ตอนเดิม
ตอนที่ 20
อาหารมื้อนั้นผ่านไปอย่างฝืดคอเต็มทีทั้งสองคน ศรศิลป์นั่งกินไก่อบน้ำผึ้งกับข้าวเหนียว นาน ๆ ถึงจะใช้ช้อนส้อมจิ้มส้มตำกินทีหนึ่ง ซึ่งเขาไม่ได้แสดงอาการเผ็ดร้อนอะไรนักหนากับรสชาติของส้มตำ ส่วนคนที่เผ็ดหน้าแดงหน้าดำกลับเป็นช่อชบาเสียเอง ที่ต้องพยายามกินส้มตำให้เหมือนเอร็ดอร่อยเสียเต็มประดา แม่ค้าส้มตำชะโงกหน้ามามอง ก่อนแซวเธอขำ ๆ ว่า
“ทุกทีให้ใส่พริกแค่เม็ดเดียว กินเผ็ดไม่เก่งไม่ใช่เหรอ วันนี้นึกยังไงถึงสั่งให้ตำแซ่บ ๆ”
ช่อชบาทำหน้าไม่ถูก เอามือพัดโบกริมฝีปากตัวเองไปมา พร้อมกับเป่าปากไล่ความเผ็ด ส้มตำรสจัดจ้านยังเหลืออีกตั้งครึ่งค่อนจาน จะกินยังไงให้มันเหลือน้อยที่สุดล่ะนี่
ชายหนุ่มมองหน้าเธอแล้วยิ้มอย่างนึกขัน เหมือนจะรู้ทัน เขาตักส้มตำใส่จานให้เธออีก พลางพยักพเยิดให้กินต่อ
“คุณอยากกินส้มตำรสแซ่บก็กินให้เยอะ ๆ สิ สั่งเขามาแล้ว แม่ค้าเขาอุตส่าห์ตำให้เป็นพิเศษ”
“เอ้อ...ฉันอิ่มแล้วค่ะ” หญิงสาวซู้ดปาก ยิ้มแหย ยกฝ่ามือสองข้างขึ้นเสมอไหล่ ทำนองว่ายอมแพ้
....เฮ้อให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัวจริง ๆ เล้ย นังช่อเอ้ย...
นึกโมโหตัวเองที่คิดแกล้งเขาแบบไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่ จนส่งผลย้อนกลับมาให้ปากคอตัวเองต้องเผ็ดร้อนไปหมด เหงื่อแตกซ่ก ศรศิลป์มองดูท่าทางของเธอแล้วก็ส่ายหน้า เข้าใจถึงเจตนาของแม่สาวจอมเปิ่น เขาลุกไปซื้อน้ำส้มมาสองแก้ว ยื่นส่งให้เธอแก้วหนึ่ง
“เอ้า...ดื่มแก้เผ็ดซะ น้ำเปล่าคงไม่ช่วยเท่าไหร่ เหงื่อไหลเลยนะ คุณน่ะ”
หญิงสาวแสบร้อนไปทั้งปากทั้งลิ้น รีบก้มลงดูดน้ำส้มจากหลอด ก่อนเงยหน้าขึ้นพูดขอบคุณเขา...วินาทีนั้นเอง ช่อชบาคิดว่าทันได้เห็นแววตาอันอ่อนโยน อบอุ่น อย่างที่เคยเห็นของน้อยศิลป์ไชยสมัยยังอยู่ด้วยกันในอีกมิติหนึ่ง ฉายแวบออกมาจากดวงตาทั้งคู่ หญิงสาวชะงักไปนิดหนึ่งแล้วเผลอยิ้มตอบ อย่างที่เคยยิ้มให้กับเพื่อนรักเมื่อในอดีต
...เออ ค่อยเหมือนน้อยศิลป์ขึ้นมาหน่อย...
