จิตแพทย์ห่วงช่วงโควิด-19 คนไทยฆ่าตัวตายพุ่งเทียบเท่าช่วงต้มยำกุ้ง
https://www.pptvhd36.com/news/สังคม/155998
จิตแพทย์ห่วงคนไทยฆ่าตัวตายพุ่งเทียบเท่าช่วงต้มยำกุ้งจากพิษเศรษฐกิจและโควิด -19 ชี้นักดื่มเสี่ยงฆ่าตัวตายมากกว่าคนไม่ดื่ม 5.3 เท่า
จิตแพทย์ห่วงคนไทยฆ่าตัวตายพุ่งเทียบเท่าช่วงต้มยำกุ้ง ซ้ำมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากพิษเศรษฐกิจและโควิด -19 แถมซดน้ำเมา กระตุ้น การตัดสินใจปุ๊บปั๊บ ชี้นักดื่มเสี่ยงฆ่าตัวตายมากกว่าคนไม่ดื่ม 5.3เท่า แนะใช้พลัง อึด ฮึด สู้ สังคม ร่วมสร้างความหวัง โอกาส ความปลอดภัย ด้าน “เครือข่ายองค์กรงดเหล้า”วอนถือโอกาส ลด ละ เลิก น้ำเมา เสริมภูมิป้องกันโรค ป้องกันใจ
เมื่อวันที่ 9 ก.ย. ศ.พญ.
สุวรรณา อรุณพงค์ไพศาล อาจารย์ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น เปิดเผยว่า ในวันที่ 10 กันยายน ของทุกปี จะเป็นวันที่ทั่วโลกรณรงค์ให้ทุกคนตระหนักเพื่อป้องกันการฆ่าตัวตายโลก แต่จากสถานการณ์โควิด-19 ระบาดทั่วโลกมีการทบทวนสถานการณ์การฆ่าตัวตาย จากเดิมที่คาดว่าสถานการณ์จะเพิ่มขึ้นกลับพบว่าลดลง สวนทางกับข้อมูลการฆ่าตัวตายในไทย ซึ่งเป็นข้อมูลจากใบมรณะบัตรพบว่าปี 2560 อัตราการฆ่าตัวตายอยู่ที่ 6.03 ต่อแสนประชากร ปี 2561 อัตรา 6.6 ต่อแสนประชากร และมาที่ 7 ต่อแสนประชากร และล่าสุดปี 2564 อัตราการฆ่าตัวตายของไทยอยู่ที่ 8.8 ต่อแสนประชากร ถือว่าน่ากังวลมาก เพราะสูงเทียบเท่าตอนวิกฤติต้มยำกุ้ง และคาดว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เพราะปัญหาเศรษฐกิจ มาตรการโควิด คนตกงาน ประกอบธุรกิจไม่ได้ บางกิจการต้องปิดตัวลง คนเป็นหนี้เพิ่มขึ้น ไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการของรัฐเพียงพอ เสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายมากขึ้น
จากการวิเคราะห์พบว่าส่วนใหญ่เกิดจาก
1.ปัญหาเศรษฐกิจที่มาโด่ง มีหนี้สิน ไม่มีรายได้
2.ปัญหาสารเสพติดและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
3.ปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ ของคนในครอบครัว คนรอบข้าง ทั้งการดุ ด่า นินทา เป็นต้น
โดยเฉพาะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีผลต่อการฆ่าตัวตายทั้งปัจจัยโดยตรง จะไปกดสมองส่วนการยับยั้งชั่งใจ อารมณ์เก็บกด ความโกรธ ความก้าวร้าว ถูกปลดปล่อยออกมา ทำให้เวลาคิดเรื่องฆ่าตัวตาย ก็ลงมือทันที และส่วนใหญ่ใช้วิธีการที่รุนแรง นอกจากนี้ยังเป็นปัจจัยทางอ้อมคือ การดื่มประจำจะทำให้เสียเงิน เสียงาน เสียไปทุกอย่างเหมือนคนสิ้นเนื้อประดาตัว ทำให้เกิดความเครียด ซึมเศร้า ก็ยิ่งดื่มเหล้ามากขึ้นและคิดฆ่าตัวตายตามมาได้ ทั้งนี้อัตราเสี่ยงสัมพันธ์กับการฆ่าตัวตายที่เชื่อมโยงกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อยู่ที่ 5.3 เท่าเมื่อเทียบกับคนไม่ดื่ม
