อยากทราบว่ามีใครเคยรู้สึกผิดกับแม่มากๆจนบางทีอยากลาโลกนี้ไปบ้างครับ..
ชีวิตผมสนิทกับแม่มาก ผมมีพี่น้อง 2 คน พี่สาวผมจะอยู่กับแม่และพ่อตลอดตั้งแต่เรียนจบ จนทำงานก็ทำงานใกล้บ้าน ส่วนตัวผมออกจากอกแม่ตั้งแต่จบ ม.ปลาย แต่ไม่ว่าผมจะอยู่ที่ไหนผมจะโทรหาแม่ เล่าเหตุการณ์ในชีวิตที่พบเจอในแต่ละวันให้แม่ฟัง ถึงผมจะอยู่ไกลและเจอปัญหามากมายขนาดไหน แต่แค่ได้ยินเสียงแม่ก็ทำให้ผมรู้สึกดี อบอุ่น และมีกำลังใจที่จะสู้กับปัญหาทุกๆอย่าง ด้วยความที่ผมไม่สนิทกับพ่อ เราคุยกันได้ไม่กี่คำก็จะทะเลาะกัน ชีวิตผมจึงมีแค่แม่ที่เป็นแรงบันดาลใจ เป็นจุดหมายในชีวิตผมที่ให้ผมมีแรงสู้ในทุกๆวัน อาจจะด้วยเพราะผมยังโสด ชีวิตนี้ผมจึงทำทุกอย่างเพื่อแม่ อยากเก็บเงินสร้างบ้านให้แม่ อยากซื้อเสื้อผ้าสวยๆให้แม่ใส่ ผมเคยคิดว่าวันนึงที่ผมมีเงินเยอะๆ ผมจะให้แม่เลิกทำนา และรับมาอยู่ด้วยกันกับผม ผมอยากให้แม่อยู่กับผมนานๆ อยู่ดูความสำเร็จของผม
จนช่วงเดือนกันยายน 2563 แม่มีอาการหลงลืมจนผิดสังเกต ตอนนั้นผมเครียดมาก หาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตฟุ้งซ่านว่าแม่จะเป็นโรคนั้นโรคนี้ต่างๆนาๆ จนสุดท้ายมั่นใจว่าอาการแม่น่าจะเป็นเกี่ยวกับโรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ ในใจตอนนั้นทุกข์ใจมากๆ ไปทำงานไม่เคยมีเรื่องงานในหัว วันๆเอาแต่หาข้อมูลในเน็ตเกี่ยวกับอาการของแม่ จนสุดท้ายอีกไม่กี่วันถัดมาผมลากลับบ้านและคุยกับพี่ว่าจะเอาแม่ไปตรวจ ไปถึงเล่าอาการให้หมอฟัง หมอแนะนำให้ตรวจชุดใหญ่รวมถึง CT สแกนสมองด้วย ผลออกแม่ตรวจพบว่าเป็นเนื้องอกที่สมอง พี่สาวผมเป็นลมล้มทั้งยืนต่อหน้าหมอ ผมร้องไห้เหมือนอากาศมันบีบจนเหมือนจะหายใจไม่ออก ผมร้องไห้มาตลอดทางระหว่างกลับบ้าน พี่ก็ร้อง แต่แม่ไม่ร้อง แม่ได้แต่นั่งเหม่อไปนอกกระจก ภาพวันนั้นผมยังจำได้ติดตา ผมสงสารแม่มากๆ หลังจากกลับมาบ้านผมโทรหาเพื่อนที่เป็นพยาบาลเพื่อหาข้อมูลว่าโรงพยาบาลไหนที่จะสามารถผ่าตัดให้แม่ได้เร็วที่สุดในใจตอนนั้นผมจะเอาเงินเก็บของผมทั้งหมดที่มีอยู่ประมาณ 3 แสนกว่าบาทที่จะสร้างบ้านให้แม่ เพื่อมาเป็นค่าหมอค่ารักษาตัวแม่ทั้งหมด ด้วยอาชีพของที่บ้านผมทำนา ไม่มีเงินเก็บพ่อกับแม่ทำเพื่อนำเงินมาหมุนเวียน และใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน พี่สาวถึงจะมีครอบครัวแล้วแต่ก็มีภาระเรื่องต้องส่งรถและลำพังเงินเดือนก้ได้แค่เดือนละหมื่นกว่าบาท ตอนนั้นเงินก้อนสุดท้ายที่เรามีคือเงินเก็บของผม ที่ผมจะโอนมาไว้ในบัญชีแม่ทุกเดือนหลังจากหักค่ากินค่าห้องแล้ว แต่เพื่อนผมบอกว่าผ่าตัดสมองมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ลำพังเงินเก็บผมที่มีอาจจะไม่พอรักษาตัวแม่จนแม่หาย เขาแนะนำให้ผมรักษาตามขั้นตอนที่เรามีสิทธิ์ โรงพยาบาลรัฐสมัยนี้มีแพทย์ที่ดีและเก่งไม่แพ้โรงพยาลเอกชน