หนุ่มสาวทั้งคู่กลับเข้ามาในบริษัทล่าช้าไปมาก ตอนเดินกลับเข้ามา ช่อชบาสังเกตเห็นเจ้านายหนุ่มมีท่าทีเคร่งเครียดแปลก ๆ ที่จริงน่าจะกลับมาเร็วกว่านี้อีก ถ้าเธอจะไม่ขอแวะเข้าไปแต่งหน้าทาปากในห้องน้ำหญิงเสียหน่อยก่อน หลังกินเผ็ดจนเหงื่อไหลไคลย้อย แป้งเอยลิปสติกเอย ถูกทิชชูเช็ดหายเกลี้ยงไปจากใบหน้าจนเหลือแต่หน้าสด
ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก นับหนึ่ง สอง สาม ไปเรื่อย ๆ อย่างสะกดอารมณ์ ขณะยืนรอช่อชบาอยู่นอกห้องน้ำหญิง นึกละอายใจตัวเองที่ในชีวิตนี้ไม่เคยต้องมายืนรอผู้หญิงคนไหนหน้าห้องน้ำมาก่อนเลย กลับต้องมาเป็นผู้หญิงหน้าเด๋อคนนี้ อยากพูดใส่หน้าเจ้าหล่อนนักว่า ต่อให้ทาแป้งจนหมดตลับก็คงไม่สวยขึ้นหรอก
เมื่อหญิงสาวออกจากห้องน้ำเดินตามเขาเข้ามาในบริษัทแล้ว เขาก็ชวนเธอให้เข้าไปคุยธุระด้วยในห้องทำงาน มีบางอย่างที่คิดเอาไว้ตั้งแต่เช้า อยากตกลงกับหล่อนให้เข้าใจกันเสียก่อน เขาเปิดประตูห้องทำงานทิ้งไว้ หันมามองหน้า ช่อชบาจึงจำใจต้องเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานของเขา ด้วยท่าทีไม่ค่อยยินยอมพร้อมใจเท่าไหร่ ศรศิลป์ยิ้มนิด ๆ ที่มุมปาก กับท่าทางเรื่องมากของแม่เลขาฯหน้าเด๋อ บอกเธอเสียงเรียบว่า
“ผมมีเรื่องจะปรึกษากับคุณ...ทำไมคุณทำท่ายังกะผมจะทำอะไรคุณด้วยนะ ที่เรียกเข้ามาคุยในห้องเพราะผมมีเรื่องอยากจะขอร้องให้คุณช่วยหน่อย”
...จะให้ช่วยอะไรอีกล่ะ ชั้นมาทำงานเป็นเลขาพี่เนตรนะ ไม่ได้มาช่วยทำโน่นนี่นั่นให้ใครอีก...
ช่อชบายืนนิ่ง ระวังท่าทีสูงสุด จะไม่เผลอทำตัวใกล้ชิดสนิทสนมกับเขาเท่ากับพี่เนตรของเธอเป็นอันขาด เพราะเขาคือตัวอันตรายที่สีมอยหมายใจจะให้เธอมีอะไรด้วย ตาโตชำเลืองมอง ปากบางเม้มนิด ๆ ข่มคำพูดที่จะเผลอโพล่งออกมา
ศรศิลป์ยืนนิ่งคิดนิดหนึ่ง แล้วจึงตัดสินใจพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลขึ้น
“มันอาจจะไม่ใช่หน้าที่โดยตรงของคุณ แต่ในเมื่อคุณก็นั่งทำงานอยู่หน้าห้องผมกับเนตรแล้ว ผมจึงอยากจะวานคุณให้ช่วยผมบางอย่าง”
ช่อชบาผ่อนท่าทีระวังตัวลง
...อ้อ ที่มาทำดีด้วยเมื่อตะกี้ ที่แท้มีเรื่องจะใช้นี่เอง...