ศ.พญ
สุวรรณา กล่าว่า เพื่อเป็นการป้องกัน ลดอัตราการฆ่าตัวตายนั้น มีการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ป้องกันการฆ่าตัวตายระดับชาติ เน้น การใช้ฐานข้อมูลที่เป็นจริง เน้นเชิงรุก และให้ความสำคัญกับจังหวัดมีมาตรการ และกำหนดแผนอย่างชัดเจน บริหารจัดการอย่างบูรณาการทุกภาคส่วน ทั้งกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแรงงาน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มูลนิธิ ภาคประชาชนทั้งหลายในการร่วมมือดูแลกลุ่มเปราะบางทางสุขภาพ และเศรษฐกิจ ประชาชนสามารถเรียนรู้ เข้าใจ เข้าถึงการดูแลป้องกันการปัญหาการฆ่าตัวตาย ในระดับบุคคลที่ประสบภาวะวิกฤติ ขอให้มีพลัง อึด ฮึด สู้ ขณะที่สังคม ชุมชน ต้องมีการสร้างความหวัง สร้างความปลอดภัย สร้างความสงบ สร้างโอกาส ทุกคนร่วมด้วยด้วยกัน ใช้ศักยภาพของชุมชนขับเคลื่อน ต้องทำร่วมกับการป้องกันการแพร่ระบาดของยาเสพติดและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย
ด้าน ภก.
สงกรานต์ ภาคโชคดี ผอ.สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) กล่าวว่า ตามรายงานของกระทรวงสาธารณสุข พบเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นปัจจัยกระตุ้นสำคัญ ของการฆ่าตัวตาย เป็นอันดับ 3 และในภาคเหนือเคยมีรายงานว่า มีสถิติการฆ่าตัวตายสูงหลังไปร่วมงานศพ ที่มีการเลี้ยงเหล้าในงาน ซึ่งต่อมาคนในชุมชนจึงมติให้จัดงานศพปลอดเหล้า สถิติการฆ่าตัวตายก็ลดลงจริง ยิ่งในสถานการณ์การระบาดของโควิด จะมีหลายปัจจัยเพิ่ม ที่ทำให้คนมีความเครียดมากยิ่งขึ้น เช่น การสูญเสียคนในครอบครัว รายได้ลดลงหรือตกงาน กลัวติดเชื้อ เป็นต้น ถ้าหันไปพึ่งน้ำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย จะยิ่งเป็นเหตุสนับสนุนการฆ่าตัวตายมายิ่งขึ้น
“ถ้าคิดใหม่ ใช้สถานการณ์วิกฤตนี้ ให้เป็นโอกาส ในการ ลด ละ เลิก การดื่มน้ำเมาทุกชนิด เพื่อเพิ่มภูมิต้านทานสู้โควิด ป้องกันสุขภาพจิต สุขภาพใจ อีกทั้งเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อครอบครัวและสังคม ไม่เป็นแหล่งกระจายเชื้อจากการขาดสติ และช่วยลดรายจ่าย เปลี่ยนค่าน้ำเมาไปใช้ในสิ่งที่จำเป็นกับครอบครัว ก็จะช่วยลดปัญหาต่าง ๆ ไปได้มาก” ภก.
