บังเอิญพบรัก...ที่กรุงปราก ตอน 1

กระทู้สนทนา
“ ชม..ตกลงเธอเลิกกับนนท์แล้วใช่ไหม” รุจีเพื่อนสนิทที่สุดของฉัน  ถามฉันตรงๆแบบไม่ต้องอ้อมค้อม  เพราะทุกเรื่องของฉันรุจีจะรู้หมด  เราไม่มีความลับต่อกัน  ฉันนั่งก้มหน้าไม่ยอมตอบคำถามของรุจี  ท่าทีและอาการของฉันทำให้รุจีต้องพูดต่อ

            “ถ้าเธอทนนนท์ไม่ได้ที่เขามีหญิงอื่น  ก็เลิกๆกันไปเถอะ  เป็นฉันก็ทนไม่ได้เหมือนกัน  ผู้ชายในโลกนี้ยังมีอีกเยอะ  เชื่อฉันนะชม  อย่าไปอาลัยอาวรณ์คนแบบนั้นเลย  ปล่อยไปซะ  ให้เขาไปที่ชอบที่ชอบเถอะนะ”  รุจีพูดปลอบใจฉัน  เพื่อให้ฉันตัดใจจากเขา และทำใจ

            ฉันกำลังทำใจอยู่  พอได้ยินแบบนั้น  น้ำตาที่พยายามกลั้นเอาไว้ไหลพรากออกมา  แบบเหมือนทำนบกั้นน้ำแตกก็มิปาน  ไม่มีเสียงสะอื้น  ไม่มีคำพร่ำพรรณนา  มีแต่น้ำตาใสๆไหลออกมาล้นทะลักเบ้าตา 

            นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อกหักแบบนี้  เท่าที่จำได้เจอมาแล้ว 2 ครั้ง และครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3  อาการก็จะประมาณนี้  พูดง่ายๆว่าเริ่มจะชินกับการอกหัก

            ฉันนั่งนิ่งสะกดจิต  และเริ่มแผ่เมตตา  ให้อภัยเขาคนนั้น  จิตใจเริ่มผ่อนคลาย ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างฉันกับเขาคนนั้น  วนกลับมาในจิตใต้สำนึกของฉันอีกครั้ง  ฉันรู้สึกสับสนอยู่ครู่หนึ่ง 

             สักพักก็จางหายไป  ฉันหายใจเข้าลึกๆสองสามครั้ง  แล้วลืมตาขึ้นมา  มองไปข้างหน้า  เจอใบหน้าของรุจี  เธอกำลังจ้องมองหน้าฉันอย่างระยะประชิด

            “ โอ้ย..ตกใจหมดเลย”  ฉันสะดุ้งและร้องเสียงหลง  เพราะไม่คิดว่ารุจีจะมาจ้องหน้าฉันใกล้ขนาดนั้น  รุจีมักจะทำให้ฉันคลายเศร้าเสมอ  ฉันมีปัญหาเรื่องรัก  ก็เธอนี่แหละช่วยเหลือ

            “ ฮ่าๆๆๆ...ชมทำใจได้แล้วใช่ไหมละ  เธอหนะเก่งอยู่แล้วเรื่องตัดใจลา  เป็นความสามารถเฉพาะตัวเธอจริงๆ”  รุจีพูดชมฉันและแซวแบบแหย่ นิดๆ  เพื่อให้ฉันหัวเราะ  เพราะถ้าฉันหัวเราะออกมาเมื่อไหร่  แสดงว่าเริ่มทำใจได้

             “ฮ่าๆๆๆ  แล้วทุกอย่างก็จะผ่านไปเองแหละ  คนเราจะไปจริงจังกับคนไม่จริงใจทำไม  ใช่ไหม  ฮ่าๆๆๆๆ...ฮ่าๆๆ”  ฉันหัวเราะแบบไม่หยุด  เพราะต้องการระบายความคับแค้นในใจให้ออกมาให้มากที่สุด  มันเป็นวิธีที่ฉันถนัดมากที่จะช่วยจิตใจของฉันให้ผ่อนคลายจากความทุกข์

