สงสัยเกี่ยวกับปฎิจจสมุปบาท

กระทู้คำถาม
มีบางบรรทัดในปฎิจจสมุปบาทที่ผมยังไม่เข้าใจ จึงอยากรบกวนสอบถามผู้ที่มีความรู้หน่อยนะครับ บรรทัดที่ว่า
   เพราะมีสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ
   เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัยจึงมีนามรูป
   เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัยจึงมีสฬายตนะ

รบกวนผู้รู้ช่วยขยายความให้หน่อยได้มั้ยครับ ทำไมมีสังขารจึงมีวิญญาณ ทำไมมีวิญญาณถึงมีนามรูป ทำไมมีนามรูปจึงมีสฬายตนะ ขอบคุณนะครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 12
1. เหตุใด....?   เพราะมีสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ
2. เหตุใด....?   เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัยจึงมีนามรูป
3. เหตุใด....?   เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัยจึงมีสฬายตนะ


ตอบข้อ..2 ก่อนว่า
จากที่พระศาสดาท่านอธิบายให้กับท่านพระอานนท์...คือว่า

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าวไว้ว่า
" เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป "
ดูกรอานนท์ ก็วิญญาณจักไม่หยั่งลงในท้องแห่งมารดา นามรูปจักขาดในท้องแห่งมารดาได้บ้างไหม ฯ            
ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
            
ดูกรอานนท์ ก็ถ้าวิญญาณหยั่งลงในท้องแห่งมารดาแล้วจักล่วงเลยไป
นามรูปจักบังเกิดเพื่อความเป็นอย่างนี้ได้บ้างไหม

ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
            
ดูกรอานนท์ ก็ถ้าวิญญาณ ของกุมารก็ดี ของกุมาริกาก็ดี ผู้ยังเยาว์วัยอยู่จักขาดความสืบต่อ
นามรูปจักถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ ได้บ้างไหม

ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
            
เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งนามรูปก็คือวิญญาณนั่นเอง ฯ
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=10&A=1455&Z=1887



ตอบข้อ..3 ว่า.
นามรูปที่ปรากฏในครรภ์มารดา.... ถ้าวิญญาณจักไม่แตกสลายก่อน..นามรูปก็จะเจริญเติบโต..
สร้างประสาทและอวัยวะการรับรู้ 6 ช่องทาง คือ.. ตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย-ใจ 👈..ทั้ง 6 อย่างนี้ที่เรียกว่า.... สฬายตนะ



ตอบข้อ..1 ว่า.
จะเห็นว่า..ในปฏิจจ(ทั้งแบบสั้น-และ-แบบยาว)..จะมีการกล่าวถึงการเกิดขึ้นของวิญญาณอยู่ 2 ตำแหน่ง คือ  
- เกิดตรง...." สังขารทำให้เกิดวิญญาณ "...
- กับอีกที่ตรงผัสสะ...ที่ อายตนะภายนอก..กระทบกับ...อายตนะภายใน --->แล้วเกิด...วิญญาณ
ที่จริง 2 จุดนี้ก็เหมือนกัน...มันซ้อนทับกับ...แต่เกิดคนละตำแหน่งเหตุการณ์..เท่านั้น...

ข้อนี้...จากการศึกษาปฏิจจสมุปปาท...
ที่พระองค์กล่าวในหลายๆที่ผมสรุปออกมาได้ดังนี้...ได้ 2 ส่วน..คือ

1. ปฏิจจสมุปปาทภายในจิต...เมื่อได้ชาติมาแล้ว
    อันนี้...ในชีวิตประจำวัน...คือ " การทบกันของอายนตะภายใน-กับ-อายตนะภายนอก..ก่อให้เกิดวิญญาณ..."
   
    ตัวอย่างเช่น   
    ตา...เห็น...รูป  --->จึงเกิด... การรู้แจ้งทางตา 👈...นี่หละ..วิญญาณทางตาเกิดหละ
    แต่ตรงนี้...พระศาสดาท่าน...บัญญัติให้เป็น  สฬายตะจึงเกิด..ผัสสะ(ตา+รูป->วิฯญาณ)
    อ้างอิงจาก👉[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

    คราวนี้...ลงพิจารณาดูซิว่า... เป็นไปได้ไหมที่ว่า...แสงกระที่รูปแล้วสะท้อนเข้าม้านตา...แต่ไม่มีการรู้ทางตา
    เป็นไปได้ไหมที่... เสียงดังเข้าหูแล้ว..กับไม่รู้แจ้งทางหู  มีใช่ไหม? เพราะอะไร?  
    คำตอบอยู่นี่เลย
     👇
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

   เพราะว่า... เมื่อกายมีอยู่... แต่ยังไม่ปรุงแต่งไปทางตา... การที่ตากับรูปกระทบกัน..แสงเข้าสู่จอประสาทตาแล้ว
   ก็ไม่ได้ก่อให้เกิดเห็นหรือ...การรู้แจ้งทางตา...หรือกล่าวได้ว่า..ไม่เกิดจักขุวิญญาณ...นั่นเอง