สงกรานต์ กล่าว
คาดโหวตแก้ร่างรธน.วาระ 3 ผ่านแน่ ชี้สว.อาจเกิน 84 เสียงมาไม่มาก
https://www.khaosod.co.th/politics/news_6610929
คาดสภาโหวตผ่านร่างรธน.วาระ 3 แก้ไขบัตรเลือกตั้งเป็น 2 ใบ ชี้ส.ส.พรรคใหญ่เอาด้วยแก้ไข ด้านเสียงสว.คงเกิน 84 เสียงมาไม่มาก แต่ก็ดีพอดันผ่านสำเร็จ
วันที่ 9 ก.ย.2564 ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาถึงการโหวตร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา83และมาตรา91 เรื่องระบบบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ในวาระสาม วันที่ 10 ก.ย.นั้น ค่อนข้างชัดเจนว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญจะได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐสภาในวาระ3 โดยมีเสียงจากส.ส.และส.ว.ให้ความเห็นชอบ
โดยในส่วนส.ส.ที่มีอยู่ทั้งหมด 480 เสียงนั้น มีเสียงสนับสนุนหลักจากพรรคพลังประชารัฐ พรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ ที่เทคะแนนไปทางเดียวกันด้วยการเอาบัตรเลือกตั้ง 2ใบ และเมื่อรวมกับเสียงของพรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคชาติพัฒนาแล้วจะมีเสียงสนับสนุนอยู่ที่ประมาณ 300 เสียงต้นๆ มากกว่าฝ่ายที่ไม่เอาด้วยกับบัตรเลือกตั้ง 2ใบ ที่ประกอบด้วยพรรคก้าวไกล พรรคภูมิใจไทย และพรรคเล็ก ที่มีเสียงรวมกันประมาณ170 เสียงเท่านั้น
ขณะที่ตอนนี้เสียงส.ว.ที่มีอยู่ 250 เสียง ปรากฏว่ามีเสียงก้ำกึ่งสูสีกัน ระหว่างส.ว.ฝ่ายที่สนับสนุนและไม่สนับสนุนบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ โดยส.ว.ฝ่ายที่ไม่สนับสนุนบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ส่วนใหญ่เป็นส.ว.สายจังหวัดและสายอาชีพ และกลุ่มที่ไม่ชื่นชอบนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีอยู่
ประมาณ 100-130 เสียง กลุ่มเหล่านี้จะลงมติไม่รับร่างและงดออกเสียงร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 83และ 91 เนื่องจากเกรงว่า บัตรเลือกตั้ง 2ใบ จะทำให้เกิดเผด็จการเสียงข้างมากในรัฐสภา เกรงว่าจะเปิดช่องให้พรรคเพื่อไทยของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับมามีอำนาจเลือกตั้งสมัยหน้า
ขณะที่ส.ว.ฝ่ายที่สนับสนุนบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ขณะนี้สามารถรวบรวมเสียงส.ว.สนับสนุนได้เกิน 84 เสียงแล้ว แม้จะมีเสียงน้อยกว่าฝ่ายไม่เห็นด้วยกับบัตร 2 ใบ แต่ถือว่ามีเสียงเกิน 1ใน 3 ของจำนวนส.ว.ทั้งหมด 250 คน
โดยส.ว.กลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นสายทหาร ตำรวจ พลเรือนที่เคยลงมติรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระแรกมาแล้ว โดยได้รับสัญญาณไฟเขียวให้เดินหน้าสนับสนุนการโหวตผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระ 3 โดยให้เหตุผลว่า หากคว่ำวาระ 3 จะถูกมองว่าจ้องล้มรัฐธรรมนูญ ทำให้สถานการณ์การเมืองมีความรุนแรงขึ้น