แต่อาจจะต้องแลกมาด้วยคิวและขั้นตอนที่อาจจะต้องรอสักหน่อย ผมเลยตกลงกับที่บ้านว่าจะพาแม่รักษาตัวตามสิทธิ์(บัตรทอง) และแม่โชคดีที่ได้คิวผ่าตัดเร็วกว่าที่คิดไว้ หลังจากได้คิวผ่าตัดหมอให้แม่กลับมารอที่บ้านช่วงเวลานั้นผมไม่สนใจเรื่องงานอะไรทั้งสิ้น ในใจผมมีแต่เรื่องแม่ แต่โชคดีที่เจ้านายเข้าใจและให้เวลาผมได้อยู่ดูแลแม่จนกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย แต่ผมก็ต้องคอยส่งอีเมลล์ด้วยระหว่างที่มีเวลาว่างจากการดูแลแม่ ตอนนั้นผมอึดอัดใจมากผมไม่อยากทำงานแล้ว ผมอยากทิ้งทุกอย่างแต่ด้วยความเกรงใจผมก็ไม่กล้าพูดกับเจ้านายตรงๆ ช่วงหลังจากที่แม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังป่วย แม่ซึมลงอย่างเห็นได้ชัด ผมแม่เริ่มร่วง ผมเป็นคนหวีผมให้แม่ มัดผมให้แม่ เห็นผมแม่ร่วงผมสงสารแม่มาก ได้แต่คิดในใจตอนนั้นทำไมต้องเป็นแม่ ทำไมไม่เป็นผม แม่เป็นคนดี ตั้งแต่ผมเกิดมาไม่เคยได้ยินแม่พูดไม่ดีหรือคิดไม่ได้กับใคร แม่เป็นชาวนาคนนึงที่ตั้งใจทำงานเพื่อส่งเสียให้ลูกๆได้รับการศึกษาสูงที่สุดเท่าที่แม่จะทำได้ แม่เคยพูดว่าแม่อยากให้ลูกมีความรู้ติดตัว แม่ไม่มีเงินทองให้ ให้ได้แค่การศึกษา จะได้ติดตัวลูกไปไม่ต้องลำบากเหมือนแม่ (ขณะที่พิมพ์อยู่ผมยังกลั้นน้ำตาไม่ได้ คิดถึงแม่) หลังจากผ่าตัดแม่อยู่ห้อง ICU 2 คืน และออกมาห้องปกติอีก 17 วัน แต่ละวันที่ผ่านไปมันเป็นความทุกข์ใจอย่างมากของผม เพราะแม่มีไข้ทุกวัน บางวันสูง 39-40 องศา ผมต้องคอยสังเหตุอาการแม่เพื่อเอาข้อมูลบอกกับหมอให้ได้มากที่สุดตอนหมอมาตรวจ ช่วงกลางวันผมเฝ้าแม่คนเดียว พี่กับพ่อจะมาช่วงเย็นหลังเลิกงานและนอนเป็นเพื่อนผมตอนกลางคืน นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตผมที่ได้ปรนนิบัติแม่ทุกอย่าง จนแม่กลับมารักษาตัวต่อที่บ้าน อาการแม่ก็ค่อยๆดีขึ้น แกสามารถกลับมาเดินเองได้ พูดคุย ทานข้าวได้เกือบปกติ 100% ภายใน 1 เดือน จนคุณหมอเจ้าของไข้ยังชมว่าคุณแม่เก่งและใจสู้มากๆ แต่ผลตรวจชิ้นเนื้อของแม่พบว่าเป็นเนื้องอกเยื้อหุ้มสมองเกรด 2 ซึ่งมีโอกาสกลับมาเป็นได้อีก จึงแนะนำให้แม่ฉายรังสีต่อ ช่วงนั้นผมกลับมาทำงานได้ประมาณเกือบ 1 เดือนและขอหยุดต่ออีกครั้งเพื่อจะมาอยู่ดูแลแม่ช่วงที่แม่ต้องฉายรังสีโดยไม่ระบุว่าจะกลับมาทำงานอีกครั้งเมื่อไหร่ ผมบอกเจ้านายให้หาคนใหม่ได้เลยผมเข้าใจ ผมอยากอยู่กับแม่ ผมไม่ไว้ใจใครให้ดูแลแม่เลย ไม่ใช่ว่าผมดูแลแม่ดีกว่าใครๆ แต่เป็นที่ใจผมเองที่อยากเห็นและอยากทำให้แม่ด้วยตัวผมเองถึงจะสบายใจ แม่เข้ารับการฉายรังสีช่วงเดือนธันวาคมปี 2563 ผมกับแม่ไปเช่าหอพักหลังโรงพยาบาลเพราะไม่สามารถเทียวไป-กลับจากที่บ้านได้ เพราะระยะทางไกล แม่ต้องฉายรังสีทั้งหมด 27 ครั้ง แต่ไม่ครบครอส แม่ต้องหยุดเพียงครั้งที่ 14 เนื่องจากแม่มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำจนต้องเติมเลือดทุกสัปดาห์ จนสัปดาห์ล่าสุดที่เติมเลือดคือแม่มีอาการแพ้เลือดอย่างรุนแรงและชัก หมอบอกว่าเกิดจาการที่แม่ได้รับเลือดบ่อยเกินจนร่างการสร้างแอนติบอดี้ขึ้นมาต่อต้านเลือดคนอื่นๆ หลังจากนั้นหมอเจ้าของไข้ที่ผ่าตัดให้แม่ทราบเรื่องจึงสั่งให้แม่หยุดฉายทันทีเพราะร่างกายแม่จะทรุดไปกว่านี้ แม่กลับมาพักฟื้นที่บ้านต่อ แต่อาการแม่ก็เหมือนจะแย่ลงเรื่อยๆ จนช่วงกลางเดือนมีนาคมแม่ต้องเข้าโรงพยาบาลอีกครั้งด้วยอาการหอบ เหนื่อย และผลตรวจตรวจคือปอดแม่ติดเชื้อ และมีภาวะน้ำท่วมปอด แม่นอนให้ยาฆ่าเชื้อทุกวันเกือบ 20 วันโดยมีผมอยู่กับแม่ตลอดเวลา จนอาการสุดท้ายแม่มีอาการติดเชื้อในกระแสเลือด หมอลงความเห็นว่าคนไข้ไม่ตอบสนองกับการรักษา มีทางเดียวคือต้องใส่ท่อช่วยหายใจ แต่ผมได้คุยกับพ่อและพี่สาวแล้วคือจะไม่ใส่ให้แม่ ไม่อยากเห็นแม่ต้องทรมาน นาทีที่ผมต้องเซ็นปฎิเสธการรักษาให้แม่ ผมร้องไห้ต่อหน้าแม่เลย สุดท้ายผมและครอบครัวพร้อมใจกันที่จะพาแม่มาสิ้นใจที่บ้าน พยาบาลฉีดยาเบาเหนื่อย(วันนั้นเขาเรียกแบบนี้ผมก็ไม่รู้ว่ามันคือยาอะไร) พยาบาลบอกว่าแม่อาจจะทนได้ไม่ถึงบ้าน ระหว่างทางพี่สาวผมและผมประคองแม่มาในรถกู้ภัยที่จ้างเขามา เป็นความรู้สึกที่ทรมานที่สุด โดยไม่รู้เลยว่าแม่จะสิ้นใจไปตอนไหน แต่เมื่อถึงบ้านเรื่อง ปาฎิหารย์ ที่ผมไม่เคยเชื่อ ผมก็ได้มาเจอด้วยตัวเอง แม่อาการดีขึ้นตั้งแต่คืนนั้น แม่รู้สึกตัวคุยกับลุงกับน้าที่ตั้งใจกลับมาจากรุงเทพเพื่อมาดูใจแม่ หลังจากนั้นแม่ก็เริ่มพูดเริ่มหัดเดินอีกครั้ง ถึงจะไม่แข็งแรงเท่าไหร่แต่ก็ทำให้ผมดีใจมากๆ เมื่อแม่อาการดีขึ้น ผมตัดสินใจกลับมาทำงานอีกครั้งช่วงกลางเดือนพฤษภาคม วันนั้นเป็นวันที่ผมปวดใจที่สุดเพราะปกติแม่จะห่วงเรื่องงานผมมาก ไม่อยากให้ผมลาหรือหยุด แต่วันนั้นแม่บอกผมว่ายังไม่ต้องไปไม่ได้เหรอ อยู่กับแม่ก่อน วันนั้นผมร้องไห้มาตลอดทางระหว่างขับมอเตอร์ไซค์กลับมาที่ทำงาน ช่วงนั้นผมกับพี่จะคุยอัพเดทอาการของแม่กันตลอด มีครั้งนึงแม่ท้องผูกเกือบอาทิตย์ ผมต้องกลับมาเพื่อเอาแม่ถ่ายและช่วยแม่ล้วงเพราะอึมันแข็งและก้อนใหญ่มากแม่เบ่งจนแม่เป็นลม หลังๆแม่อาการเริ่มทรุดอีกครั้ง แม่กลืนลำบาก กินๆได้แค่นมเอนชัวร์มื้อละ 1 แก้ว แต่ก็ต้องใช้เวลานานกว่าจะป้อนเสร็จ มีคนแนะนำให้พาสายอาหารทางจมูก แต่ผมกลัวแม่เจ็บ กลัวแม่ติดเชื้อ วันนั้นเองที่ผมตัดสินใจลาออกจริงๆ ผมเป็นคนช่วยหาคนเพื่อมาแทนผม ผมอยากออกไปจากจุดนี้ ผมไม่อยากรับภาระอะไรทั้งนั้น อยากจะอยู่กับแม่ อยากดูแม่ด้วยตัวผมเอง ผมเทรนด์น้องใหม่จนเกือบสิ้นเดือนมิถุนายน ช่วงปลายๆเดือนผมเทียวไป-กลับ บ้าน-ที่ทำงาน ทุกวันด้วยรถมอเตอร์ไซค์ เพราะผมไม่มีรถยนต์เป็นของตัวเอง และขับรถยนต์ไม่เป็น ระยะทางประมาณ 100 กิโลเมตร ทุกวัน ช่วงนั้นผมออกจากบ้านตอนตี 4-5 และเลิกงานถึงบ้านประมาณ 1 ทุ่มกว่าเกือบ 2 ทุ่ม