เราว่ามันเริ่มน่ากลัวกว่าแค่เห็นว่าสวยแล้ว เพราะมีการพยายามบิดเบือนอย่างจริงจัง ตอนแรกก็แค่เอาชุดสไบไปอ้างว่าของเขมร ตอนนี้เริ่มมีการยัดชุดอะไรไม่รู้ให้เป็นชุดไทยแล้ว เขาทำไปเพื่ออะไรคะ
ส่วนตัวไม่เห็นด้วยถ้าจะบอกว่าชุดไทยแบบไทยจักรพรรดิที่กำลังบูมๆในเขมรตอนนี้เป็นวัฒนธรรมร่วม การมีผ้าเฉวียงบ่าแบบส่าหรีอินเดียเป็นจุดเริ่มต้นวัฒนธรรมแถบนี้ก็จริง แต่ไทยก็มีหลักฐานหญิงสวมผ้าเฉวียงบ่าที่เก่าแก่กว่าที่พบในเขมร คือในเขตแดนไทยพบรูปปั้นปัญจดุริยนารีของคูบัว ราชบุรี พุทธศตวรรษที่ 12-13 เป็นหญิงทวารวดีห่มผ้าเฉวียงบ่าอย่างชัดเจน (ซึ่งยังเป็นการห่มแบบเดียวกับชาวมอญปัจจุบัน) ในขณะที่รูปปั้นเขมรในยุคเดียวกันยังเปลือยอก บางทฤษฎีก็เลยสันนิษฐานอีกอย่างได้ว่าจริงๆชาวมอญในพื้นที่ทวารวดีรับวัฒนธรรมห่มผ้าเฉวียงบ่าแบบอินเดียมาจากอินเดียที่ค้าขายกับมลายู ส่วนหลักฐานแรกที่มีสตรีห่มผ้าเฉวียงบ่าของเขมรคือภาพนูนต่ำยุคพุทธศตวรรษที่ 17
นอกจากนี้เรื่องการห่มสไบสองชั้นแบบมีสะพักทองนั้นหนักที่สุด (ไทยจักรพรรดิที่เขมรเคลม) หลักฐานการผลิตและห่มผ้าสะพักปรากฎในข้อกำหนดและบันทึกเกี่ยวกับราชสำนักฝ่ายในของอยุธยาตอนปลายชัดเจนมาก ( "เพียนทองงามดั่งทอง ไม่เหมือนน้องห่มตาดพราย (ตาด=สะพักตาดทอง)" - กาพย์เห่เรือเจ้าฟ้ากุ้ง) รวมทั้งภาพจิตรกรรมฝาผนังยุคอยุธยาโดยเฉพาะตอนปลายก็ปรากฎชนชั้นสูงและชาวบ้านอยุธยาห่มสไบอยู่ทั่วไป ในขณะที่ของเขมรหาไม่มีเลย ผ้าสะพักมามีหลักฐานสวมใส่ในเขมรหลังนักองค์ด้วงกลับไปครองเขมร ซึ่งก่อนหน้านั้นนักองค์ด้วงก็อยู่ราชสำนักรัตนโกสินทร์ตอนต้นมา 27 ปี บางบันทึกบอกว่าพูดไทยชัดกว่าเขมรด้วยซ้ำ
จุดสังเกตอื่นๆก็มีอีกดังนี้
1. ยุคละแวก (ตรงกับอยุธยาตอนกลาง) ก็ไม่ได้มีบันทึกชัดๆว่าชาวเขมรสวมใส่สไบแบบมีสะพัก
2. ยุคอูดงต่อจากละแวก (ตรงกับอยุธยาตอนปลาย-ธนบุรี-รัตนโกสินทร์) ช่วงต้นยุคก็ไม่มีหลักฐานว่าคนเขมรห่มสไบกับสะพักที่จะสามารถอนุมานได้ว่าหน้าตาแบบชุดไทยจักรพรรดิ ยิ่งปลายๆยุคอุดงที่นักองค์ด้วงอยู่ไทย ราชวงศ์และคนเขมรโดนเวียดนามบังคับใส่ชุดญวณ (อ๋าวหย่าย) ด้วยซ้ำ ที่เป็นเสื้อเวียดนามแขนกระบอกตัวยาวลงมาถึงเข่า ยังมีหลักฐานอยู่ในภาพชุดประจำชาติเขมรรุ่นเก่าๆ แล้วจู่ๆหลังนักองค์ด้วงกลับจากบางกอกไปใน พ.ศ. 2383 ก็มาเปลี่ยนจากชุดญวณเป็นห่มสไบ, สะพัก, นุ่งหน้านาง ซึ่งลักษณะการแต่งกายแบบนี้คือธรรมเนียมชุดราชสำนักไทยสมัยรัชกาลที่ 1-3 ที่นักองค์ด้วงเคยอยู่เปี๊ยบ