กำลังจะเริ่มรู้สึกในทางบวกกับเขาอยู่แล้วเชียว ที่มีน้ำใจช่วยไปซื้อน้ำส้มมาแก้เผ็ดให้ แต่พอเห็นเขาเอ่ยปากว่าจะขอให้ช่วยทำบางอย่าง นอกเหนือจากหน้าที่ของเลขาฯ ก็นึกฉุนขึ้นมาอีก ที่แท้เขาทำไปเพราะอยากจะใช้เธอนี่เอง
น้อยศิลป์ไชยในชาติใหม่นี้ดูเป็นคนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ตามประสาคนมีเงิน จ่ายเงินเดือนให้เธอแพง ๆ แล้ว ก็อาจนึกเสียดายเงิน อยากจะใช้เธอทำงานอื่นอีกจนคุ้มค่าเงินที่เสียไป นิสัยคนรวยก็เป็นแบบนี้ ชอบเอาเปรียบคน พบเจอได้ในสังคมที่มือใครยาวก็สาวได้สาวเอา
“อีกสักครู่จะมีผู้หญิงคนหนึ่งมาหาผม เธอชื่อนลินี ผมไม่อยากให้เธอมาที่นี่อีก คุณช่วยทำอะไรก็ได้ ที่ทำให้เธอต้องรีบกลับไปให้เร็วที่สุด ทำได้มั้ย”
อ้าว...ไหนพี่เนตรบอกว่าเขาไม่สนใจผู้หญิง แต่มาทำงานยังไม่ทันข้ามวัน ไอ้หนุ่มไฮโซเริ่มมีปัญหาเรื่องหญิงเสียแล้ว...ท่าทางจะกลัวรถไฟหลายขบวนมาชนกันที่บริษัท รู้สึกใจหายกับชาติใหม่ของน้อยศิลป์ไชย ที่พอเกิดมาใหม่เขาจะกลายเป็นเสือผู้หญิงไปเสียแล้วก็ไม่รู้
“เธอเป็นใครคะ แล้วคุณทำแบบนั้นกับเธอทำไม”
ไม่ยอมเออออไปกับเจ้านายง่าย ๆ ก็มันเรื่องอะไรของเธอที่ไหน ไม่เห็นเกี่ยวกับงานเลขาฯ ของตัวเองสักหน่อย สงสัยเจ้านายคนนี้จะหาเรื่องปวดหัวมาให้เป็นแน่
“เธอตามตื๊อผม และผมไม่อยากติดต่อกับเธออีก”
โอ้โฮ...ปากจัด เล่นตัวมากไปหรือเปล่า คงคิดว่าตัวเองหล่อและรวยมากสินะ จนมีแต่สาวมาตามตื๊อ หมั่นไส้ชะมัด...
ชักนึกสงสารผู้หญิงที่โดนดูถูกว่ามาตามตื๊อเขา พวกหล่อนมาได้ยินเข้าคงพากันเสียความรู้สึกน่าดู แล้วไอ้เรื่องเลขาฯทำเกินหน้าที่แบบนี้นี่ นึกว่ามีจะแต่ในละครทีวีเสียอีก
(มีต่อ)
ตำนานพื้นบ้าน พระลอตามไก่ มาเป็นนวนิยาย 'อลเวงรักสองภพ' ตอนที่ 20
อาหารมื้อนั้นผ่านไปอย่างฝืดคอเต็มทีทั้งสองคน ศรศิลป์นั่งกินไก่อบน้ำผึ้งกับข้าวเหนียว นาน ๆ ถึงจะใช้ช้อนส้อมจิ้มส้มตำกินทีหนึ่ง ซึ่งเขาไม่ได้แสดงอาการเผ็ดร้อนอะไรนักหนากับรสชาติของส้มตำ ส่วนคนที่เผ็ดหน้าแดงหน้าดำกลับเป็นช่อชบาเสียเอง ที่ต้องพยายามกินส้มตำให้เหมือนเอร็ดอร่อยเสียเต็มประดา แม่ค้าส้มตำชะโงกหน้ามามอง ก่อนแซวเธอขำ ๆ ว่า
“ทุกทีให้ใส่พริกแค่เม็ดเดียว กินเผ็ดไม่เก่งไม่ใช่เหรอ วันนี้นึกยังไงถึงสั่งให้ตำแซ่บ ๆ”
ช่อชบาทำหน้าไม่ถูก เอามือพัดโบกริมฝีปากตัวเองไปมา พร้อมกับเป่าปากไล่ความเผ็ด ส้มตำรสจัดจ้านยังเหลืออีกตั้งครึ่งค่อนจาน จะกินยังไงให้มันเหลือน้อยที่สุดล่ะนี่
ชายหนุ่มมองหน้าเธอแล้วยิ้มอย่างนึกขัน เหมือนจะรู้ทัน เขาตักส้มตำใส่จานให้เธออีก พลางพยักพเยิดให้กินต่อ
“คุณอยากกินส้มตำรสแซ่บก็กินให้เยอะ ๆ สิ สั่งเขามาแล้ว แม่ค้าเขาอุตส่าห์ตำให้เป็นพิเศษ”
“เอ้อ...ฉันอิ่มแล้วค่ะ” หญิงสาวซู้ดปาก ยิ้มแหย ยกฝ่ามือสองข้างขึ้นเสมอไหล่ ทำนองว่ายอมแพ้
....เฮ้อให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัวจริง ๆ เล้ย นังช่อเอ้ย...