ทั้งนี้แม้จะโหวตผ่านวาระ 3 ไปได้ ก็ต้องมีผู้ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวอีกขั้นตอน ดังนั้นเมื่อรวมเสียงส.ส.และส.ว.แล้ว จะได้เสียงสนับสนุนมากกว่ากึ่งหนึ่งหรือเกิน 365 เสียง จากจำนวนสมาชิกรัฐสภาที่มีอยู่ขณะนี้ทั้งหมด 730 คน
โดยมีเสียงเห็นชอบจากส.ว.ร่วมด้วยครบ 1 ใน 3 หรือ 84 เสียง เสียงของส.ว.ก็อาจจะเกิน 84 เสียงมาไม่มาก แต่ก็เพียงพอให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐสภา ในวันที่ 10 ก.ย. โดยต้องจับตาดูต่อว่าหลังจากนี้จะมีสมาชิกรัฐสภาเข้าชื่อกันเกิน 1 ใน10 ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้หรือไม่
แฉปมร้าวลึก “ประยุทธ์-ธรรมนัส” ลั่น “ผมโดนหักหลัง”
https://www.dailynews.co.th/news/254948/
“ผมโดนหักหลัง” ปมร้าว “บิ๊กตู่” ปลดฟ้าผ่า “ธรรมนัส - บิ๊กอาย” เผยปมจับตา “พปชร.” ปรับโครงสร้างใหญ่อีกรอบ หลัง 'ธรรมนัส' พ้นรัฐมนตรี ส่งสัญญาณหาบ้านใหม่ จับตา “สันติ” ผงาด แม่บ้านพรรค คนใหม่
เมื่อวันที่ 9 ก.ย.รายงานข่าวจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ว่า หลังจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจเหมือนสถานการณ์จะเรียบร้อยและการเคลียร์ใจจะจบลงด้วยดี แต่ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 6 ก.ย. ที่ผ่านมา ร.อ.
ธรรมนัส พรหมเผ่า อดีต รมช.เกษตรและสหกรณ์ และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้เดินทางเข้ามูลนิธิป่ารอยต่อฯ เพื่อแสดงความประสงค์ลาออก แต่ พล.อ.
ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรค ซึ่ง พล.อ.
ประวิตรได้ยับยั้งและบอกว่า “
ทุกอย่างจบแล้ว เคลียร์แล้ว ไม่ต้องออก”
ขณะเดียวกันในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ก.ย. ที่ผ่านมา ก็มีกระแสข่าวว่า ร.อ.
ธรรมนัส อาจจะขอลาออกกลางที่ประชุม โดยเหตุผลที่ ร.อ.ธรรมนัส พยายามจะขอลาออกจากตำแหน่งก่อนนั้น เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่า หลังจากปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ อาจส่งผลให้ พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ปลดออกจากตำแหน่งเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 9 ก.ย. ร.อ.
ธรรมนัส ได้แถลงลาออกที่รัฐสภา ซึ่งในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่พระบรมราชโองการ ประกาศให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรี ซึ่งส่งผลให้ ร.อ.
ธรรมนัส และ นาง
นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมช.แรงงาน พ้นจากตำแหน่ง
นอกจากนี้มีรายงานข่าวอีกว่า หลังจากการลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อวันที่ 4 ก.ย.2564 นายกรัฐมนตรีได้รับคะแนนไว้วางใจรองบ๊วย และมีคะแนนไม่ไว้วางใจมากที่สุด พล.อ.
ประยุทธ์ ปรารภกับคนใกล้ชิดว่า “
มีคนหักหลัง ให้ไปดูหน่อย”
ในส่วนของพรรคพลังประชารัฐ ยังต้องจับตาดูความเคลื่อนไหวเช่นเดียวกัน เนื่องจาก ร.อ.
