ฝันหวาน (Sweet Dream) 88

กระทู้สนทนา

.

            กริ๊งงงง…..!!!!

             เสียงนาฬิกาปลุกตอนตีสี่ พรนภางัวเงียลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างยากลำบาก เพราะนี่ไม่ใช่เวลาที่ต้องตื่น หากแต่ต้องฝืนเพราะวันนี้จะเดินทางกลับภูมิลำเนาในเทศกาลปีใหม่

             เธอเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์กดปิดเสียงนาฬิกาปลุก ก่อนจะนอนนิ่ง ๆ หลับตาให้ร่างกายปรับสภาพได้ จากนั้นก็ลุกขึ้นนั่งพร้อมเขย่าตัวของเมธีเพื่อปลุกให้ตื่นเช่นกัน

             “พี่เมธีตื่นเร็วตี่สี่แล้ว นภาจะไปอาบน้ำนะ” เธอพูดพร้อมลุกจากเตียงนอนแบบจำใจ ส่วนสามีรุ่นพ่อปลุกให้ลืมตาตื่นแล้วกลับหลับต่อเสียอย่างนั้น เธอก็ปล่อยให้หลับตามสบาย เนื่องจากเมธีเป็นคนขับรถ และ แต่งตัวเร็วอยู่แล้ว ส่วนกระเป๋าสัมภาระพวกเธอเก็บเรียบร้อยแล้ว ตนเองอาบน้ำแต่งตัวเสร็จค่อยกลับมาปลุกอีกรอบก็ได้

             พรนภาหยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำไป รีบอาบน้ำทำเวลาให้เร็วที่สุด ไหนจะต้องไปซื้อของฝากให้คนทางบ้านอีก กว่าจะได้ออกจากที่นี่จริง ๆ คงปาไปหกโมงเช้า ไหนจะต้องเข้ากรุงเทพไปรับญาติของเมธีอีกด้วย ได้กลับจริง ๆ น่าจะแปดโมงเช้า พรนภาทำได้เพียงถอนหายใจ สามีไม่บ่นอะไรตนเองก็ไม่จำเป็นต้องพูด

             อาบน้ำเสร็จนุ่งผ้าเช็ดตัวออกมานั่งแต่งตัวหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง หันไปมองคนที่ยังนอนหลับอยู่บนเตียงนอน ยิ้มให้ภาพที่เห็นอย่างเอ็นดูนัก “นี่เหรอจะชวนเค้าตื่นตีสาม จะตีห้าแล้วยังไม่ตื่นอีก” พูดเบา ๆ ด้วยรอยยิ้มให้กับสามีรุ่นพ่อ ที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนเตียงนอน ก่อนจะเลิกสนใจแล้วรีบแต่งหน้าทำผมให้เสร็จ โดนปล่อยให้สามีนอนอยู่แบบนั้นไปก่อน

             พรนภาแต่งตัวเสร็จสรรพทุกอย่าง พร้อมออกเดินทางมาก ๆ ดูนาฬิกาตอนนี้ตีสี่ยี่สิบนาที ก่อนจะเดินไปนั่งลงบนเตียงนอนเขย่าตัวสามีปลุกให้ตื่นอีกครั้ง

             “พี่เมธีตัวเองตื่นเร็ว นภาแต่งตัวเสร็จแล้ว” เธอนั่งลงตรงขอบเตียง ปลุกสามีให้ตื่น มองด้วยรอยยิ้มไม่รีบร้อนอะไรนัก ถึงอย่างไรวันนี้ก็จะได้กลับบ้านอยู่แล้ว

             “ฮือ! เรียบร้อยแล้วเหรอคะ กี่โมงแล้วหนิ” คนโดนปลุกลืมตาตื่นตามแรงเขย่า งัวเงียลุกขึ้นนั่งหรี่ตามองภรรยารุ่นลูกที่กำลังนั่งจ้องหน้าตนเองอยู่

             “ตีสี่ครึ่งแล้วค่ะ ไปเลย! รีบไปอาบน้ำแต่งตัวเลย ไหนจะต้องไปนาเกลืออีก หาซื้อของฝากญาติพี่เมธีอีก ไหนจะต้องเข้านวนครเพื่อไปรับญาติอีก” สุดท้ายก็บ่นออกมาจนได้ แต่ก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร

             “เถอะน่าน้อง แค่นี้ไม่เสียเวลาหรอกค่ะ พี่ไปอาบน้ำก่อนนะ” เขาพูด ยกมือขึ้นมาวางบนศีรษะของภรรยา มองหน้าคนบ่น เข้าใจพรนภาแต่ก็ไม่อยากจะปฏิเสธ อะไรพอช่วยได้ก็อยากจะช่วย ไม่ใช่คนอื่นคนไกล ญาติ ๆ เขาทั้งนั้น สาวเจ้าพยักหน้าเข้าใจ จากนั้นเขาก็ลุกไปอาบน้ำทันที

             เมธีใช้เวลาอาบน้ำไม่นานก็กลับออกมาแต่งตัว และ ใช้เวลาในการแต่งตัวไม่นานเช่นกัน ตีสี่ห้าสิบพวกเธอขับรถออกจากคอนโดมุ่งหน้าไปยังตลาดนาเกลือพัทยา เพื่อไปซื้อของฝากกลับบ้าน

             “ดีใจมั้ยคะได้กลับบ้านแล้ว อีหล่าน้อยของอ้าย” พูดปนยิ้มพร้อมยกมือขึ้นมาวางบนศีรษะของเธอ ก่อนจะเอามือลงมาบังคับพวงมาลัยรถเช่นเดิม

             “มาก!!!!” พรนภาหันไปตอบทำหน้าออดอ้อนให้กับสามี มันก็ต้องดีใจเป็นธรรมดา นับนิ้วรอวันนี้มาตั้งนาน เสียดายก็แต่ไม่ได้กลับเลยต้องแวะนั่นแวะนี่อีก ทว่าก็ไม่ถือสาอย่างไรก็ได้

             “ซื้อไปย่างที่บ้านเราด้วยน้อน้อง ว่าแต่กลับบ้านใครก่อนดี พี่ตามใจน้องค่ะ อยากกลับบ้านตัวเองก่อนก็ได้” เขาหันมาพูดด้วย

             “ญาติพี่เมธีบอกให้เราแบ่งเอากับเค้านะคะ แบบเราอยากได้อะไรก็สั่งเอาต่างหากอ่ะ” เธอตอบ ไปถึงขนาดนั้นก็ต้องซื้อกลับบ้านตัวเองด้วยอยู่แล้ว “อือ… กลับบ้านพี่เมธีก่อนก็ได้ค่ะ ไปหาลูกก่อนค่อยกลับบ้านของนภากัน”

             “เอาอย่างนั้นก็ได้ค่ะ งั้นอยู่บ้านพี่ก่อน วันที่ 31 ค่อยไปบ้านน้องเนอะ แล้วก็กลับเลยไม่ต้องแวะบ้านพี่อีกก็ได้” เมธีตอบ นาทีนี้ตามใจภรรยาสุด ๆ เห็นพรนภามีความสุขตนเองก็มีความสุขไปด้วย นาน ๆ จะได้ลากลับตรงเทศกาลกับคนอื่นเขาสักที

             พวกเขาได้กลับไปเยี่ยมบ้านทุกปี หากแต่ไม่ตรงกับเทศกาลเลย ปีนี้ตรงกับปีใหม่ ดูเหมือนภรรยาจะตื่นเต้นมาก

             “นภาว่าก่อนกลับแวะหาลูกอีกก็ดีนะคะ แต่ก็ดูก่อนอย่าพึ่งพูดถึงวันนั้นเลย ตอนนี้อยากกลับไปให้ถึงกาฬสินธุ์เต็มแก่ล้าว!” เธอพูดอย่างตลก หัวเราะไปด้วยกันกับสามีในรถระหว่างเดินทางไปพัทยาเพื่อซื้อของฝาก

             ขับรถมาได้สักพักก็ถึงตลาดนาเกลือ พวกเธอสองคนเดินเข้าไปในตลาดเพื่อเลือกซื้อของสดที่ญาติฝากซื้อ ณ ตอนนี้ที่ตลาดแห่งนี้มีผู้คนมาซื้อของสดมากมาย ทุกคนล้วนแต่จะซื้อกลับไปยังบ้านเกิดของตนเองทั้งนั้น ฟังจากการสนทนากัน ทำเอาเธออดยิ้มให้กันไม่ได้ พวกเธอสองคนก็เป็นหนึ่งในนั้นที่จะซื้อกลับไปฝากคนที่รัก

