JJNY : ผู้เลี้ยงสุกรโอดขาดทุนสะสม3ปี│ททท.หวั่น"โอมิครอน"รุนแรง│อเมริกาอาจติดเชื้อวันละครึ่งล้าน│สั่งจำคุก3ปี‘ไป่ ทาคน’

ผู้เลี้ยงสุกรโอดขาดทุนสะสม3 ปีซ้ำต้นทุนพุ่งวอนผู้บริโภคเห็นใจ
https://www.bangkokbiznews.com/business/979664
 
 
สมาคมผู้เลี้ยงสุกร วอนผู้บริโภคเห็นใจราคาหมูเป็นไปตามกลไกตลาดเสรี ชี้ผู้เลี้ยงขาดทุนสะสม 3 ปี ซ้ำต้นทุนพุ่ง ข้าวโพด-ถั่วเหลืองขึ้นราคา ทำหมูแคลน เปิดทางผู้บริโภคซื้อสินค้าอื่นแทน

 นายสุนทราภรณ์ สิงห์รีวงศ์ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคเหนือ กล่าวถึงสถานการณ์สุกรในปัจจุบันว่า เกษตรกรผู้เลี้ยงกำลังประสบปัญหาต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ทุกประเภทปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัญหาที่ภาคปศุสัตว์ทั่วโลกกำลังประสบอยู่ โดยเฉพาะราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของประเทศเพื่อนบ้านทั้ง กัมพูชา ลาว เวียดนาม ที่ราคาปรับขึ้นไปอยู่ในระดับ 11.20-12.20 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นราคาสูงสุดในรอบ 10 กว่าปี
 
ขณะที่จีนราคาสูงถึง 12.80 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนประเทศไทยเคยมีราคาสูงถึง 12.50 บาทต่อกิโลกรัม กลายเป็นต้นทุนสะสมที่เพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ประกอบกับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาผู้เลี้ยงต้องประสบภาวะขาดทุนอย่างหนัก จากการขายหมูต่ำกว่าต้นทุนเพื่อลดความเสี่ยงเรื่องโรค กระทั่งเคยขายสุกรราคาต่ำสุดเพียง 50 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ต้นทุนสูงถึง 80 บาท เป็นการซ้ำเติมภาวะขาดทุนจากที่ต้องแบกรับมาตลอด 3 ปี เพื่อประคับประคองอาชีพเดียวนี้ไว้
 
“ปัจจุบันผู้เลี้ยงสุกรในภาคเหนือหายไปจากระบบแล้วมากกว่า 50% จากผลกระทบของโรคในหมูและภาวะขาดทุนสะสม ทำให้ต้องหยุดเลี้ยงหมูปล่อยเล้าว่างเพื่อรอดูสถานการณ์ ขณะที่เกษตรกรที่ยังเดินหน้าเลี้ยงต่อไปต้องแบกภาระต้นทุนที่สูงขึ้น จากราคาวัตถุดิบที่พุ่งไม่หยุดทั้งข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กากถั่วเหลืองนำเข้า และปลายข้าว" 
 
ซึ่งวัตถุดิบอาหารสัตว์เป็นต้นทุนหลักคิดเป็น 60-70% ของการเลี้ยงสัตว์ รวมถึงต้องยกระดับระบบป้องกันโรคให้เข้มแข็งขึ้น  ทำให้มีต้นทุนเพิ่มเกือบ 500 บาทต่อตัว และยังต้องเตรียมเงินทุนจำนวนมาก เพื่อปรับเข้าสู่ระบบมาตรฐานทั้ง GFM และ GMP แม้รู้ว่าต้นทุนต้องเพิ่มขึ้น แต่เกษตรกรยินดีทำเพื่อรักษาความมั่นคงทางอาหารโปรตีนให้ผู้บริโภคในประเทศ” นายกสุนทราพร กล่าว
   