            “รุจี..เราไปเที่ยวกันดีไหมเพื่อน  เพื่อทำให้หัวใจฉันพร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง “  ฉันชวนรุจีไปเที่ยวเพื่อปลดปล่อยความทุกข์ที่กำลังเกิดขึ้นในใจ

            “ จะไปที่ไหน  เมื่อไหร่  อย่างไร  บอกมาเลย  ถ้าว่างฉันจะไปด้วย”  รุจีพร้อมที่จะไปด้วย

            “ ฉันว่าจะไปกรุงปรากนะ  ช่วงคริสต์มาส  หนาวสะใจดี  อยากหนาวๆๆ  ฮ่าๆๆ”

            “ ไม่ได้เลยเพื่อนช่วงนั้น  ฉันต้องไปจีน  ไปสัมมนาที่เซี่ยงไฮ้  ช่วงอื่นไม่ได้เหรอ” รุจีอยากไปด้วยแต่ไม่ว่าง  ถ้าเธอว่างเธอจะไปด้วยตลอด  

             “ไม่เป็นไรจ้า  ฉันอยากไปช่วงนั้น  ลางานแล้วด้วย กะไปสัก 10 วัน  เที่ยวกรุงปรากเมืองสุดแสนโรแมนติค  เผื่อจะได้เจอหนุ่มคนใหม่มั้งไงจ้า” 

             ฉันอยากจะลืมเขาคนนั้นให้เร็วที่สุด  และไปผ่อนคลายหาความสุขใส่ตัว  จิตใจจะได้เบิกบาน  ไม่หดหู่คิดวนไปวนมา เดี๋ยวสติแตก

             “ ฮ่าๆๆๆ  ขอให้สมหวังนะแม่ชมดาวคนน่ารัก  ขอให้ได้เจอหนุ่มคนใหม่ที่ใช่และที่ชอบ  เห็นปุ๊บชอบปั๊บเลยนะ” รุจีอวยพรให้ได้พบหนุ่มคนใหม่  รุจีอยากเห็นฉันกลับมาร่าเริงเหมือนเดิม 

             ถ้ามีคนใหม่มาแทนที่ความทุกข์ใจเรื่องคนเก่าก็คงจะเลือนหายไปจนไม่เหลือเยื่อใย  แล้วสิ่งดีๆก็จะได้เข้ามาในชีวิตอีกครั้ง

             ถึงท่าอากาศยานวาตสลัฟ ฮาเวล  เรียบร้อย  ฉันไม่รีบร้อนเที่ยว  อยากเที่ยวแบบชิวๆต้องไปรถสาธารณะ  ใช้เวลา 1 ชั่วโมงไปถึงตัวเมืองกรุงปราก  ได้นั่งมองข้างทาง 

             ช่วงนี้เป็นฤดูหนาว  ข้างทางแห้งแล้ง  ต้นไม้มีเปลือกสีดำ  ใบไม้ร่วงหมดต้น  เห็นแต่กิ่งก้านสีดำ  มองดูงามตาไปอีกแบบ  ถ้ามองเป็นแนวศิลปะ  อุณหภูมิตอนนี้ 3 องศาเซลเซียส  หนาวเย็นถูกใจจริงๆ

             ฉันจองที่พักแถวโอลด์ทาวน์  เพราะแถวนี้จะมีบาร์  คลับ และมีแหล่งบันเทิงยามค่ำคืนมากมาย  ฉันเป็นแนวสายชิมเครื่องดื่มอยู่แล้ว  ต้องหาที่พักที่เหมาะสม  จะได้นั่งดื่มไวน์และฟังเพลงเบาๆ  ท่ามกลางความหนาวเหน็บ  ได้บรรยากาศไปอีกแบบ  ชอบๆๆๆ

             ฉันเข้าที่พักต้องขอพักก่อนเพราะเดินทางมาไกลเหลือเกิน  ข้ามทวีปจากเอเชียมาถึงยุโรปเลย  ได้นอนหลับสักตื่น  ก็จะมีแรงพร้อมเดินเที่ยวตามแผนที่วางเอาไว้ 