             “พี่เมธีนี่รายการของสดที่ญาติตัวเองฝากซื้อ ส่วนของเรานภาอยากกิน หมึกกระดองไซซ์ใหญ่ กุ้งแม่น้ำไซซ์ใหญ่ และ หอยหวานพอ เอาอย่างละสองโลพอ” เธอพูดพร้อมสั่งแม่ค้าไปพร้อมด้วย

             “ตามนั้นเลยค่ะ น้องอยากเอาอะไรเพิ่มก็สั่งเลยนะ พี่จ่ายเอง! ส่วนอันตัวเค้าจะกลับไปกินซอยจุ อิอิ” เมธีพูดปนยิ้ม ยืนชิด ๆ กันกับเธอ

             “น่ากลัว! เป็นปอบบ่อ” เธอทำเป็นค่อนขอดให้อย่างตลก หากสามีอยากทานมีหรือจะขัด แค่ไม่ทานด้วยเท่านั้น

             “ปอบอะไร! อาหารเสืออาหารสิงโตต่างหาก” เขาเถียงกับเธอด้วยรอยยิ้มเช่นกัน ยืนรอสั่งของสด คุยกันฆ่าเวลา “กลับไปซอยจุกับพ่อเฒ่าอยู่บ้าน เมามาหลงเอิ้นพ่อเฒ่าเฮ้ยหมอสิว่าจังใดน้อง ฮา” เขาพูดกลั้วหัวเราะ

             “ฮือ… พี่เมธี! อะไรจะขนาดนั้น จิตสำนึกในใจจะไม่มีเลยบ่อ นั่นพ่อนะไม่ใช่เพื่อน ถึงจะเหมือนเพื่อนก็เถอะ” คราวนี้ตัวเธอเองพูดปนหัวเราะเช่นกัน หัวเราะอึกอักให้กับคำพูดของตนเอง

             “ค้าบ! แหม! พี่พูดหยอกเฉย ๆ ค่ะ ว่าแต่เท่ากันมั้ย” ก็ยังแซวตัวเองไม่ได้หยุด ไม่ได้แซวพ่อตาหากแต่เป็นการแซวตัวเองต่างหาก

             “รุ่นอ้ายอยู่! อ้ายห้าหกปีพุ่นล่ะคือ” พรนภาตอบไปตามตรง

             “ตัวพี่ใช่มั้ยคะที่เป็นรุ่นพี่ของพ่อห้าปี ฮา” เมธีพูดจบทำเอาเธอหัวเราะร่วนขึ้นมาดื้อ ๆ ทำเอาแม่ค้าและคนอื่น ๆ ที่ซื้อของใกล้ ๆ กันหันมามอง พวกเธอก็ไม่สนใจ แล้วแต่ใครจะมอง พวกเธอรักของพวกเธอคนอื่นไม่มีสิทธิ์เกี่ยวข้อง

             “ไม่ช่าย! ว่าไป พ่อของนภาเป็นรุ่นพี่ตัวเองแหมะ” ค่อนขอดให้อย่างตลก มีบางคนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ พวกเธอคุยกัน ก็แอบชำเลืองมองมาบ้าง พวกเธอก็ไม่ใส่ใจ

             คนรักกันไยจะต้องแคร์อะไร ถ้ามันไม่ได้ทำให้ใครขาดใจตายก็ไม่เห็นต้องแคร์ สิ่งที่ควรแคร์ คือ ความสุขความรู้สึกของตัวเองต่างหาก และ มันไม่ทำให้ใครเดือดร้อนด้วย ตั้งแต่แต่งงานอยู่ด้วยกันมา พวกเธอเข้าใจกันรักกันดีที่สุด อาจจะเป็นเพราะอายุที่ห่างกัน ประสบการณ์ที่ผ่านมา จึงทำให้รับมือกันและกันได้ดีที่สุด