ธรรมนัส แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนตอนหนึ่งว่าจะขอเลือกเส้นทางเดินใหม่ และอาจจะสร้างบ้านหลังใหม่ ทำให้ต้องติดตามดูความเปลี่ยนแปลงภายใน พปชร.ที่อาจทำให้มีการปรับโครงสร้างกรรมการบริหารพรรคครั้งใหญ่หรือไม่ โดยเฉพาะตำแหน่งเลขาธิการพรรค ที่ก่อนหน้านี้มีชื่อของนาย
สันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ปรากฏชื่อเป็นแคนดิเดตเลขาธิการพรรคมาแล้วถึง 2 ครั้ง โดยในช่วงอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ นายสันติได้แยกตัวออกจาก “กลุ่ม 4 ช.” และประกาศตัวสนับสนุนนายกรัฐมนตรีอย่างชัดเจน
JJNY : 5in1 จิตแพทย์ห่วงฆ่าตัวตายพุ่ง│คาดโหวตแก้ร่างรธน.ผ่าน│แฉปมร้าวลึก│กรุงไทยชี้ธปท.จ่อหั่นจีดีพีเหลือ0.5│SDGไทยถดถอย
https://www.pptvhd36.com/news/สังคม/155998
จิตแพทย์ห่วงคนไทยฆ่าตัวตายพุ่งเทียบเท่าช่วงต้มยำกุ้งจากพิษเศรษฐกิจและโควิด -19 ชี้นักดื่มเสี่ยงฆ่าตัวตายมากกว่าคนไม่ดื่ม 5.3 เท่า
จิตแพทย์ห่วงคนไทยฆ่าตัวตายพุ่งเทียบเท่าช่วงต้มยำกุ้ง ซ้ำมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากพิษเศรษฐกิจและโควิด -19 แถมซดน้ำเมา กระตุ้น การตัดสินใจปุ๊บปั๊บ ชี้นักดื่มเสี่ยงฆ่าตัวตายมากกว่าคนไม่ดื่ม 5.3เท่า แนะใช้พลัง อึด ฮึด สู้ สังคม ร่วมสร้างความหวัง โอกาส ความปลอดภัย ด้าน “เครือข่ายองค์กรงดเหล้า”วอนถือโอกาส ลด ละ เลิก น้ำเมา เสริมภูมิป้องกันโรค ป้องกันใจ
เมื่อวันที่ 9 ก.ย. ศ.พญ.สุวรรณา อรุณพงค์ไพศาล อาจารย์ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น เปิดเผยว่า ในวันที่ 10 กันยายน ของทุกปี จะเป็นวันที่ทั่วโลกรณรงค์ให้ทุกคนตระหนักเพื่อป้องกันการฆ่าตัวตายโลก แต่จากสถานการณ์โควิด-19 ระบาดทั่วโลกมีการทบทวนสถานการณ์การฆ่าตัวตาย จากเดิมที่คาดว่าสถานการณ์จะเพิ่มขึ้นกลับพบว่าลดลง สวนทางกับข้อมูลการฆ่าตัวตายในไทย ซึ่งเป็นข้อมูลจากใบมรณะบัตรพบว่าปี 2560 อัตราการฆ่าตัวตายอยู่ที่ 6.03 ต่อแสนประชากร ปี 2561 อัตรา 6.6 ต่อแสนประชากร และมาที่ 7 ต่อแสนประชากร และล่าสุดปี 2564 อัตราการฆ่าตัวตายของไทยอยู่ที่ 8.8 ต่อแสนประชากร ถือว่าน่ากังวลมาก เพราะสูงเทียบเท่าตอนวิกฤติต้มยำกุ้ง และคาดว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เพราะปัญหาเศรษฐกิจ มาตรการโควิด คนตกงาน ประกอบธุรกิจไม่ได้ บางกิจการต้องปิดตัวลง คนเป็นหนี้เพิ่มขึ้น ไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการของรัฐเพียงพอ เสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายมากขึ้น
จากการวิเคราะห์พบว่าส่วนใหญ่เกิดจาก
1.ปัญหาเศรษฐกิจที่มาโด่ง มีหนี้สิน ไม่มีรายได้
2.ปัญหาสารเสพติดและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
3.ปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ ของคนในครอบครัว คนรอบข้าง ทั้งการดุ ด่า นินทา เป็นต้น
โดยเฉพาะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีผลต่อการฆ่าตัวตายทั้งปัจจัยโดยตรง จะไปกดสมองส่วนการยับยั้งชั่งใจ อารมณ์เก็บกด ความโกรธ ความก้าวร้าว ถูกปลดปล่อยออกมา ทำให้เวลาคิดเรื่องฆ่าตัวตาย ก็ลงมือทันที และส่วนใหญ่ใช้วิธีการที่รุนแรง นอกจากนี้ยังเป็นปัจจัยทางอ้อมคือ การดื่มประจำจะทำให้เสียเงิน เสียงาน เสียไปทุกอย่างเหมือนคนสิ้นเนื้อประดาตัว ทำให้เกิดความเครียด ซึมเศร้า ก็ยิ่งดื่มเหล้ามากขึ้นและคิดฆ่าตัวตายตามมาได้ ทั้งนี้อัตราเสี่ยงสัมพันธ์กับการฆ่าตัวตายที่เชื่อมโยงกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อยู่ที่ 5.3 เท่าเมื่อเทียบกับคนไม่ดื่ม
ศ.พญ สุวรรณา กล่าว่า เพื่อเป็นการป้องกัน ลดอัตราการฆ่าตัวตายนั้น มีการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ป้องกันการฆ่าตัวตายระดับชาติ เน้น การใช้ฐานข้อมูลที่เป็นจริง เน้นเชิงรุก และให้ความสำคัญกับจังหวัดมีมาตรการ และกำหนดแผนอย่างชัดเจน บริหารจัดการอย่างบูรณาการทุกภาคส่วน ทั้งกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแรงงาน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มูลนิธิ ภาคประชาชนทั้งหลายในการร่วมมือดูแลกลุ่มเปราะบางทางสุขภาพ และเศรษฐกิจ ประชาชนสามารถเรียนรู้ เข้าใจ เข้าถึงการดูแลป้องกันการปัญหาการฆ่าตัวตาย ในระดับบุคคลที่ประสบภาวะวิกฤติ ขอให้มีพลัง อึด ฮึด สู้ ขณะที่สังคม ชุมชน ต้องมีการสร้างความหวัง สร้างความปลอดภัย สร้างความสงบ สร้างโอกาส ทุกคนร่วมด้วยด้วยกัน ใช้ศักยภาพของชุมชนขับเคลื่อน ต้องทำร่วมกับการป้องกันการแพร่ระบาดของยาเสพติดและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย
ด้าน ภก.สงกรานต์ ภาคโชคดี ผอ.สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) กล่าวว่า ตามรายงานของกระทรวงสาธารณสุข พบเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นปัจจัยกระตุ้นสำคัญ ของการฆ่าตัวตาย เป็นอันดับ 3 และในภาคเหนือเคยมีรายงานว่า มีสถิติการฆ่าตัวตายสูงหลังไปร่วมงานศพ ที่มีการเลี้ยงเหล้าในงาน ซึ่งต่อมาคนในชุมชนจึงมติให้จัดงานศพปลอดเหล้า สถิติการฆ่าตัวตายก็ลดลงจริง ยิ่งในสถานการณ์การระบาดของโควิด จะมีหลายปัจจัยเพิ่ม ที่ทำให้คนมีความเครียดมากยิ่งขึ้น เช่น การสูญเสียคนในครอบครัว รายได้ลดลงหรือตกงาน กลัวติดเชื้อ เป็นต้น ถ้าหันไปพึ่งน้ำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย จะยิ่งเป็นเหตุสนับสนุนการฆ่าตัวตายมายิ่งขึ้น
“ถ้าคิดใหม่ ใช้สถานการณ์วิกฤตนี้ ให้เป็นโอกาส ในการ ลด ละ เลิก การดื่มน้ำเมาทุกชนิด เพื่อเพิ่มภูมิต้านทานสู้โควิด ป้องกันสุขภาพจิต สุขภาพใจ อีกทั้งเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อครอบครัวและสังคม ไม่เป็นแหล่งกระจายเชื้อจากการขาดสติ และช่วยลดรายจ่าย เปลี่ยนค่าน้ำเมาไปใช้ในสิ่งที่จำเป็นกับครอบครัว ก็จะช่วยลดปัญหาต่าง ๆ ไปได้มาก” ภก.สงกรานต์ กล่าว
คาดโหวตแก้ร่างรธน.วาระ 3 ผ่านแน่ ชี้สว.อาจเกิน 84 เสียงมาไม่มาก
https://www.khaosod.co.th/politics/news_6610929
คาดสภาโหวตผ่านร่างรธน.วาระ 3 แก้ไขบัตรเลือกตั้งเป็น 2 ใบ ชี้ส.ส.พรรคใหญ่เอาด้วยแก้ไข ด้านเสียงสว.คงเกิน 84 เสียงมาไม่มาก แต่ก็ดีพอดันผ่านสำเร็จ