นึกโมโหตัวเองที่คิดแกล้งเขาแบบไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่ จนส่งผลย้อนกลับมาให้ปากคอตัวเองต้องเผ็ดร้อนไปหมด เหงื่อแตกซ่ก ศรศิลป์มองดูท่าทางของเธอแล้วก็ส่ายหน้า เข้าใจถึงเจตนาของแม่สาวจอมเปิ่น เขาลุกไปซื้อน้ำส้มมาสองแก้ว ยื่นส่งให้เธอแก้วหนึ่ง
“เอ้า...ดื่มแก้เผ็ดซะ น้ำเปล่าคงไม่ช่วยเท่าไหร่ เหงื่อไหลเลยนะ คุณน่ะ”
หญิงสาวแสบร้อนไปทั้งปากทั้งลิ้น รีบก้มลงดูดน้ำส้มจากหลอด ก่อนเงยหน้าขึ้นพูดขอบคุณเขา...วินาทีนั้นเอง ช่อชบาคิดว่าทันได้เห็นแววตาอันอ่อนโยน อบอุ่น อย่างที่เคยเห็นของน้อยศิลป์ไชยสมัยยังอยู่ด้วยกันในอีกมิติหนึ่ง ฉายแวบออกมาจากดวงตาทั้งคู่ หญิงสาวชะงักไปนิดหนึ่งแล้วเผลอยิ้มตอบ อย่างที่เคยยิ้มให้กับเพื่อนรักเมื่อในอดีต
...เออ ค่อยเหมือนน้อยศิลป์ขึ้นมาหน่อย...
หนุ่มสาวทั้งคู่กลับเข้ามาในบริษัทล่าช้าไปมาก ตอนเดินกลับเข้ามา ช่อชบาสังเกตเห็นเจ้านายหนุ่มมีท่าทีเคร่งเครียดแปลก ๆ ที่จริงน่าจะกลับมาเร็วกว่านี้อีก ถ้าเธอจะไม่ขอแวะเข้าไปแต่งหน้าทาปากในห้องน้ำหญิงเสียหน่อยก่อน หลังกินเผ็ดจนเหงื่อไหลไคลย้อย แป้งเอยลิปสติกเอย ถูกทิชชูเช็ดหายเกลี้ยงไปจากใบหน้าจนเหลือแต่หน้าสด
ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก นับหนึ่ง สอง สาม ไปเรื่อย ๆ อย่างสะกดอารมณ์ ขณะยืนรอช่อชบาอยู่นอกห้องน้ำหญิง นึกละอายใจตัวเองที่ในชีวิตนี้ไม่เคยต้องมายืนรอผู้หญิงคนไหนหน้าห้องน้ำมาก่อนเลย กลับต้องมาเป็นผู้หญิงหน้าเด๋อคนนี้ อยากพูดใส่หน้าเจ้าหล่อนนักว่า ต่อให้ทาแป้งจนหมดตลับก็คงไม่สวยขึ้นหรอก
เมื่อหญิงสาวออกจากห้องน้ำเดินตามเขาเข้ามาในบริษัทแล้ว เขาก็ชวนเธอให้เข้าไปคุยธุระด้วยในห้องทำงาน มีบางอย่างที่คิดเอาไว้ตั้งแต่เช้า อยากตกลงกับหล่อนให้เข้าใจกันเสียก่อน เขาเปิดประตูห้องทำงานทิ้งไว้ หันมามองหน้า ช่อชบาจึงจำใจต้องเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานของเขา ด้วยท่าทีไม่ค่อยยินยอมพร้อมใจเท่าไหร่ ศรศิลป์ยิ้มนิด ๆ ที่มุมปาก กับท่าทางเรื่องมากของแม่เลขาฯหน้าเด๋อ บอกเธอเสียงเรียบว่า
“ผมมีเรื่องจะปรึกษากับคุณ...ทำไมคุณทำท่ายังกะผมจะทำอะไรคุณด้วยนะ ที่เรียกเข้ามาคุยในห้องเพราะผมมีเรื่องอยากจะขอร้องให้คุณช่วยหน่อย”
...จะให้ช่วยอะไรอีกล่ะ ชั้นมาทำงานเป็นเลขาพี่เนตรนะ ไม่ได้มาช่วยทำโน่นนี่นั่นให้ใครอีก...