               กรุงปราก เป็นเมืองหลวงที่สุดแสนโรแมนติคของประเทศสาธารณรัฐเช็ก   เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล  อยู่ในภูมิภาคยุโรปกลางและเป็นประเทศที่มีภูมิอากาศแบบผสม  เหมาะที่จะมาท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี 

               กรุงปรากเป็นเมืองมรดกโลกของสาธารณรัฐเช็ก  มีแม่น้ำวัลตาวา  เป็นแม่น้ำสายสำคัญที่หล่อเลี้ยงมาแต่โบราณ  ด้วยความสวยงามและเงียบสงบ จึงได้รับสมญานามว่าเป็นดินแดนมงกุฏแห่งยุโรป  

             วันนี้จะได้มาพิสูจน์ละว่าจริงดังคำสมญานามหรือไม่  ถึงฉันจะมากรุงปรากเป็นครั้งแรก  แต่ฉันได้ศึกษาข้อมูลมาไว้เยอะ  เพียงแต่รอมาสัมผัสจริง 

             ครั้งหนึ่งเคยวางแผน จะมาฮันนีมูนที่กรุงปรากนี่แหละ  แต่ความฝันนั้นพังทลายไปแล้ว  เลยถือโอกาสมาเยือนที่นี่ เผื่อจะได้เจอใครบางคนที่รอฉันอยู่ที่นี่ก็อาจเป็นไปได้  เริ่มฝันกลางวัน  ท่ามกลางความหนาวเหน็บของกรุงปราก

            “พอๆ...  อย่าไปคิดถึงมันอีกเลย  เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันจบไป  อย่าคิดวนอีก” ฉันเตือนตัวเองตลอด

             ฉันสะบัดหัวสองสามครั้ง  เพื่อให้ลืมๆเรื่องที่เจ็บปวดไป  คิดไปก็รังแต่จะเจ็บจี๊ดๆขึ้นในใจ 

             ออกเที่ยวดีกว่า  ความโรแมนติคของกรุงปราก  อาจจะทำให้ฉันมีความสุขมากขึ้น  ลืมความเจ็บปวดที่ไม่อยากจะเจอบ่อยๆ

            ถึงสะพานชาร์ลส์แล้ว  ฉันตั้งใจมาที่นี่เพราะเป็นสะพานหินเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองเป็นประวัติศาสตร์  สะพานทอดตัวยาวข้ามแม่น้ำวัลตาวามีความยาว 621 เมตร  กว้าง 10 เมตร  จุดเด่นของสะพานนี้คือมีรูปปั้นสไตล์บาโรก  ทั้งหมด 30 รูป 

             และมีรูปปั้นที่นิยมที่สุดคือรูปปั้นของเซนต์จอห์น  เนโปมุข  มีความเชื่อต่อๆกันมาว่าถ้าใครได้สัมผัสแล้ว  จะได้รับความโชคดีมาสู่ตัวคนที่ได้สัมผัส  และคนที่สัมผัสจะได้กลับมากรุงปรากอีกครั้ง  

            “ฉันต้องไปสัมผัสรูปปั้นนั้นให้ได้  เผื่อจะโชคดีดังคำล่ำลือ”  ฉันพยายามมองหารูปปั้นนั้น  โดยเริ่มไล่ดูไปทีละรูปๆ  เดินเล่นไปเรื่อยๆ  สูดอากาศสดชื่นจากแม่น้ำวัลตาวา  ริมสะพานชาร์ลส์มีของที่ระลึกแปลกๆมากมายให้ได้เดินชม  ทำให้เพลิดเพลินมาก