วันที่ 9 ก.ย.2564 ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาถึงการโหวตร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา83และมาตรา91 เรื่องระบบบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ในวาระสาม วันที่ 10 ก.ย.นั้น ค่อนข้างชัดเจนว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญจะได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐสภาในวาระ3 โดยมีเสียงจากส.ส.และส.ว.ให้ความเห็นชอบ
โดยในส่วนส.ส.ที่มีอยู่ทั้งหมด 480 เสียงนั้น มีเสียงสนับสนุนหลักจากพรรคพลังประชารัฐ พรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ ที่เทคะแนนไปทางเดียวกันด้วยการเอาบัตรเลือกตั้ง 2ใบ และเมื่อรวมกับเสียงของพรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคชาติพัฒนาแล้วจะมีเสียงสนับสนุนอยู่ที่ประมาณ 300 เสียงต้นๆ มากกว่าฝ่ายที่ไม่เอาด้วยกับบัตรเลือกตั้ง 2ใบ ที่ประกอบด้วยพรรคก้าวไกล พรรคภูมิใจไทย และพรรคเล็ก ที่มีเสียงรวมกันประมาณ170 เสียงเท่านั้น
ขณะที่ตอนนี้เสียงส.ว.ที่มีอยู่ 250 เสียง ปรากฏว่ามีเสียงก้ำกึ่งสูสีกัน ระหว่างส.ว.ฝ่ายที่สนับสนุนและไม่สนับสนุนบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ โดยส.ว.ฝ่ายที่ไม่สนับสนุนบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ส่วนใหญ่เป็นส.ว.สายจังหวัดและสายอาชีพ และกลุ่มที่ไม่ชื่นชอบนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีอยู่
ประมาณ 100-130 เสียง กลุ่มเหล่านี้จะลงมติไม่รับร่างและงดออกเสียงร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 83และ 91 เนื่องจากเกรงว่า บัตรเลือกตั้ง 2ใบ จะทำให้เกิดเผด็จการเสียงข้างมากในรัฐสภา เกรงว่าจะเปิดช่องให้พรรคเพื่อไทยของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับมามีอำนาจเลือกตั้งสมัยหน้า
ขณะที่ส.ว.ฝ่ายที่สนับสนุนบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ขณะนี้สามารถรวบรวมเสียงส.ว.สนับสนุนได้เกิน 84 เสียงแล้ว แม้จะมีเสียงน้อยกว่าฝ่ายไม่เห็นด้วยกับบัตร 2 ใบ แต่ถือว่ามีเสียงเกิน 1ใน 3 ของจำนวนส.ว.ทั้งหมด 250 คน
โดยส.ว.กลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นสายทหาร ตำรวจ พลเรือนที่เคยลงมติรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระแรกมาแล้ว โดยได้รับสัญญาณไฟเขียวให้เดินหน้าสนับสนุนการโหวตผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระ 3 โดยให้เหตุผลว่า หากคว่ำวาระ 3 จะถูกมองว่าจ้องล้มรัฐธรรมนูญ ทำให้สถานการณ์การเมืองมีความรุนแรงขึ้น
ทั้งนี้แม้จะโหวตผ่านวาระ 3 ไปได้ ก็ต้องมีผู้ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวอีกขั้นตอน ดังนั้นเมื่อรวมเสียงส.ส.และส.ว.แล้ว จะได้เสียงสนับสนุนมากกว่ากึ่งหนึ่งหรือเกิน 365 เสียง จากจำนวนสมาชิกรัฐสภาที่มีอยู่ขณะนี้ทั้งหมด 730 คน
โดยมีเสียงเห็นชอบจากส.ว.ร่วมด้วยครบ 1 ใน 3 หรือ 84 เสียง เสียงของส.ว.ก็อาจจะเกิน 84 เสียงมาไม่มาก แต่ก็เพียงพอให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐสภา ในวันที่ 10 ก.ย. โดยต้องจับตาดูต่อว่าหลังจากนี้จะมีสมาชิกรัฐสภาเข้าชื่อกันเกิน 1 ใน10 ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้หรือไม่