จนวันที่ 1 กรกฎาคม ผมได้ออกมาอยู่กับแม่อย่างเต็มตัว ผมคิดว่ามันจะดีแต่เรื่องงานก็ยังตามมากวนใจผมอีก ถึงผมลาออกแต่น้องใหม่ที่มายังใหม่มากและไม่สามารถทำอะไรได้เลย เจ้านายโทรมาขอผมให้ช่วยไปก่อนโดยจะว่าจ้างผมเหมือนฟรีแลนซ์ ผมทีเกรงใจและไม่กล้าปฎิเสธ เพราะคิดย้อนไปว่าช่วงที่แม่ผ่าตัดรวมถึงตอนที่แม่ต้องไปฉายแสงที่ต้องหยุดหลายเดือน เขาก็ยังไม่ไล่เราออก ตอนนี้ผมเลยกลืนไม่เข้าคายไม่ออกไม่กล้าปฎิเสธไปตรงๆ ทำให้เวลาที่ผมควรจะให้กับแม่ก็ต้องเผื่อมาเพื่อทำงานให้กับที่ทำงานเก่า บางครั้งตอนที่เครียดเรื่องงานและเรื่องรายได้-ค่าใช้จ่ายของตัวเองหรือตอนที่แม่ร้อง ผมถามแม่ก็ไม่บอกว่าเป็นอะไร ทั้งที่รู้ว่าแม่พูดไม่ได้ แต่ผมเครียดผมกังวลที่แม่ร้องแต่เราทำอะไรไม่ได้ ผมคุมสติตัวเองไม่อยู่เคยเผลอใช้คำพูดไม่ดีหรือกริยาไม่ดีกับแม่ทั้งที่ผมตั้งใจไว้แล้วแท้ๆว่าผมจะดูแลแม่ให้ดีที่สุด จนหลังอาการแม่ผมเริ่มทรุดหนัก แกไม่ยอมเดิน แม่ไม่พูด และกลืนลำบากมากขึ้น และเกือบจะติดเตียง 100% แม่ผอมลงเยอะเพราะแม่กินไม่ได้ จนประมาณเดือนสิงหาปลายๆเดือนผมปรึกษากับทางครอบครัวพาแม่ไปใส่สายให้อาหารทางจมูก หลังจากแม่ใส่สายอาหารมาแม่ทานได้เยอะขึ้น ทั้งน้ำ นม และยา แต่แม่เริ่มมีเสมหะเยอะขึ้น แม่ไม่สามารถไอออกได้ เคยไปให้พยาบาลดูดออกเขาก็ไม่ยอมทำให้บอกว่าถ้าคนไข้ไม่ยินยอมคนไข้จะเจ็บมาก เลยได้แต่ฉีดยาฆ่าเชื้อและยาละลายเสมหะมากิน จนช่วงต้นเดือนกันยายนพี่สาวผมเปลี่ยนงานและที่ทำงานต้องให้ไปกักตัวที่สถานที่ที่เขาเตรียมไว้ให้ จึงมีผม แม่และพ่อที่อยู่บ้าน พ่อเคยมาถามช่วงที่พี่ไปกักตัวใหม่ๆว่าจะให้ช่วยทำอะไรไหมเกี่ยวกับแม่ ผมบอกไม่ต้องเดี๋ยวผมทำของผมเอง พ่อจึงไม่ได้มายุ่งเกี่ยวกับกิจวัตรประจำวันของแม่ แต่ก็ดูออกว่าเขาก็ห่วงแม่มากไม่แพ้ผม ช่วงหลังๆที่แม่มีอาการท้องเสียติดต่อกันหลายวัน ซึ่งก่อนหน้านั้นแม่มีอาการท้องผูกต้องกินยาระบายทุก 2 วัน แต่มีครั้งนึงผมให้แม่กินน้ำเสาวรสดอยคำทั้ง 3 มื้อคู่กับนมเอนชัวร์อยู่ 1 วัน วันรุ่งขึ้น แม่ถ่ายได้เยอะ ผมดีใจมากไลน์เล่าให้พี่ฟัง เพราะแม่จะได้ไม่ต้องทนท้องผูกแล้วแต่วันหลังๆแม่มีอาการท้องเสียมากขึ้น เริ่มมีมูก บางครั้งสีออกชมพูๆติดมาด้วยผมไม่แน่ใจว่าใช่มูกเลือดไหม ผมไปคลินิคในตัวอำเภอเล่าให้หมอฟังเขาจัดยาฆ่าเชื้อและยาปรับสมดุลลำไส้มาให้ แรกๆแม่อาการดีขึ้นนิดหน่อยแต่ก็กลับมาท้องเสียอีก พอดีกับที่พี่สาวผมใกล้จะได้กลับบ้านเพราะกักตัวใกล้ครบกำหนดแล้ว จึงนัดกันว่าจะพาแม่ไปหาหมอเรื่องที่แม่ท้องเสียและเปลี่ยนสายอาหารให้แม่ด้วย จนช่วงหลังแม่เริ่มหัดพูด แต่ไม่เป็นคำ แม่อารมณ์ดี ปกติผมจะหอมแก้ม หอมหน้าผากแม่เป็นประจำอยู่แล้วแกก็จะยิ้ม จนพี่ผมกลับมาและพาแม่ไปหาหมอ หมอบอกว่าลำไส้แม่ติดเชื้อ เลยฉีดยาฆ่าเชื้อมาให้และเปลี่ยนสายให้อาหาร