             “แต่เป็นเพื่อนแม่ใช่มั้ยคะ ฮา” เขาก็ยังไม่หยุดแซวตัวเอง ยังพูดเล่นไม่เลิก พูดปนหัวเราะกับเธอระหว่างรอแม่ค้าแพ็กกล่องโฟมให้ เธอไม่ตอบทำเพียงอมยิ้มให้กับสามีคราวพ่อไปเท่านั้น ไม่นานออร์เดอร์ของสดที่สั่งก็ได้มาครบ พนักงานของร้านเข็นใส่รถเข็นไปส่งที่รถให้พวกเธอ

             “น้องจะซื้ออะไรอีกมั้ยคะ” เขาก้มศีรษะลงมาถามเธอเบา ๆ

             “เหลือหมึกไข่แห้งกับหมึกไม่ไข่แห้งค่ะ พี่เค้าสั่ง ซื้อไปฝากแม่พี่เมธีกับแม่ของนภาด้วยดีกว่า หมึกไข่แห้งอร่อยนะ” เธอพูดลอยหน้าลอยตา “พี่เมธีตัวเองไปรอที่รถเลยก็ได้ เดี๋ยวนภาแวะซื้อแป๊บเดียว”

             “ครับ!” เขาตอบตกลง จากนั้นก็เดินนำพนักงานที่เข็นกล่องโฟมของสดไปยังรถที่จอดอยู่ สักพักพรนภาก็เดินกลับออกมาจากในตลาด

             ตอนนี้ตีห้าครึ่ง พวกเธอเดินทางออกจากตลาดนาเกลือพัทยา มุ่งหน้าเข้ากรุงเทพเพื่อไปรับญาติของเมธีที่ขอกลับด้วย

             “น้องไปทางไหนดีคะ” เขาถามขณะขับรถ “พี่ว่าเรามาผิดทางเด้หนิ มาทางนี้มันจะบังคับให้ขึ้นทางด่วนปุณวิถีแหมะ” เพราะพวกเธอมาอีกเส้นทาง จึงจำต้องขึ้นทางด่วนเส้นนี้ ปกติพวกเธอจะวิ่งทางด่วนรอบนอกไปอยุธยาเลย

             “ไปทางไหนก็ไปค่ะ แค่อย่าเข้ากรุงเทพก็พอ ก็มองป้ายอยุธยาดี ๆ ก็แล้วกัน มันมีทางลงอยู่ นภาเคยมาเส้นนี้อยู่” เธอตอบ ไม่เห็นต้องกังวลอะไรเลยนาทีนี้

             “มากับใคร!” เมธีหันมาถามแว่บเดียว ก่อนจะหันไปมองทาง “พี่พึ่งจะมาหลงขึ้นมาเนี่ย น้องมากับใคร!”

             “เอ้านภาก็มากับญาติไง ช่วงกลับไปเลือกตั้งอ่ะ ฮ่วย! อย่ามาหาเรื่องกันเด้อ” ไม่พูดเฉยเหวี่ยงตัวหันหน้ามาทางประตูรถหันข้างให้กับสามี ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าเมธีหมายถึงใคร หมายถึงเธออาจจะเคยมากับคนเก่า

             “เอ๋าตัวเอง! เค้าถามเฉย ๆ แหมะ พี่ก็แค่อยากรู้ค่ะ ว่าน้องเคยมากับใคร เค้าถามเฉย ๆ ทำไมต้องงอนเค้าด้วยเนี่ย” เขาง้อ รู้ในทันทีว่าพรนภาไม่ค่อยจะพอใจในสิ่งที่เขาถามไป จึงง้อเพราะไม่อยากทะเลาะกัน ไม่อยากทะเลาะกับพรนภาสักวินาทีเดียว

             เขาเพียงแกล้งถามเฉย ๆ เจ้าตัวดันงอนจริง ๆ รู้สึกเหมือนหายนะกำลังมาเยือน ต้องหาวิธีง้อก่อนจะง้อไม่กลับ

             “นภาก็ตอบไปแล้วไงว่ามากับญาติ วันกลับไปเลือกตั้งท้องถิ่นที่บ้านน่ะ” เธอตอบเสียงเรียบ ยังไม่ยอมหันหน้ามาดี ๆ