             วันนี้คนมาท่องเที่ยวกันเยอะ  นักท่องเที่ยวเดินเต็มสะพาน  และนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่  ไม่ใช่คนในประเทศเท่านั้น  จะเป็นคนมาจากประเทศเพื่อนบ้านเยอะ  เนื่องจากกรุงปราก เป็นเมืองที่ใครๆก็อยากจะมาเที่ยวชมความงาม  และยิ่งเป็นช่วงคริสต์มาสด้วยแล้ว  มีบรรยากาศที่สนุกสนานมาก  แค่คิดก็รู้สึกตื่นเต้นล่ะ  

              อากาศเย็นสบาย  ลมพัดโชย  แสงแดดอ่อนๆยามบ่ายแก่ๆ  ช่างมีความสุขจริงๆ  ฉันเดินไปเรื่อยๆ  

              เจอแล้วรูปปั้นเซนต์จอห์น  เนโปมุข  คนยืนรอเพื่อไปสัมผัสกันเยอะเลย  ถ้ายืนรอเพื่อตั้งใจสัมผัสอย่างจริงจังคงอีกนาน  เกรงว่าจะช้า  ฉันเดินใกล้เข้าไปเผื่อมีช่องให้เข้าไปได้แตะนิดหนึ่งก็ยังดี  จะได้ไม่ต้องรอนาน

             ฉันเดินเข้าไป  มีคนกลุ่มใหญ่แห่กันมาเพื่อจะเข้ามาสัมผัสรูปปั้น  ฉันเดินหลบอย่างเร็ว  ทำให้เซไปแตะขาของรูปปั้นเซนต์จอห์น  เนโปมุข  อย่างไม่ได้ตั้งใจ  อะฮ่ะ..ได้แตะแล้ว  รอดูผลว่าจะโชคดีจริงหรือเปล่า

             หลังจากนั้นตาฉันเหลือบไปเห็นศิลปินนักวาดรูปคนหนึ่ง  ที่ตั้งบูธอยู่บนสะพาน  ริมฝั่งซ้ายของสะพานถัดจากรูปปั้นเซนต์จอห์น  เนโปมุข  

             ภาพที่ฉันเห็นตอนนั้น  เหมือนภาพในฝันมันหยุดนิ่งอยู่พักหนึ่ง  ภาพนั้นศิลปินหนุ่มคนนั้น  กำลังตั้งใจวาดรูปเหมือนของลูกค้าคนหนึ่ง  เขาขะมักเขม้นวาดราวกับว่าเขากำลังวาดอยู่คนเดียวบนสะพาน  อยู่ในโลกของเขาคนเดียว  ในขณะที่ผู้คนนักท่องเที่ยวเดินเที่ยวเกะกะเต็มสะพาน

             แสงแดดยามบ่ายแก่ๆ  สาดส่องมาที่ใบหน้าของเขา  ผมหยักศกสลวยรับกับใบหน้าของเขา  ท่าทางที่กำลังมีความสุขที่ได้วาดรูปของเขา  ฉันเห็นแล้วโดนใจมาก  เป็นภาพที่สามารถสะกดจิตฉันให้ตกอยู่ในภวังค์ได้  ฉันยืนดูเขาวาดรูปนานแค่ไหนไม่รู้ตัว  

             จนกระทั่งจิตกรหนุ่มคนนั้นวาดรูปเสร็จ  และวาดรูปให้ลูกค้าคนต่อไป 

              ฉันเดินตรงไปและหยุดยืนดูเขาวาดรูปอย่างไม่รู้ตัวว่ามาได้อย่างไร  เหมือนกำลังถูกมนต์สะกด  พักใหญ่เขาก็วาดเสร็จ  ลูกค้าพอใจในฝีมือเขามาก  ชื่นชมและขอบคุณกันเป็นการใหญ่ 

             เขาเห็นฉันเข้าไปยืนดูนานแล้ว  เขาจึงถามฉันว่าสนใจจะให้เขาวาดรูปให้ไหม

             ฉันตื่นจากภวังค์  นานแค่ไหนไม่รู้เลย  ไม่ทราบว่าจิตรกรได้สังเกตเห็นฉันหรือเปล่า

            “คุณคิดราคาเท่าไหร่ค่ะ” ฉันถามจิตรกรคนนั้น  แบบไม่ได้ตั้งใจถามจริง

            “คุณมาจากประเทศทางเอเชียใช่ไหมครับ” จิตรกรคนนั้นถามฉัน  และยิ้มให้

            “ ใช่ค่ะ  คุณลองทายดูซิว่าฉันมาจากประเทศอะไร  ฉันจะให้โอกาสคุณทาย 3 ครั้ง  ถ้าคุณทายถูกฉันจะใช้บริการจากคุณค่ะ” 