สำหรับการบริโภคของประชาชนในปัจจุบันปรับเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก เนื่องจากห้างร้านต่างๆกลับมาเปิดดำเนินการได้ตามปกติ ไทยเปิดรับนักท่องเที่ยวในช่วงก่อนนี้ โรงเรียนเปิดทำการเรียนการสอน และยังเข้าสู่ช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ส่งผลในเชิงจิตวิทยาทำให้คนเริ่มออกมาจับจ่ายมากขึ้น
สวนทางกับปริมาณผลผลิตสุกรขุนลดลงมากกว่า 30% ราคาสุกรจึงเป็นไปตามกลไกตลาด อย่างไรก็ตามพบว่าประเทศอื่นๆที่มีปัญหาขาดแคลนสุกรระดับราคาต่างปรับขึ้นต่อเนื่อง อย่างเช่น จีนราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มอยู่ที่ 90-103 บาทต่อกิโลกรัม และฟิลิปปินส์ ราคา 137-147 บาทต่อกิโลกรัม
เกษตรกรขอความเห็นใจในปัญหาที่ต้องเผชิญกับภาวะราคาหมูตกต่ำมานานกว่า 3 ปี ขอให้กลไกตลาดได้ทำงานเสรี เพื่อให้สามารถไปต่อในอาชีพนี้ได้ ขณะที่ประชาชนยังมีทางเลือกบริโภคอาหารอื่นทดแทน ทั้งปลา ไข่ ไก่ ซึ่งถือเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรอย่างแท้จริง
 

 
ททท.หวั่น "โอมิครอน" รุนแรง ทุบจับจ่าย-ท่องเที่ยวปีใหม่
https://www.bangkokbiznews.com/business/979587

เอกชนท่องเที่ยวลุ้นหลังปีใหม่ 4 ม.ค.65 ภาครัฐพิจารณาปลดล็อกระงับการลงทะเบียนขอเข้าไทยประเภท Test & Go และ Sandbox  เป็นการชั่วคราว “พิพัฒน์” ชี้หากสถานการณ์โควิด-19 เปลี่ยน จำเป็นต้องเลื่อนการลงทะเบียนฯไปอีกระยะ เล็งเลือกเปิดพื้นที่ “แซนด์บ็อกซ์” สูงสุด 28 จังหวัด

ด้าน “โอมิครอน” ทุบมู้ดเที่ยว-กำลังซื้อปีใหม่แผ่ว คนไทยรัดเข็มขัดแน่น “ททท.” คาดจำนวนการเดินทาง 2.63 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้ท่องเที่ยว 8,040 ล้านบาท
 
หลังรัฐบาลปรับมาตรการป้องกันควบคุมโรคสำหรับสถานการณ์การระบาดของสายพันธุ์โอมิครอนตามมติของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) เมื่อวันที่ 21 ธ.ค.ที่ผ่านมา ระงับการลงทะเบียนผู้เดินทางเข้าราชอาณาจักรประเภท Test & Go และแซนด์บ็อกซ์ (Sandbox) เป็นการชั่วคราว ยกเว้นภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์ และการเข้ามาแบบกักตัว เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 22 ธ.ค.2564-4 ม.ค.2565 พบว่าสิ่งที่ภาคเอกชนท่องเที่ยวตั้งตารอมากที่สุด คือรัฐจะขยายระยะเวลาอีกหรือไม่ และยังส่งจดหมายเปิดผนึกถึงกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเพื่อขอให้พิจารณาเปิดพื้นที่ต่างๆ เป็นแซนด์บ็อกซ์อีกด้วย
 
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า หลังเทศกาลปีใหม่ หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องจะประชุมกันในวันที่ 4 ม.ค.2565 เพื่อประเมินสถานการณ์โควิด-19 โดยเฉพาะการระบาดของโอมิครอน หากไม่มีการกระเพื่อมทางศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) อาจจะพิจารณาปลดล็อกการระงับการลงทะเบียนฯ อนุญาตให้นักท่องเที่ยวยื่นขอไทยแลนด์พาส (Thailand Pass) ประเภท Test & Goและแซนด์บ็อกซ์ได้อีกครั้ง
 
