สวัสดีค่ะพี่ ๆ ชาวพันทิปที่เขามาอ่าน หากคิดอะไร หรือ อยากจะว่าเราส่วนไหนก็ไม่อ้อมค้อมบอกมาตรง ๆ เลยนะคะ เผื่อบางทีอาจจะทำให้เราคิดและตระหนักถึงอะไรได้บ้าง เอาล่ะมาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าค่ะ
วันนี้วันที่ 27 กันยายน 2564 เป็นวันที่เรานั่งเหม่อคิดเพ้ออะไรในหัวมากมายเลยค่ะ ถ้าถามว่าเรื่องอะไรก็คงต้องตอบว่าเรื่องเรียนเป็นหลัก รวมถึงจะเอายังไงกับชีวิตตัวเองต่อจากนี้
เราเริ่มมาตริตรองดูแล้วว่าขณะนี้เราไม่มีความสุขกับการเรียนเลยค่ะ อาจเพราะว่าเราเลือกสายเรียนผิดและขี้เกียจเกินกว่าจะพยายยามใด ๆ แล้ว เราเรียนสายอาชีพค่ะสาขาตลาด ตอนแรกเราว่าคิดตื้นเขินค่ะว่าหากลองเปลี่ยนจากสายสามัญมาเป็นสายชีพดูคงจะไม่ซ้ำซากดี จริง ๆ มะนก็มีปัจจัยหลายอย่างนะคะที่เราเลือกจะเปลี่ยนโรงเรียนเรียน ข้อแรกเราอยู๋ในชนบทค่ะฐานะไม่ได้ดีมากจึงมีข้อจำกัดในการเลือกที่เรียนค่ะ ข้อสองสังคมและครูในโรงเรียนเก่าเราค่อนข้างห่วยแตกและน่าเบื่อมากค่ะ หัวโบราณเป็นส่วนใหญ่เอะอะตัดผม ๆ ตรวจเล็บ ค้นกระเป๋า ไม่ใส่นักเรียนอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง เราจำได้เลยค่ะตอนที่เรากำลังจะสอบ เราต้องให้เพื่อนมายืนตัดผมให้ ถ้าไม่ตัดก็คือไม่ได้สอบ ข้อสามปัญหาโลกแตกเราไม่รู้ค่ะว่าชอบหรือถนัดอะไร สนใจอะไรเป็นพิเศษ ตอนนั้นเราอยู่ม.3 ค่ะใกล้จะจบเต็มทีสับสนว่าควรเรียนที่นี่ต่อดีไหม หรือไปที่อื่นดี จริง ๆ มันมีอีกโรงเรียหนึ่งที่เราอยากเรียนค่ะสายสามัญ แต่อยู่ในเมือ เข้าสอบยากและค่าเทอมแพงค่ะ ส่วนใหญ่โรงเรียนในเมืองค่าเทอมจะแพงค่ะ เราจึงตัดมันไปเพราะกลัวว่าพ่อแม่จะจ่ายไม่ไหว
ดังนั้นทางเลือกจึงมีให้เราไม่มากนักระหว่างเรียนม.4โรงเรียนเก่าต่อ หรือไปที่อื่น ซึ่งการเรียนสายอาชีพเราก็ได้ยินจากเพื่อนอีกทีค่ะบอกตามตรงว่าตอนนั้นสายอาชีพอาจเป็นทางเลือกเดียวของเราก็ได้ ใช่ค่ะเพราะเนื่องจากค่าเทอมไม่แพงมาก ทว่าอยู่ในเมืองเหมือนกัน เรายอมรับค่ะว่าตอนนั้นเราแทบไม่คิดให้รอบคอบเลย เอาแต่ยึดคติที่ว่าขอได้ออกจากโรงเรียนนี้ก็พอ ขอให้หลุดพ้นวังวงของความซ้ำซากน่าเบื่อนี่ก็พอ แถมยังคิดเข้าข้างตัวเองอีกว่าเรียนที่ใหม่ก็ท้าทายดีเหมือนกัน เดี๋ยวสักพักก็ชินและปรับตัวได้เองค่ะ แต่กว่าจะคิดได้ก็สายไปเสียแล้ว มันไม่เหมาะกับเราเลยสักนิดค่ะการตลาดน่ะยิ่งเรียนออนไลน์ยิ่งแล้วใหญ่ ไม่อยากจะจินตนาการเลยถ้าตนเองไปโรงเรียนของจริงสภาพจะเป็นยังไง ถ้าถามว่าสาเหตุคืออะไรล่ะ? คงตอบได้ว่ามันไม่เหมาะกับบุคลิกและนิสัยเราเลยค่ะ เราไม่ใช่พวกกล้าแสดงออก หรือคุยเก่งแม้แต่น้อย ให้จินตนาการภาพในหัวนะคะว่าเด็กเก็บตัวไม่ชอบออกจากบ้าน พูดน้อย เข้าหาคนไม่เก่งไปเป็นนักการตลาด นำเสนองานนั้นแหละค่ะสภาพเรา กว่าเราจะมาตระหนักถึงจุดนี้ได้ปาไปสัปดาห์ที่16ของการเรียนแล้วค่ะ ทุกคนอาจกำลังคิดในใจสินะคะว่าเธอเนี่ยมันความรู้สึกช้า สิ้นคิด ปราศจากรอบคอบ และความไร้พยายามจริง ๆ ใช่คะนั้นข้อเสียเราเลย แต่มันมีอีกสาหตุหนึ่งที่เป็นแรงจูงใจเอาอีกอย่างคือ เงิน ค่ะ เมื่อเราขึ้นปีสามจะให้ฝึกงานหรือง่าย ๆ ทำงานไปในตัวพร้อมได้เงินอีก เราโฟกัสการได้ฝึกงานและเงินจริง ๆ ค่ะตอนนั้น เฮ้อ...พอมาย้อนนึกอดีตตัวเองแล้วก็สมเพชเลยค่ะ หากย้อนเวลากลับไปได้เราคงตบหน้าตัวเองแล้วบอกว่าให้หัดติดรอบคอบกว่านี้ศิ พิจารณาด้วยว่าตัวเองเหมาะกับการตลาดครงไหน โง่เง่าจริง ๆ
ก็นั้นแหละค่ะ ตอนนี้เราจึงเริ่มมาวางแผนว่าจะเรียนเทอมหนึ่งให้เรียบร้อยแล้วค่อยย้าย หรืออดทนเรียนสักปีลองพยายามสักตั้ง เผชิญแล้วผ่านพ้นมันไปได้ แต่มาคิด ๆ ดูมันคงทำไม่ง่ายเหมือนคำพูดลมปากสินะคะ ทว่าอีกใจหนึ่งเราก็โทษตัวเองว่าเรามันขี้แพ้เกินไปรึเปล่า และส่วนหนึ่งเราเป็นคนมีนิสัยขี้กังวลมากค่ะ สายที่ล้วนมองมาทำให้เราอึดอัด
เราตอนนี้กำลังหนีปัญหาอยู่ใช่ไหมคะทุกคน หรืออะไรก็ตามที่เราพูดไม่ถูกเหมือนกัน ใจหนึ่งก็อยาก ใจหนึ่งก็กลัว ใจหนึ่งก็ทั้งสับสนและโลเล พอรู้ตัวเราจึงเริ่มมีนิสัยเสียหลีกหนึทุกสิ่งทุกอย่างค่ะ หนึความจริง หนีการเผชิญหน้า แม้กระทั่งหนีผู้คนและไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับครอบครัวตัวเอง เรามักจะกลัวสิ่งที่ตามมาเสมอ เรามันไร้ความกล้าและหนักแน่นมากพอในชีวิตและอนาคตของตัวเอง จึงมาลงเอยในกระทู้ณ แห่งนี้นี่แหละค่ะ
ว่าไงดีถ้าตัวเราในอนาคตมาย้อนอ่านกระทู้นี้จะมีความคิดเห็นยังไงนะ ทุกคนล่ะคะมีความคิดเห็นอย่างไร ไม่จำเป็นต้องเกรงใจนะคะเราเองก็อยากรู้ความคิดของคนภายนอกเหมือนกัน และยิ่งเป็นผู้ใหญ่ที่มีประสบการณืกว่าเรายิ่งดีเลยค่ะ
ขอขอบคุณที่อ่านจนจบค่ะ
เราเลือกสายเรียนผิดหรือแค่ไม่มีความกล้ามากพอที่จะตัดสินใจอะไรในชีวิตนี้ ได้โปรดให้คำปรึกษาเราทีเถอะค่ะ