               ฉันเล่นเกมกับจิตรกรคนนั้น  เพราะดูท่าทางเขาเป็นมิตรและสุภาพ  หน้าตาหล่อเหลา  

               ท่าทางน่ารักของเขาตรงสเปคฉันเลย  ทำให้ฉันอยากผูกมิตรด้วย  เพราะฉันมาเที่ยวคนเดียว  และจะอยู่ที่กรุงปรากอีกเกือบอาทิตย์  

               กำลังคิดหาเพื่อนพาเที่ยว  เพื่อจะโชคดีได้เพื่อนพาเที่ยว  ในใจก็แอบปลื้มเขาอยู่เต็มๆ  อิอิ..แต่ต้องเก็บอาการหน่อย

                “ ฮ่าๆๆ  โอเคเลยครับ  ผมขอทายเป็นประเทศฟิลิปปินส์”  เขายอมเล่นเกมกับฉัน  เพราะถ้าทายผิดเขาก็ไม่ได้เสียหายอะไร  แต่ถ้าเขาทายถูก  เขาจะได้มีรายได้เพิ่มอีก

                “ ไม่ใช่ค่ะ คุณมีโอกาสอีก 2 ครั้งนะค่ะ”  ฉันก็ลุ้นให้เขาทายถูก  เพื่อจะได้ชวนเที่ยวด้วย ฮ่าๆๆ  ดูเขาตั้งใจมากเลย  ที่จะทายให้ถูก

                “ ประเทศอินโดนีเซียครับ”  เขายิ้มแบบลุ้นๆว่าจะทายถูกหรือเปล่า

               “ไม่ใช่ค่ะ  คุณมีโอกาสครั้งสุดท้ายแล้วค่ะ  เชียร์นะค่ะ”  ฉันก็ลุ้นพอๆกับเขานั่นแหละ  ถ้าเขาทายถูก  ฉันก็จะได้มีโอกาสใกล้ชิดกับเขา  ได้นั่งมองเขาวาดรูปจนกว่าจะเสร็จ 

                ฉันเริ่มทอดสะพาน  ฮ่าๆๆๆ  สะพานจะหักกลางอากาศหรือเปล่าไม่รู้  ต้องรอลุ้นกันต่อไป

               เขามองหน้าฉันอย่างวิเคราะห์  แววตาจริงจัง  ฉันก็อมยิ้มให้เล็กน้อย  เขาหลับตาลงและพูดกับตัวเอง 

               เขาเอามือข้างขวากำไว้ที่หัวใจหน้าอกข้างซ้ายของเขา  และพูดขึ้นมาด้วยเสียงที่มั่นใจมากว่า

              “ประเทศไทยครับ”  เขาพูดจบ  แต่เขายังหลับตาและเขาเอามือปิดหูของเขาไว้ทั้งสองข้าง  เขาคงไม่อยากได้ยินคำตอบสุดท้ายที่เขาทายออกไป  เขาแสดงอาการลุ้นหนักมาก

              ฉันใจเต้นแรงเมื่อเขาทายถูก  เพราะในใจฉันก็ลุ้นอยากให้เขาทายถูก  และท่าทีของเขาที่ทำแบบนั้น  เหมือนเขาจะคิดอะไรอยู่หรือมีประสบการณ์อะไรเกี่ยวกับสิ่งที่เขาทายออกมา ได้แต่คาดเดาเท่านั้น

               เวลาผ่านไป 3 นาที  เขาลืมตาขึ้น และมองมาที่ฉัน  แววตาเขาเหมือนคาดหวัง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่