แต่ถ้าสถานการณ์เปลี่ยน ภาครัฐจำเป็นต้องขยายระยะเวลา ก็ต้องผลักดันให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยผ่านภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ และในกรณีที่จำเป็นต้องเลื่อนการเปิดลงทะเบียนฯ กระทรวงฯ ต้องหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าสามารถเลือกเปิดแซนด์บ็อกซ์รับนักท่องเที่ยวต่างชาติในพื้นที่ที่กำหนด ซึ่งสามารถเปิดได้สูงสุดใน 28 จังหวัด ว่าสามารถเลือกเปิดในจังหวัดไหนนอกจากภูเก็ต ขณะเดียวกันก็สามารถควบคุมไม่ให้นักท่องเที่ยวออกนอกพื้นที่แซนด์บ็อกซ์ได้ด้วย
 
สำหรับช่วงเทศกาลท่องเที่ยวปีใหม่ ทาง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กำชับให้หน่วยงานที่ดูแลความมั่นคงดูแลความปลอดภัย และแม้จะมีการระบาดของโอมิครอน แต่ทางนายกฯ ก็ไม่ได้มีคำสั่งล็อกดาวน์ เพื่อให้สามารถเดินทางได้ตามปกติ และจัดงานเคาท์ดาวน์ได้ภายใต้มาตรการด้านสาธารณสุข
 
++ ททท.คาด 2 ซีนาริโอท่องเที่ยวปีใหม่
 
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ช่วงเทศกาลปีใหม่ วันที่ 31 ธ.ค.2564-3 ม.ค.2565 เป็นช่วงเวลาที่คาดการณ์การท่องเที่ยวในประเทศช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้และแนวโน้มปี 2565 ว่าจะเดินหน้าหรือจะชะลอตัว เนื่องจากมีตัวแปรใหม่ “โควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน” โดยมี 2 กรณีคือ 
 
กรณีแรก หากโอมิครอนยังไม่ทวีความรุนแรง หลายพื้นที่สามารถจัดงานเคาท์ดาวน์ได้ โดยมีแรงจูงใจอย่างสภาพอากาศหลายพื้นที่ มีวันหยุดยาวติดต่อกัน อีกทั้งอยู่ในช่วงการใช้สิทธิ์มาตรการโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3 และคนละครึ่ง การจัดกิจกรรมกระตุ้นท่องเที่ยวทั้งในส่วนของ ททท.ร่วมกับภาคเอกชนจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ด้วยแนวคิด “Amazing Thailand Countdown 2022-Amazing New Chapters” ภายใต้มาตรการ New Normal ปลอดภัยตามมาตรการสาธารณสุข ยิ่งช่วยสร้างบรรยากาศและสีสันแห่งความสุข ความรื่นเริงและความมั่นใจให้ผู้คนออกมาท่องเที่ยวมากขึ้น 
 
ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการเดินทางภายในภูมิภาคเป็นหลัก เนื่องจากพฤติกรรมท่องเที่ยวช่วงโควิด-19 เปลี่ยนไป เดินทางระยะใกล้มากขึ้นและนิยมขับรถเที่ยวเอง สอดคล้องกับผลสำรวจพฤติกรรมคนไทยหลังโควิด-19 ของ กวจ.ระบุว่า จะเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว 85% และเลือกสถานที่ท่องเที่ยวที่อากาศดี ถ่ายเทสะดวก ไม่คับแคบ
 
++ รายได้ท่องเที่ยวปีใหม่สะพัด 8 พันล้านบาท
 
อย่างไรก็ตามการแพร่ระบาดของโอมิครอนส่งผลกระทบต่อความมั่นใจบางส่วน ทำให้เลื่อนเดินทาง แต่ก็มีบางกลุ่มที่ยังคงออกเดินทางท่องเที่ยว อาทิ กลุ่ม Gen Y, Gen X ที่มั่นใจในการดูแลตัวเอง 
 
ด้านผลสำรวจคนไทยกับการท่องเที่ยวส่งท้ายปี 2564 ของสวนดุสิตโพล พบว่า 40.57% จะไม่เดินทางช่วงวันหยุดยาวปีใหม่นี้เพราะกังวลโควิด-19 อมิครอน ปัญหาเศรษฐกิจและเงินไม่พร้อม 34.35% จะเดินทางเพราะฉีดวัคซีนแล้ว อีก 25.08% ไม่แน่ใจรอดูสถานการณ์
 