             “พี่ก็ทราบแล้วไงคะ น้องตอบแล้วน้องก็หันมาคุยกับพี่ดี ๆ ดิ นั่งอะไรแบบนั้น” พูดพร้อมเอื้อมมือมาจับมือของเธอ ทว่าโดนเจ้าตัวกระชากมือหนี ทำเอาเขาหัวเราะร่วนด้วยความชอบใจ นั่นไง! นี่แหละพรนภาตัวจริงเสียงจริง เขาหัวเราะเบา ๆ

             “น้องนภาคะ หันหน้ามาคุยกับพี่ดี ๆ ค่ะ พี่ถามเฉย ๆ ตัวเองจะงอนเค้าทำไมก่อน” สิ้นคำพูดของเขาพรนภาก็หันหน้ามาตามคำสั่ง ทว่าไม่ยอมยิ้มให้เหมือนเดิม “ดูทำหน้า จะหน้าบึ้งให้พี่ไปไหนคะเนี่ย พี่ไม่มีแรงขับรถนะพี่แก่แล้ว ถ้าพี่หมดแรงไปอ่ะ น้องไม่ได้กลับบ้านนะคะ เอาดิ! หน้าบึ้งแบบนี้พี่หมดแรงจริง ๆ ด้วย” เขาแกล้งพูด ทว่ามันก็คือการง้อนั่นแหละ พูดตลก ๆ แบบไม่แคร์อายุกันเลย เพราะในรถมีเพียงพวกเขาสองคนสามีภรรยา

             “ยิ้มแล้ว” พรนภาพูดพร้อมยิงฟันให้สามีก่อนจะหุบยิ้มลง

             “เอาใหม่ค่ะ ยิ้มดี ๆ ทำหน้าดี ๆ ไม่หน้างอให้พี่ ไม่งั้นพี่หมดแรงขับรถจริง ๆ ด้วย เบรกแมร่งจอดมันตรงนี้แหละ เหนื่อยแหมะคนหน้างอใส่ ไม่ยิ้มให้ เค้าก็ไม่มีแรงขับรถตั้วน้อ” ไม่พูดเพียงเท่านั้นเมธียังทำท่าจะจอดด้วย ทำท่าจะเข้าจอดตามไหล่ทางด่วน เช้ามืดแบบนี้รถบนทางด่วนยังไม่เยอะ แทบจะไม่มีเพราะผู้คนกลับภูมิลำเนากันไปหมดแล้ว

             “พี่เมธี! นี่มันบนทางด่วนนะ ฮ่วย!” เธออุทาน จ้องมองสามีรุ่นพ่อเล่นอะไรเป็นเด็ก ๆ ไปได้ กลั้นยิ้มกลั้นหัวเราะเอาไว้ ไม่อย่างนั้นหากหัวเราะออกมาเธอแพ้แน่

             “จะหายงอนเค้าได้ยัง” เมธีถาม คราวนี้ไม่เล่นแล้ว ไม่ยิ้ม แววตาที่มองเธอมาแว่บเดียวแบบจริงจังน้ำเสียงเรียบ มืออีกข้างเอื้อมมากุมมือของเธอเอาไว้ “ขอโทษที่ถามไปแบบนั้นค่ะ พี่แค่ถามจริง ๆ พี่ไม่ได้คิดอะไรเลย ทำไมคะ! น้องคิดว่าพี่พูดถึงแฟนเก่าน้องเหรอ” เมธีถามได้แทงใจดำของเธอมาก เพราะเธอคิดแบบนั้นจริง ๆ

             “เปล่าสักหน่อย” เธอปฏิเสธ “ก็พี่เมธีถาม มากับใคร พี่ยังไม่เคยพาน้องหลงมาทางนี้เลย หื้ย!” เธอทำเป็นพูดเลียนแบบน้ำเสียงของเขา คราวนี้เรียกรอยยิ้มของเขากลับมาได้ รวมทั้งเธอด้วย บรรยากาศภายในรถกลับมาเป็นเหมือนเดิม

             “เอ๋าก็ถูกมั้ยล่ะ อ่อ จำได้ละเคยมา ๆ เคยพาน้องมาอยู่ ขึ้นทางด่วนเส้นนี้แหละ” เขาแก้ตัว ทำไมเธอจะไม่เคยขึ้นทางด่วนปุณวิถี แอบค่อนขอดให้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่