เคยรู้สึกผิดกับแม่ หรือรู้สึกเป็นสาเหตุให้แม่ต้องตาย จนไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อบนโลกนี้ไหม
ชีวิตผมสนิทกับแม่มาก ผมมีพี่น้อง 2 คน พี่สาวผมจะอยู่กับแม่และพ่อตลอดตั้งแต่เรียนจบ จนทำงานก็ทำงานใกล้บ้าน ส่วนตัวผมออกจากอกแม่ตั้งแต่จบ ม.ปลาย แต่ไม่ว่าผมจะอยู่ที่ไหนผมจะโทรหาแม่ เล่าเหตุการณ์ในชีวิตที่พบเจอในแต่ละวันให้แม่ฟัง ถึงผมจะอยู่ไกลและเจอปัญหามากมายขนาดไหน แต่แค่ได้ยินเสียงแม่ก็ทำให้ผมรู้สึกดี อบอุ่น และมีกำลังใจที่จะสู้กับปัญหาทุกๆอย่าง ด้วยความที่ผมไม่สนิทกับพ่อ เราคุยกันได้ไม่กี่คำก็จะทะเลาะกัน ชีวิตผมจึงมีแค่แม่ที่เป็นแรงบันดาลใจ เป็นจุดหมายในชีวิตผมที่ให้ผมมีแรงสู้ในทุกๆวัน อาจจะด้วยเพราะผมยังโสด ชีวิตนี้ผมจึงทำทุกอย่างเพื่อแม่ อยากเก็บเงินสร้างบ้านให้แม่ อยากซื้อเสื้อผ้าสวยๆให้แม่ใส่ ผมเคยคิดว่าวันนึงที่ผมมีเงินเยอะๆ ผมจะให้แม่เลิกทำนา และรับมาอยู่ด้วยกันกับผม ผมอยากให้แม่อยู่กับผมนานๆ อยู่ดูความสำเร็จของผม
จนช่วงเดือนกันยายน 2563 แม่มีอาการหลงลืมจนผิดสังเกต ตอนนั้นผมเครียดมาก หาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตฟุ้งซ่านว่าแม่จะเป็นโรคนั้นโรคนี้ต่างๆนาๆ จนสุดท้ายมั่นใจว่าอาการแม่น่าจะเป็นเกี่ยวกับโรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ ในใจตอนนั้นทุกข์ใจมากๆ ไปทำงานไม่เคยมีเรื่องงานในหัว วันๆเอาแต่หาข้อมูลในเน็ตเกี่ยวกับอาการของแม่ จนสุดท้ายอีกไม่กี่วันถัดมาผมลากลับบ้านและคุยกับพี่ว่าจะเอาแม่ไปตรวจ ไปถึงเล่าอาการให้หมอฟัง หมอแนะนำให้ตรวจชุดใหญ่รวมถึง CT สแกนสมองด้วย ผลออกแม่ตรวจพบว่าเป็นเนื้องอกที่สมอง พี่สาวผมเป็นลมล้มทั้งยืนต่อหน้าหมอ ผมร้องไห้เหมือนอากาศมันบีบจนเหมือนจะหายใจไม่ออก ผมร้องไห้มาตลอดทางระหว่างกลับบ้าน พี่ก็ร้อง แต่แม่ไม่ร้อง แม่ได้แต่นั่งเหม่อไปนอกกระจก ภาพวันนั้นผมยังจำได้ติดตา ผมสงสารแม่มากๆ หลังจากกลับมาบ้านผมโทรหาเพื่อนที่เป็นพยาบาลเพื่อหาข้อมูลว่าโรงพยาบาลไหนที่จะสามารถผ่าตัดให้แม่ได้เร็วที่สุดในใจตอนนั้นผมจะเอาเงินเก็บของผมทั้งหมดที่มีอยู่ประมาณ 3 แสนกว่าบาทที่จะสร้างบ้านให้แม่ เพื่อมาเป็นค่าหมอค่ารักษาตัวแม่ทั้งหมด ด้วยอาชีพของที่บ้านผมทำนา ไม่มีเงินเก็บพ่อกับแม่ทำเพื่อนำเงินมาหมุนเวียน และใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน พี่สาวถึงจะมีครอบครัวแล้วแต่ก็มีภาระเรื่องต้องส่งรถและลำพังเงินเดือนก้ได้แค่เดือนละหมื่นกว่าบาท ตอนนั้นเงินก้อนสุดท้ายที่เรามีคือเงินเก็บของผม ที่ผมจะโอนมาไว้ในบัญชีแม่ทุกเดือนหลังจากหักค่ากินค่าห้องแล้ว แต่เพื่อนผมบอกว่าผ่าตัดสมองมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ลำพังเงินเก็บผมที่มีอาจจะไม่พอรักษาตัวแม่จนแม่หาย เขาแนะนำให้ผมรักษาตามขั้นตอนที่เรามีสิทธิ์ โรงพยาบาลรัฐสมัยนี้มีแพทย์ที่ดีและเก่งไม่แพ้โรงพยาลเอกชน