3. ภาพที่อ้างว่าเป็นคนเขมรยุคละแวกสวมสไบ พบ 2 ที่คือที่วังหลวงเขมร (ในเจดีย์เงินกับวัดพระแก้วเขมร) และวัดกัมปงตระลาจเลอ ซึ่งภาพวาดทั้ง 2 ที่เกิดขึ้นหลัง พ.ศ. 2400 ในขณะที่ภาพเขียนผนังวัดหญิงอยุธยาสวมสไบมีมาตั้งแต่ก่อน พ.ศ. 2310 (ก่อนกรุงธนบุรี) และต่อเนื่องมาจนถึงรัตนโกสินทร์
4. ถ้าจะบอกว่าเพราะหลักฐานจิตรกรรมต่างๆถูกเขมรแดงทำลาย งั้นก็ไม่ควรอ้างว่าไทยเอาสไบไปจากเขมรเพราะเขมรก็ไม่มีหลักฐานยืนยันที่แน่นหนา ไทยมีเยอะกว่าอีก
ส่วนตัวคิดว่าความต่อเนื่องของการพัฒนางานสไบในเขมรมันเลือนรางมากๆ ต่างจากไทยที่หลักฐานครบ ชัด หาความต่อเนื่องจากแต่ละยุคได้ มีเปลี่ยนไปเป็นพาดสองบ่าบ้างตามแฟชั่นแต่ก็มีการใช้สไบต่อเนื่องมาตลอด จากสไบหน้าแคบแบบมอญ สู่สไบหน้ากว้างชั้นเดียว จนมาสู่การห่มสะพักสองชั้น จนเราว่าชุดไทยแบบจักรพรรดิที่เขมรเคลมมันไม่น่าเป็นวัฒนธรรมร่วมได้ค่ะ หลักฐานการพัฒนาชุดไทยจักรพรรดิมันอยู่ในเขตแดนประเทศไทยชัดเจนมาก
ทุกท่านคิดว่า เขมรเคลมชุดไทยด้วยจุดประสงค์อะไรคะ
ส่วนตัวไม่เห็นด้วยถ้าจะบอกว่าชุดไทยแบบไทยจักรพรรดิที่กำลังบูมๆในเขมรตอนนี้เป็นวัฒนธรรมร่วม การมีผ้าเฉวียงบ่าแบบส่าหรีอินเดียเป็นจุดเริ่มต้นวัฒนธรรมแถบนี้ก็จริง แต่ไทยก็มีหลักฐานหญิงสวมผ้าเฉวียงบ่าที่เก่าแก่กว่าที่พบในเขมร คือในเขตแดนไทยพบรูปปั้นปัญจดุริยนารีของคูบัว ราชบุรี พุทธศตวรรษที่ 12-13 เป็นหญิงทวารวดีห่มผ้าเฉวียงบ่าอย่างชัดเจน (ซึ่งยังเป็นการห่มแบบเดียวกับชาวมอญปัจจุบัน) ในขณะที่รูปปั้นเขมรในยุคเดียวกันยังเปลือยอก บางทฤษฎีก็เลยสันนิษฐานอีกอย่างได้ว่าจริงๆชาวมอญในพื้นที่ทวารวดีรับวัฒนธรรมห่มผ้าเฉวียงบ่าแบบอินเดียมาจากอินเดียที่ค้าขายกับมลายู ส่วนหลักฐานแรกที่มีสตรีห่มผ้าเฉวียงบ่าของเขมรคือภาพนูนต่ำยุคพุทธศตวรรษที่ 17
