างเช่นชีวิต คุณเข้าใจแค่ไหนกัน แต่คุณก็มองเห็นความสำคัญของชีวิต

             การควงวินนี่ออกไปนอกบ้าน (ฟังดูแปลกๆ ดีไหมครับ)ที่จริงผมอยากใช้คำว่า พัวพันกันออกจากบ้าน น่าจะถูกต้องมากกว่า เพราะวินนี้ไม่มีแขนขา เธอเป็นสายลมที่คอยพัดพาหมุนวนติดตามผมไป ในเมื่อไม่มีใครมองเห็น ผมเองก็ต้องคอยระวังการพูดจากับเธอไม่ให้ชัดเจนเกินไป เพราะในสายตาคนอื่นจะเห็นว่าผมพูดคุยกับตัวเอง ดูไม่ต่างจากคนบ้า

.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่