แต่อาจจะต้องแลกมาด้วยคิวและขั้นตอนที่อาจจะต้องรอสักหน่อย ผมเลยตกลงกับที่บ้านว่าจะพาแม่รักษาตัวตามสิทธิ์(บัตรทอง) และแม่โชคดีที่ได้คิวผ่าตัดเร็วกว่าที่คิดไว้ หลังจากได้คิวผ่าตัดหมอให้แม่กลับมารอที่บ้านช่วงเวลานั้นผมไม่สนใจเรื่องงานอะไรทั้งสิ้น ในใจผมมีแต่เรื่องแม่ แต่โชคดีที่เจ้านายเข้าใจและให้เวลาผมได้อยู่ดูแลแม่จนกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย แต่ผมก็ต้องคอยส่งอีเมลล์ด้วยระหว่างที่มีเวลาว่างจากการดูแลแม่ ตอนนั้นผมอึดอัดใจมากผมไม่อยากทำงานแล้ว ผมอยากทิ้งทุกอย่างแต่ด้วยความเกรงใจผมก็ไม่กล้าพูดกับเจ้านายตรงๆ ช่วงหลังจากที่แม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังป่วย แม่ซึมลงอย่างเห็นได้ชัด ผมแม่เริ่มร่วง ผมเป็นคนหวีผมให้แม่ มัดผมให้แม่ เห็นผมแม่ร่วงผมสงสารแม่มาก ได้แต่คิดในใจตอนนั้นทำไมต้องเป็นแม่ ทำไมไม่เป็นผม แม่เป็นคนดี ตั้งแต่ผมเกิดมาไม่เคยได้ยินแม่พูดไม่ดีหรือคิดไม่ได้กับใคร แม่เป็นชาวนาคนนึงที่ตั้งใจทำงานเพื่อส่งเสียให้ลูกๆได้รับการศึกษาสูงที่สุดเท่าที่แม่จะทำได้ แม่เคยพูดว่าแม่อยากให้ลูกมีความรู้ติดตัว แม่ไม่มีเงินทองให้ ให้ได้แค่การศึกษา จะได้ติดตัวลูกไปไม่ต้องลำบากเหมือนแม่ (ขณะที่พิมพ์อยู่ผมยังกลั้นน้ำตาไม่ได้ คิดถึงแม่) หลังจากผ่าตัดแม่อยู่ห้อง ICU 2 คืน และออกมาห้องปกติอีก 17 วัน แต่ละวันที่ผ่านไปมันเป็นความทุกข์ใจอย่างมากของผม เพราะแม่มีไข้ทุกวัน บางวันสูง 39-40 องศา ผมต้องคอยสังเหตุอาการแม่เพื่อเอาข้อมูลบอกกับหมอให้ได้มากที่สุดตอนหมอมาตรวจ ช่วงกลางวันผมเฝ้าแม่คนเดียว พี่กับพ่อจะมาช่วงเย็นหลังเลิกงานและนอนเป็นเพื่อนผมตอนกลางคืน นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตผมที่ได้ปรนนิบัติแม่ทุกอย่าง จนแม่กลับมารักษาตัวต่อที่บ้าน อาการแม่ก็ค่อยๆดีขึ้น แกสามารถกลับมาเดินเองได้ พูดคุย ทานข้าวได้เกือบปกติ 100% ภายใน 1 เดือน จนคุณหมอเจ้าของไข้ยังชมว่าคุณแม่เก่งและใจสู้มากๆ แต่ผลตรวจชิ้นเนื้อของแม่พบว่าเป็นเนื้องอกเยื้อหุ้มสมองเกรด 2 ซึ่งมีโอกาสกลับมาเป็นได้อีก จึงแนะนำให้แม่ฉายรังสีต่อ ช่วงนั้นผมกลับมาทำงานได้ประมาณเกือบ 1 เดือนและขอหยุดต่ออีกครั้งเพื่อจะมาอยู่ดูแลแม่ช่วงที่แม่ต้องฉายรังสีโดยไม่ระบุว่าจะกลับมาทำงานอีกครั้งเมื่อไหร่ ผมบอกเจ้านายให้หาคนใหม่ได้เลยผมเข้าใจ ผมอยากอยู่กับแม่ ผมไม่ไว้ใจใครให้ดูแลแม่เลย ไม่ใช่ว่าผมดูแลแม่ดีกว่าใครๆ แต่เป็นที่ใจผมเองที่อยากเห็นและอยากทำให้แม่ด้วยตัวผมเองถึงจะสบายใจ แม่เข้ารับการฉายรังสีช่วงเดือนธันวาคมปี 2563 ผมกับแม่ไปเช่าหอพักหลังโรงพยาบาลเพราะไม่สามารถเทียวไป-กลับจากที่บ้านได้ เพราะระยะทางไกล แม่ต้องฉายรังสีทั้งหมด 27 ครั้ง แต่ไม่ครบครอส แม่ต้องหยุดเพียงครั้งที่ 14 