นอกจากนี้เรื่องการห่มสไบสองชั้นแบบมีสะพักทองนั้นหนักที่สุด (ไทยจักรพรรดิที่เขมรเคลม) หลักฐานการผลิตและห่มผ้าสะพักปรากฎในข้อกำหนดและบันทึกเกี่ยวกับราชสำนักฝ่ายในของอยุธยาตอนปลายชัดเจนมาก ( "เพียนทองงามดั่งทอง ไม่เหมือนน้องห่มตาดพราย (ตาด=สะพักตาดทอง)" - กาพย์เห่เรือเจ้าฟ้ากุ้ง) รวมทั้งภาพจิตรกรรมฝาผนังยุคอยุธยาโดยเฉพาะตอนปลายก็ปรากฎชนชั้นสูงและชาวบ้านอยุธยาห่มสไบอยู่ทั่วไป ในขณะที่ของเขมรหาไม่มีเลย ผ้าสะพักมามีหลักฐานสวมใส่ในเขมรหลังนักองค์ด้วงกลับไปครองเขมร ซึ่งก่อนหน้านั้นนักองค์ด้วงก็อยู่ราชสำนักรัตนโกสินทร์ตอนต้นมา 27 ปี บางบันทึกบอกว่าพูดไทยชัดกว่าเขมรด้วยซ้ำ
จุดสังเกตอื่นๆก็มีอีกดังนี้
1. ยุคละแวก (ตรงกับอยุธยาตอนกลาง) ก็ไม่ได้มีบันทึกชัดๆว่าชาวเขมรสวมใส่สไบแบบมีสะพัก
2. ยุคอูดงต่อจากละแวก (ตรงกับอยุธยาตอนปลาย-ธนบุรี-รัตนโกสินทร์) ช่วงต้นยุคก็ไม่มีหลักฐานว่าคนเขมรห่มสไบกับสะพักที่จะสามารถอนุมานได้ว่าหน้าตาแบบชุดไทยจักรพรรดิ ยิ่งปลายๆยุคอุดงที่นักองค์ด้วงอยู่ไทย ราชวงศ์และคนเขมรโดนเวียดนามบังคับใส่ชุดญวณ (อ๋าวหย่าย) ด้วยซ้ำ ที่เป็นเสื้อเวียดนามแขนกระบอกตัวยาวลงมาถึงเข่า ยังมีหลักฐานอยู่ในภาพชุดประจำชาติเขมรรุ่นเก่าๆ แล้วจู่ๆหลังนักองค์ด้วงกลับจากบางกอกไปใน พ.ศ. 2383 ก็มาเปลี่ยนจากชุดญวณเป็นห่มสไบ, สะพัก, นุ่งหน้านาง ซึ่งลักษณะการแต่งกายแบบนี้คือธรรมเนียมชุดราชสำนักไทยสมัยรัชกาลที่ 1-3 ที่นักองค์ด้วงเคยอยู่เปี๊ยบ
3. ภาพที่อ้างว่าเป็นคนเขมรยุคละแวกสวมสไบ พบ 2 ที่คือที่วังหลวงเขมร (ในเจดีย์เงินกับวัดพระแก้วเขมร) และวัดกัมปงตระลาจเลอ ซึ่งภาพวาดทั้ง 2 ที่เกิดขึ้นหลัง พ.ศ. 2400 ในขณะที่ภาพเขียนผนังวัดหญิงอยุธยาสวมสไบมีมาตั้งแต่ก่อน พ.ศ. 2310 (ก่อนกรุงธนบุรี) และต่อเนื่องมาจนถึงรัตนโกสินทร์
4. ถ้าจะบอกว่าเพราะหลักฐานจิตรกรรมต่างๆถูกเขมรแดงทำลาย งั้นก็ไม่ควรอ้างว่าไทยเอาสไบไปจากเขมรเพราะเขมรก็ไม่มีหลักฐานยืนยันที่แน่นหนา ไทยมีเยอะกว่าอีก
ส่วนตัวคิดว่าความต่อเนื่องของการพัฒนางานสไบในเขมรมันเลือนรางมากๆ ต่างจากไทยที่หลักฐานครบ ชัด หาความต่อเนื่องจากแต่ละยุคได้ มีเปลี่ยนไปเป็นพาดสองบ่าบ้างตามแฟชั่นแต่ก็มีการใช้สไบต่อเนื่องมาตลอด จากสไบหน้าแคบแบบมอญ สู่สไบหน้ากว้างชั้นเดียว จนมาสู่การห่มสะพักสองชั้น จนเราว่าชุดไทยแบบจักรพรรดิที่เขมรเคลมมันไม่น่าเป็นวัฒนธรรมร่วมได้ค่ะ หลักฐานการพัฒนาชุดไทยจักรพรรดิมันอยู่ในเขตแดนประเทศไทยชัดเจนมาก