   ==== ดังนั้น....เหตุผลนี้... จึงกล่าววได้ว่า  " เพราะสังขารเป็นปัจจัย...จึงเกิด..วิญญาณ "
   เรื่องนี้...ดูที่ท่านพระสารีบุตรท่านอธิยาย...ดังนี้👉[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

   ดูผังประกอบเลยครับ👉👉[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

2. ปฏิจจสมุปปาทต้นสังสารวัฏ...และข้ามภพข้ามชาติ(ก่อนมาเกิด-ก่อนการก้าวลงสู่ครรภ์)
    - เอาแบบข้ามภพข้ามชาติก่อน...
   จากพุทธพจน์ที่ว่า....
   " เพราะถือมั่นธาตุ ๖ ประการ (สัตว์)จึงก้าวลงสู่ครรภ์
      เมื่อมีการก้าวลงสู่ครรภ์ นามรูปจึงมี.. "

       👇
      [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
    อธิบายได้ว่า...ก่อนที่จะมากล่าวลงสู่ครรภ์... สตฺต-ผู้ยึดติดนี้... ในชาติก่อน-ในภพก่อน...
    ในภพชาตินั้นๆ..ทุกๆครั้งที่มีผัสสะก็มีเวทนา-ตัณหา-อุปาทาน..ตลอด  คือยังไม่สามารกระทำให้ตัณหา
    มันดับไปได้  พอตัณหามี..อุปาทานก็มี 👈...ความถือมั่นอันนี้หละ...เมื่อกายแตกทำลาย-ชิวิตแตกทำลาย
    จะพาไปสู่การเกิดใหม่..คือ..การกล่าวลงสู่ครรภ์(ในกรณีมนุษย์)..

    แล้ว...ลองย้อนกลับไปดูซิ  ว่าผัสสะในชาติก่อนที่พาให้มาเกิดนะ...ก็เกิดมาจากการปรุงแต่งทั้ง 3 อีกที
    ==== ดังนั้น....เหตุผลนี้... จึงกล่าววได้ว่า  " เพราะสังขารเป็นปัจจัย...จึงเกิด..วิญญาณ "

   - (สุดท้าย)แบบต้นสังสารวัฏฏ...
   อันนี้... ต้องบอกว่า... ไม่มีพุทธพจน์  ฟังไปเล่นๆก็แล้วกัน...ครับ
   ผมจะอธิบายจากความเข้าใจของผมว่า....

   เดิมสังขตะไม่ปรากฏ... สิ่งเหล่านั้น..มีสภาวะ..ไม่เกิด-ไม่เสื่อม-ไม่เปลี่ยนแปลง...เรียกว่า " AB "
   นี้คือ...สภาวะก่อน...อวิชชาปรากฏ...

   ต่อมามื่อเหตุบางประการ..เกิดขึ้น..
   ทำให้บางส่วนของสิ่งนั้นเปลี่ยนคุณสมบัติเป็น...สภาวะ...เกิด-เสื่อม-เปลี่ยนแปลง...เรียกว่า " B "
    
   แต่เพราะ...มันเคยอยู่เป็นเนื้อเดียวกันมาก่อน...เป็น.." AB "...A จึงเข้าใจว่า B ยังเป็นสิ่งเดียวกับ A
   นี่หละ...คือ...การปรากฏของอวิชชา..
   ที่เข้ากับพุทธพจน์ที่  " เพราะอวิชชา..เป็นปัจจัย...สังขารทั้งหลายจึงมี "

   การที่ A ปรุงแต่งว่า B นี่คือตัวมันเพราะว่ามันเคยเป็นเนื้อเดียวกันมาก่อนนี่หละ... ก่อให้เกิดการรับรู้ใน
   เนื้อของ B...ที่เรียกว่า " วิญญาณ "👈..นี่จึงเป็น ..." เพราะ...สังขาร..เป็นปัจจัย...วิญญาณจึงมี "

   อันนี้...ใกล้เคียงจากพุทธพจน์นี้👉👉[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
   👆
    อันนี้...คล้ายๆกับปรัชญาสางขยะ... ที่ก่อนการตรัสรู้..ท่านศึกษาในสำนักอาฬารดาบส-อุททกดาบส.
    ทั้ง 2 อาจารย์นี้ท่านอยู่ในลัทธิสางขยะ   
            สางขยะ          พุทธศาสนา
       A      ปุรุษะ            สตฺส - ผู้ยึดติด, บุคคล
       B      ประกฤติ         อุปาทานขันธ์๕
    แต่อย่างไรก็ตามรายละเอียดของพุทธศาสนา...ก็ไม่เหมือนกับ..ปรัชญาสางขยะ... ที่เจ้าชายท่านเคยเรียน
    จากอาจารย์ทั้ง 2
      
      เอาไปอ่านเล่นๆนะ...ไม่ต้อง(มาด่าผมอย่าง)จริงจัง
       👇https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%A2%E0%B8%B0
       👇
      [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
        👇
     [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้



ปล.  ผมจะขอเอาคำถามนี้ไปตั้งเป็นกระทู้ใหม่นะ...ครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่