เนื่องจากแม่มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำจนต้องเติมเลือดทุกสัปดาห์ จนสัปดาห์ล่าสุดที่เติมเลือดคือแม่มีอาการแพ้เลือดอย่างรุนแรงและชัก หมอบอกว่าเกิดจาการที่แม่ได้รับเลือดบ่อยเกินจนร่างการสร้างแอนติบอดี้ขึ้นมาต่อต้านเลือดคนอื่นๆ หลังจากนั้นหมอเจ้าของไข้ที่ผ่าตัดให้แม่ทราบเรื่องจึงสั่งให้แม่หยุดฉายทันทีเพราะร่างกายแม่จะทรุดไปกว่านี้ แม่กลับมาพักฟื้นที่บ้านต่อ แต่อาการแม่ก็เหมือนจะแย่ลงเรื่อยๆ จนช่วงกลางเดือนมีนาคมแม่ต้องเข้าโรงพยาบาลอีกครั้งด้วยอาการหอบ เหนื่อย และผลตรวจตรวจคือปอดแม่ติดเชื้อ และมีภาวะน้ำท่วมปอด แม่นอนให้ยาฆ่าเชื้อทุกวันเกือบ 20 วันโดยมีผมอยู่กับแม่ตลอดเวลา จนอาการสุดท้ายแม่มีอาการติดเชื้อในกระแสเลือด หมอลงความเห็นว่าคนไข้ไม่ตอบสนองกับการรักษา มีทางเดียวคือต้องใส่ท่อช่วยหายใจ แต่ผมได้คุยกับพ่อและพี่สาวแล้วคือจะไม่ใส่ให้แม่ ไม่อยากเห็นแม่ต้องทรมาน นาทีที่ผมต้องเซ็นปฎิเสธการรักษาให้แม่ ผมร้องไห้ต่อหน้าแม่เลย สุดท้ายผมและครอบครัวพร้อมใจกันที่จะพาแม่มาสิ้นใจที่บ้าน พยาบาลฉีดยาเบาเหนื่อย(วันนั้นเขาเรียกแบบนี้ผมก็ไม่รู้ว่ามันคือยาอะไร) พยาบาลบอกว่าแม่อาจจะทนได้ไม่ถึงบ้าน ระหว่างทางพี่สาวผมและผมประคองแม่มาในรถกู้ภัยที่จ้างเขามา เป็นความรู้สึกที่ทรมานที่สุด โดยไม่รู้เลยว่าแม่จะสิ้นใจไปตอนไหน แต่เมื่อถึงบ้านเรื่อง ปาฎิหารย์ ที่ผมไม่เคยเชื่อ ผมก็ได้มาเจอด้วยตัวเอง แม่อาการดีขึ้นตั้งแต่คืนนั้น แม่รู้สึกตัวคุยกับลุงกับน้าที่ตั้งใจกลับมาจากรุงเทพเพื่อมาดูใจแม่ หลังจากนั้นแม่ก็เริ่มพูดเริ่มหัดเดินอีกครั้ง ถึงจะไม่แข็งแรงเท่าไหร่แต่ก็ทำให้ผมดีใจมากๆ เมื่อแม่อาการดีขึ้น ผมตัดสินใจกลับมาทำงานอีกครั้งช่วงกลางเดือนพฤษภาคม วันนั้นเป็นวันที่ผมปวดใจที่สุดเพราะปกติแม่จะห่วงเรื่องงานผมมาก ไม่อยากให้ผมลาหรือหยุด แต่วันนั้นแม่บอกผมว่ายังไม่ต้องไปไม่ได้เหรอ อยู่กับแม่ก่อน วันนั้นผมร้องไห้มาตลอดทางระหว่างขับมอเตอร์ไซค์กลับมาที่ทำงาน ช่วงนั้นผมกับพี่จะคุยอัพเดทอาการของแม่กันตลอด มีครั้งนึงแม่ท้องผูกเกือบอาทิตย์ ผมต้องกลับมาเพื่อเอาแม่ถ่ายและช่วยแม่ล้วงเพราะอึมันแข็งและก้อนใหญ่มากแม่เบ่งจนแม่เป็นลม หลังๆแม่อาการเริ่มทรุดอีกครั้ง แม่กลืนลำบาก กินๆได้แค่นมเอนชัวร์มื้อละ 1 แก้ว แต่ก็ต้องใช้เวลานานกว่าจะป้อนเสร็จ มีคนแนะนำให้พาสายอาหารทางจมูก แต่ผมกลัวแม่เจ็บ กลัวแม่ติดเชื้อ วันนั้นเองที่ผมตัดสินใจลาออกจริงๆ ผมเป็นคนช่วยหาคนเพื่อมาแทนผม ผมอยากออกไปจากจุดนี้ ผมไม่อยากรับภาระอะไรทั้งนั้น อยากจะอยู่กับแม่ อยากดูแม่ด้วยตัวผมเอง ผมเทรนด์น้องใหม่จนเกือบสิ้นเดือนมิถุนายน ช่วงปลายๆเดือนผมเทียวไป-กลับ บ้าน-ที่ทำงาน ทุกวันด้วยรถมอเตอร์ไซค์ เพราะผมไม่มีรถยนต์เป็นของตัวเอง และขับรถยนต์ไม่เป็น ระยะทางประมาณ 100 กิโลเมตร ทุกวัน ช่วงนั้นผมออกจากบ้านตอนตี 4-5 และเลิกงานถึงบ้านประมาณ 