ติดหนี้บัตรเครดิต1.7ล้าน ธันวาต้องขึ้นศาล

คือเรื่องมีอยู่ว่าเราออกมาจากงานประจำที่รายได้เดือนละ8หมื่น(ตอนนั้นstatementดีมาก)เลยตัดสินใจออกมาทำธุรกิจส่วนตัว โดยเอาเงินเก็บที่มี รวมถึงกู้บัตรเครดิตมาลงทุนด้วย เเต่สุดท้ายกิจการก็ไม่ได้ตามเป้าหมายที่หวัง เพราะตอนที่ออกจากงานได้เดือนนึงก็เจอโควิดเริ่มระบาดระลอกเเรก ทุนที่มีอยู่ก็เริ่มหายไปเรื่อยๆจากการลงทุนเเละการใช้จ่ายในครอบครัว พยายามไปสักพักนึงจนติดลบ ตอนนี้เป็นหนี้บัตรเครดิตจากเดิม1.3ล้าน ตอนนี้เป็น1.7ล้านกว่าๆเเล้ว ขาดส่งมาประมาณ1ปี คือตอนเเรกเราไม่ได้ติดต่อกับเจ้าหน้าหนี้บัตรเครดิตเพราะโทรศัพท์พัง เงินจะซ่อมหรือจะกินก็เเทบไม่มี พอช่วงหลังติดต่อเจ้าหน้าที่ได้ ทางนั้นให้ชำระเดือนละ4หมื่นเเต่เราไม่ไหว เพราะไม่มีรายได้เข้าเลย ช่วงนี้เริ่มขายของ ก็ได้เเต่ทุนยังไม่ได้กำไร รายได้หลักหนึ่งพันกว่าๆ ตอนนี้เรื่องขึ้นศาลเเล้ว ศาลนัดให้ไปเดือนธันวา หลังจากนี้จะเป็นยังไงคะ ต้องเตรียมตัวยังไง เเล้วถ้าโดนยึดทรัพท์เเต่ไม่มีทรัพท์ให้ยึดจะทำยังไงคะ ตัวเรามีที่7ไร่ที่เป็นชื่อของเราก็ยังติดจำนองสหกรณ์ คือเจตุจำนงคือไม่ต้องการให้ยึดทรัพท์มันจะเป็นไปได้ไหมคะ จะไก่เกลี่ยกันยังไง ช่วยบอกทีค่ะ เพราะไม่มีความรู้เรื่องนี้เลย ส่วนตัวมีลูกสองคนกำลังเรียน สามีก็ช่วยกันค้าขาย ตอนนี้มีรายรับทางเดียวคือขายของได้วันละพันกว่าบาท รายจ่ายที่เราต้องจ่าย มีรถ1คัน จากที่มี3คันก็เหลือเเค่คันเดียวเพราะขายไปเเล้ว2คัน,ค่าเช่าบ้าน,ค่าเทอมลูกอีก2คน เอาจริงๆค่าใช้จ่ายเยอะมากค่ะลดเเล้วเหลือเเต่ที่จำเป็นทั้งนั้น รบกวนขอคำเเนะนำด้วยนะคะ

ได้เงินเดือนเดือนละ80,000อยู่6ปีเเล้วค่ะ เเต่อยากทำธุรกิจที่มีรายได้หลายๆล้านต่อเดือน เลยนำเงินเก็บที่มีไปลงทุนเเละพอดีมีพนักงานทางเเบงค์มาทำบัตรเครดิตให้ เลยนำเงินทั้งหมดที่มีมาทำธุรกิจ เเต่ทำถึงที่สุดเเล้วไม่ประสบความสำเร็จ เลยเป็นหนี้ จะว่าติดลบก็ว่าได้ค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
เหตุผลเรื่องโทรศัพท์พังติดต่อไม่ได้นี่เราคิดว่าไม่ควรเอาไปใช้ที่ไหนทั้งนั้น

โดยธรรมชาติของธนาคาร ก็ต้องเล่นของใหญ่ก่อน ที่ดินคุณ ไม่ขายเองก็ต้องโดนยึดไปขาย

ทรัพย์สินที่สามารถยึดได้

- ของมีค่า เครื่องประดับทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น เพชร พลอย นาฬิกา และของสะสมที่มีมูลค่า
- บ้าน ที่ดิน และถึงแม้ว่าจะยังติดจำนองอยู่ก็สามารถที่จะยึดได้เช่นกัน
- รถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของลูกหนี้ และไม่ได้เป็นเครื่องมือในการประกอบอาชีพ
- เงินในบัญชีเงินฝาก หรือเงินปันผลจากการลงทุน ๆ
- ทรัพย์สินที่เป็นการลงทุน อาทิ หุ้น ทองคำ ตราสารหนี้ หรือ กองทุน
- เงินเดือนจากการทำงานของลูกหนี้ที่เป็นพนักงานบริษัทเอกชนหรือรัฐวิสาหกิจ แต่ต้องมีรายได้เกินกว่า 20,000 บาทต่อเดือน ถึงจะยึดได้

ทรัพย์สินที่ไม่สามารถยึดได้

- ของใช้ส่วนตัว เช่น เสื้อผ้า โต๊ะ เก้าอี้ ที่มีมูลค่ารวมกันไม่เกิน 20,000 บาท (หากเกินสามารถถูกยึดได้)
- เครื่องมือในการประกอบอาชีพของลูกหนี้ ที่มีมูลค่ารวมกันไม่เกิน 100,000 บาท (หากเกินสามารถถูกยึดได้)
- ทรัพย์สินที่โอนกันไม่ได้ตามกฎหมาย เช่น รถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ที่ติดไฟแนนซ์
- สัตว์ สิ่งของ เครื่องใช้ ที่จำเป็นต้องใช้ทำหน้าที่ช่วยเหลือแทนอวัยวะของลูกหนี้
- เงินเดือน ค่าจ้าง บํานาญ บําเหน็จ เบี้ยหวัดของลูกหนี้ที่เป็นข้าราชการ จะไม่สามารถทำการยึดหรืออายัดได้ หรือหากเป็นเอกชนหรือรัฐวิสาหกิจ แล้วเงินเดือนไม่ถึง 20,000 บาท ก็ยึดหรืออายัดไม่ได้เช่นกัน
- เงินเบี้ยเลี้ยงชีพ
- รายได้ที่บุคคลอื่นมอบให้เพื่อเลี้ยงชีพ แต่ต้องมีจำนวนไม่เกิน 20,000 บาทต่อเดือน (หากเกินสามารถถูกยึดได้)
- บำเหน็จ หรือรายได้อื่น ๆ ในลักษณะเดียวกัน ของพนักงานที่ไม่ใช่หน่วยงานราชการ ที่มีจำนวนไม่เกิน 300,000 บาท (หากเกินสามารถถูกยึดได้)
- เงินฌาปนกิจสงเคราะห์

อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ : TerraBKK.com - https://www.terrabkk.com/articles/191162
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่