แฉปมร้าวลึก “ประยุทธ์-ธรรมนัส” ลั่น “ผมโดนหักหลัง”
https://www.dailynews.co.th/news/254948/
“ผมโดนหักหลัง” ปมร้าว “บิ๊กตู่” ปลดฟ้าผ่า “ธรรมนัส - บิ๊กอาย” เผยปมจับตา “พปชร.” ปรับโครงสร้างใหญ่อีกรอบ หลัง 'ธรรมนัส' พ้นรัฐมนตรี ส่งสัญญาณหาบ้านใหม่ จับตา “สันติ” ผงาด แม่บ้านพรรค คนใหม่
เมื่อวันที่ 9 ก.ย.รายงานข่าวจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ว่า หลังจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจเหมือนสถานการณ์จะเรียบร้อยและการเคลียร์ใจจะจบลงด้วยดี แต่ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 6 ก.ย. ที่ผ่านมา ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อดีต รมช.เกษตรและสหกรณ์ และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้เดินทางเข้ามูลนิธิป่ารอยต่อฯ เพื่อแสดงความประสงค์ลาออก แต่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรค ซึ่ง พล.อ.ประวิตรได้ยับยั้งและบอกว่า “ทุกอย่างจบแล้ว เคลียร์แล้ว ไม่ต้องออก”
ขณะเดียวกันในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ก.ย. ที่ผ่านมา ก็มีกระแสข่าวว่า ร.อ.ธรรมนัส อาจจะขอลาออกกลางที่ประชุม โดยเหตุผลที่ ร.อ.ธรรมนัส พยายามจะขอลาออกจากตำแหน่งก่อนนั้น เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่า หลังจากปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ อาจส่งผลให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ปลดออกจากตำแหน่งเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 9 ก.ย. ร.อ.ธรรมนัส ได้แถลงลาออกที่รัฐสภา ซึ่งในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่พระบรมราชโองการ ประกาศให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรี ซึ่งส่งผลให้ ร.อ.ธรรมนัส และ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมช.แรงงาน พ้นจากตำแหน่ง
นอกจากนี้มีรายงานข่าวอีกว่า หลังจากการลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อวันที่ 4 ก.ย.2564 นายกรัฐมนตรีได้รับคะแนนไว้วางใจรองบ๊วย และมีคะแนนไม่ไว้วางใจมากที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ ปรารภกับคนใกล้ชิดว่า “มีคนหักหลัง ให้ไปดูหน่อย”
ในส่วนของพรรคพลังประชารัฐ ยังต้องจับตาดูความเคลื่อนไหวเช่นเดียวกัน เนื่องจาก ร.อ.ธรรมนัส แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนตอนหนึ่งว่าจะขอเลือกเส้นทางเดินใหม่ และอาจจะสร้างบ้านหลังใหม่ ทำให้ต้องติดตามดูความเปลี่ยนแปลงภายใน พปชร.ที่อาจทำให้มีการปรับโครงสร้างกรรมการบริหารพรรคครั้งใหญ่หรือไม่ โดยเฉพาะตำแหน่งเลขาธิการพรรค ที่ก่อนหน้านี้มีชื่อของนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ปรากฏชื่อเป็นแคนดิเดตเลขาธิการพรรคมาแล้วถึง 2 ครั้ง โดยในช่วงอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ นายสันติได้แยกตัวออกจาก “กลุ่ม 4 ช.” และประกาศตัวสนับสนุนนายกรัฐมนตรีอย่างชัดเจน