1 ทุ่มกว่าเกือบ 2 ทุ่ม จนวันที่ 1 กรกฎาคม ผมได้ออกมาอยู่กับแม่อย่างเต็มตัว ผมคิดว่ามันจะดีแต่เรื่องงานก็ยังตามมากวนใจผมอีก ถึงผมลาออกแต่น้องใหม่ที่มายังใหม่มากและไม่สามารถทำอะไรได้เลย เจ้านายโทรมาขอผมให้ช่วยไปก่อนโดยจะว่าจ้างผมเหมือนฟรีแลนซ์ ผมทีเกรงใจและไม่กล้าปฎิเสธ เพราะคิดย้อนไปว่าช่วงที่แม่ผ่าตัดรวมถึงตอนที่แม่ต้องไปฉายแสงที่ต้องหยุดหลายเดือน เขาก็ยังไม่ไล่เราออก ตอนนี้ผมเลยกลืนไม่เข้าคายไม่ออกไม่กล้าปฎิเสธไปตรงๆ ทำให้เวลาที่ผมควรจะให้กับแม่ก็ต้องเผื่อมาเพื่อทำงานให้กับที่ทำงานเก่า บางครั้งตอนที่เครียดเรื่องงานและเรื่องรายได้-ค่าใช้จ่ายของตัวเองหรือตอนที่แม่ร้อง ผมถามแม่ก็ไม่บอกว่าเป็นอะไร ทั้งที่รู้ว่าแม่พูดไม่ได้ แต่ผมเครียดผมกังวลที่แม่ร้องแต่เราทำอะไรไม่ได้ ผมคุมสติตัวเองไม่อยู่เคยเผลอใช้คำพูดไม่ดีหรือกริยาไม่ดีกับแม่ทั้งที่ผมตั้งใจไว้แล้วแท้ๆว่าผมจะดูแลแม่ให้ดีที่สุด จนหลังอาการแม่ผมเริ่มทรุดหนัก แกไม่ยอมเดิน แม่ไม่พูด และกลืนลำบากมากขึ้น และเกือบจะติดเตียง 100% แม่ผอมลงเยอะเพราะแม่กินไม่ได้ จนประมาณเดือนสิงหาปลายๆเดือนผมปรึกษากับทางครอบครัวพาแม่ไปใส่สายให้อาหารทางจมูก หลังจากแม่ใส่สายอาหารมาแม่ทานได้เยอะขึ้น ทั้งน้ำ นม และยา แต่แม่เริ่มมีเสมหะเยอะขึ้น แม่ไม่สามารถไอออกได้ เคยไปให้พยาบาลดูดออกเขาก็ไม่ยอมทำให้บอกว่าถ้าคนไข้ไม่ยินยอมคนไข้จะเจ็บมาก เลยได้แต่ฉีดยาฆ่าเชื้อและยาละลายเสมหะมากิน จนช่วงต้นเดือนกันยายนพี่สาวผมเปลี่ยนงานและที่ทำงานต้องให้ไปกักตัวที่สถานที่ที่เขาเตรียมไว้ให้ จึงมีผม แม่และพ่อที่อยู่บ้าน พ่อเคยมาถามช่วงที่พี่ไปกักตัวใหม่ๆว่าจะให้ช่วยทำอะไรไหมเกี่ยวกับแม่ ผมบอกไม่ต้องเดี๋ยวผมทำของผมเอง พ่อจึงไม่ได้มายุ่งเกี่ยวกับกิจวัตรประจำวันของแม่ แต่ก็ดูออกว่าเขาก็ห่วงแม่มากไม่แพ้ผม ช่วงหลังๆที่แม่มีอาการท้องเสียติดต่อกันหลายวัน ซึ่งก่อนหน้านั้นแม่มีอาการท้องผูกต้องกินยาระบายทุก 2 วัน แต่มีครั้งนึงผมให้แม่กินน้ำเสาวรสดอยคำทั้ง 3 มื้อคู่กับนมเอนชัวร์อยู่ 1 วัน วันรุ่งขึ้น แม่ถ่ายได้เยอะ ผมดีใจมากไลน์เล่าให้พี่ฟัง เพราะแม่จะได้ไม่ต้องทนท้องผูกแล้วแต่วันหลังๆแม่มีอาการท้องเสียมากขึ้น เริ่มมีมูก บางครั้งสีออกชมพูๆติดมาด้วยผมไม่แน่ใจว่าใช่มูกเลือดไหม ผมไปคลินิคในตัวอำเภอเล่าให้หมอฟังเขาจัดยาฆ่าเชื้อและยาปรับสมดุลลำไส้มาให้ แรกๆแม่อาการดีขึ้นนิดหน่อยแต่ก็กลับมาท้องเสียอีก พอดีกับที่พี่สาวผมใกล้จะได้กลับบ้านเพราะกักตัวใกล้ครบกำหนดแล้ว จึงนัดกันว่าจะพาแม่ไปหาหมอเรื่องที่แม่ท้องเสียและเปลี่ยนสายอาหารให้แม่ด้วย จนช่วงหลังแม่เริ่มหัดพูด แต่ไม่เป็นคำ แม่อารมณ์ดี ปกติผมจะหอมแก้ม หอมหน้าผากแม่เป็นประจำอยู่แล้วแกก็จะยิ้ม จนพี่ผมกลับมาและพาแม่ไปหาหมอ หมอบอกว่าลำไส้แม่ติดเชื้อ เลยฉีดยาฆ่าเชื้อมาให้และเปลี่ยนสายให้อาหาร