ดังนั้นจึงคาดว่าสถานการณ์ท่องเที่ยวจะแผ่วลงกว่าช่วงวันหยุดก่อนหน้า ผนวกกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวต่อเนื่อง ประชาชนระมัดระวังการใช้จ่าย ทำให้จำนวนการเดินทางอยู่ที่ 2.63 ล้านคน-ครั้ง รายได้ทางการท่องเที่ยว 8,040 ล้านบาท อัตราการเข้าพักเฉลี่ย 48%
 
สำหรับแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม เกือบทั้งหมดเป็นแหล่งท่องเที่ยวหลัก ได้แก่ ชลบุรี นครราชสีมา กาญจนบุรี กรุงเทพฯ ขอนแก่น ประจวบคีรีขันธ์ สมุทรปราการ และเพชรบุรี ซึ่งส่วนใหญ่นิยมขับรถพาครอบครัวไปรับประทานอาหาร และท่องเที่ยวพักผ่อน ขณะที่เมืองหลักอย่างเชียงใหม่และเมืองรองอย่างเชียงรายยังคงได้รับความนิยม สอดคล้องกับรายงานของธุรกิจจองที่พักออนไลน์ (OTAs: Online Travel Agency) พบว่าสถานที่ท่องเที่ยวที่นิยม คือ เชียงใหม่ พัทยา และกรุงเทพฯ นครราชสีมา และกาญจนบุรี
 
++ ชูเอกลักษณ์ท้องถิ่น “อะเมซิ่ง ไทยแลนด์ เคาท์ดาวน์”
 
ด้านการจัดงาน “Amazing Thailand Countdown 2022-Amazing New Chapters” ของ ททท. โดยชูเอกลักษณ์ท้องถิ่น ซึ่ง ททท. จัดกิจกรรม 5 พื้นที่ ได้แก่ เชียงใหม่ นครราชสีมา ระยอง พระนครศรีอยุธยา และภูเก็ต และให้การสนับสนุน 1 พื้นที่คือ กรุงเทพฯ (ไอคอนสยาม และเซ็นทรัลเวิลด์)
 
“คาดว่าบรรยากาศทางการท่องเที่ยวในพื้นที่ดังกล่าวค่อนข้างดี มีจำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยเดินทางเข้าพื้นที่ประมาณ 545,000 คน-ครั้ง และสร้างรายได้หมุนเวียน 2,040 ล้านบาท โดยแต่ละพื้นที่มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยเกิน 50% ขณะที่ภูเก็ตและกรุงเทพฯ มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยต่ำกว่า 20% อาจเป็นเพราะช่วงนี้คนไทยต้องการสัมผัสอากาศหนาวเย็น ประกอบกับทั้ง 2 พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นการเดินทางท่องเที่ยวจากคนจังหวัดใกล้เคียง ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวพักค้างมีน้อย”
 
++ หากโอมิครอนรุนแรงฉุดท่องเที่ยวซบเซา
 
กรณีที่ 2 หากโอมิครอนทวีความรุนแรง และต้องงดจัดงานเทศกาลปีใหม่เคาท์ดาวน์ ไม่ว่าจะใช้มาตรการล็อคดาวน์หรือไม่ก็ตาม จะส่งผลกระทบต่อท่องเที่ยวพร้อมกับฉุดให้เศรษฐกิจในประเทศตกอยู่ในภาวะหดตัว และกำลังซื้อของประชาชนยังไม่กลับเข้าสู่ระดับศักยภาพที่จะใช้จ่ายได้เหมือนก่อนเกิดวิกฤติโควิด ทำให้จำนวนครั้งในการเดินทางลดลง จึงคาดว่าสถานการณ์ท่องเที่ยวในประเทศจะกลับมาอยู่ในภาวะซบเซาอีกครั้ง โดยมีจำนวนผู้เยี่ยมเยือนและรายได้ใกล้เคียงกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2563
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่