ช่อชบายืนนิ่ง ระวังท่าทีสูงสุด จะไม่เผลอทำตัวใกล้ชิดสนิทสนมกับเขาเท่ากับพี่เนตรของเธอเป็นอันขาด เพราะเขาคือตัวอันตรายที่สีมอยหมายใจจะให้เธอมีอะไรด้วย ตาโตชำเลืองมอง ปากบางเม้มนิด ๆ ข่มคำพูดที่จะเผลอโพล่งออกมา
ศรศิลป์ยืนนิ่งคิดนิดหนึ่ง แล้วจึงตัดสินใจพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลขึ้น
“มันอาจจะไม่ใช่หน้าที่โดยตรงของคุณ แต่ในเมื่อคุณก็นั่งทำงานอยู่หน้าห้องผมกับเนตรแล้ว ผมจึงอยากจะวานคุณให้ช่วยผมบางอย่าง”
ช่อชบาผ่อนท่าทีระวังตัวลง...อ้อ ที่มาทำดีด้วยเมื่อตะกี้ ที่แท้มีเรื่องจะใช้นี่เอง...
กำลังจะเริ่มรู้สึกในทางบวกกับเขาอยู่แล้วเชียว ที่มีน้ำใจช่วยไปซื้อน้ำส้มมาแก้เผ็ดให้ แต่พอเห็นเขาเอ่ยปากว่าจะขอให้ช่วยทำบางอย่าง นอกเหนือจากหน้าที่ของเลขาฯ ก็นึกฉุนขึ้นมาอีก ที่แท้เขาทำไปเพราะอยากจะใช้เธอนี่เอง
น้อยศิลป์ไชยในชาติใหม่นี้ดูเป็นคนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ตามประสาคนมีเงิน จ่ายเงินเดือนให้เธอแพง ๆ แล้ว ก็อาจนึกเสียดายเงิน อยากจะใช้เธอทำงานอื่นอีกจนคุ้มค่าเงินที่เสียไป นิสัยคนรวยก็เป็นแบบนี้ ชอบเอาเปรียบคน พบเจอได้ในสังคมที่มือใครยาวก็สาวได้สาวเอา
“อีกสักครู่จะมีผู้หญิงคนหนึ่งมาหาผม เธอชื่อนลินี ผมไม่อยากให้เธอมาที่นี่อีก คุณช่วยทำอะไรก็ได้ ที่ทำให้เธอต้องรีบกลับไปให้เร็วที่สุด ทำได้มั้ย”
อ้าว...ไหนพี่เนตรบอกว่าเขาไม่สนใจผู้หญิง แต่มาทำงานยังไม่ทันข้ามวัน ไอ้หนุ่มไฮโซเริ่มมีปัญหาเรื่องหญิงเสียแล้ว...ท่าทางจะกลัวรถไฟหลายขบวนมาชนกันที่บริษัท รู้สึกใจหายกับชาติใหม่ของน้อยศิลป์ไชย ที่พอเกิดมาใหม่เขาจะกลายเป็นเสือผู้หญิงไปเสียแล้วก็ไม่รู้
“เธอเป็นใครคะ แล้วคุณทำแบบนั้นกับเธอทำไม”
ไม่ยอมเออออไปกับเจ้านายง่าย ๆ ก็มันเรื่องอะไรของเธอที่ไหน ไม่เห็นเกี่ยวกับงานเลขาฯ ของตัวเองสักหน่อย สงสัยเจ้านายคนนี้จะหาเรื่องปวดหัวมาให้เป็นแน่
“เธอตามตื๊อผม และผมไม่อยากติดต่อกับเธออีก”
โอ้โฮ...ปากจัด เล่นตัวมากไปหรือเปล่า คงคิดว่าตัวเองหล่อและรวยมากสินะ จนมีแต่สาวมาตามตื๊อ หมั่นไส้ชะมัด...
ชักนึกสงสารผู้หญิงที่โดนดูถูกว่ามาตามตื๊อเขา พวกหล่อนมาได้ยินเข้าคงพากันเสียความรู้สึกน่าดู แล้วไอ้เรื่องเลขาฯทำเกินหน้าที่แบบนี้นี่ นึกว่ามีจะแต่ในละครทีวีเสียอีก
(มีต่อ)