...........เรื่องนี้ต้องย้อนในวัยเด็กของผม ตอนนั้นพึ่งเข้าเรียนชั้นประถมปีที่หนึ่ง ช่วงปิดเทอม ป้ามาเยี่ยมแม่ แล้วก็เลยออกปากขอหลานสองคน คือนวลกับนัฐให้ไปเยี่ยมบ้านของป้า ที่อยู่อำเภอเมืองพะเยา
ป้าเป็งถ้าออกเสียงทางภาคกลางคือป่าเพ็ญ ไปได้แฟน และลงหลักปักแหล่งอยู่อำเภอเมือง เป็นลูกจ้างโรงงานทำอิฐ เจ้าของเป็นคนจีน แฟนของป้าชื่อถวิล แต่จะเรียกติดปากว่าลุงหวิน เป็นคนทางภาคกลางครับ ติดตามเถ้าแก่มาทำมาหากินทางเหนือ จนมาพบรักกับป้าเพ็ญ มีลูกด้วยกันสามคน คนโตเป็นผู้ชายอายุ 15 ปี คนรองเป็นผู้หญิงอายุเท่ากับพี่สาวของผม สองคนนี้เลยสนิทกันมาก ส่วนน้องสาวคนเล็กเป็นผู้หญิง อายุน้อยกว่าผมหนึ่งปี ยังไม่ได้เข้าเรียน
ในยุคที่ถนนหนทางยังไม่สะดวก การเดินทางแม้ระยะสี่สิบกิโลเมตรดูเหมือนจะไกลมาก ผมโชคดีหน่อยก่อนที่จะอายุครบเข้าเรียนชั้นประถม ทางการได้ตัดถนนเข้ามา คือจากอำเภอเมือง ผ่านอำเภอดอกคำไต้ อำเภอจุน ไปถึงอำเภอปง ซึ่งในยุคนั้นยังมีข่าวคราวความไม่สงบจากผู้ก่อร้ายคอมมิวนิสต์ ทำให้ทางการต้องเร่งตัดถนนเชื่อมต่อแต่ละอำเภอ
ตอนนั้นผมยังไม่ประสาความมากนัก มักไปกับเด็กโต ไปเล่นซนกันตามถนนลาดยางมะตอย พวกผู้ใหญ่ต้องเอาไม้เรียวมาคอยไล่ ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจทำไมต้องไล่ ถนนลาดยางมะตอยเป็นอะไรที่ใหม่สำหรับชาวบ้าน พาหนะที่ใช้ส่วนใหญ่จะเป็นเกวียน เวลากีบเท้าของวัวมันย่ำลงไป รวมทั้งเสียงล้อบด มันฟังดูแปลก ๆ นานทีจะมีรถบรรทุกคันใหญ่ของทหารแล่นผ่านมา ในช่วงแรก ๆ ก็มีแต่รถยนต์ของทางการ ภายหลังไฟฟ้าจึงตามเข้ามา แล้วจากนั้นอะไร ๆ ที่ว่าเจริญก็ตามเข้ามา ดีบ้าง เสื่อมบ้าง ไม่เหมาะกับชาวบ้านบ้าง แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก ที่ผมจะนำมาเล่า
มาเข้าเรื่องไปเที่ยวบ้านป้าเพ็ญกันต่อนะครับ ไม่นานที่ถนนพร้อมใช้งาน รถรับจ้างก็เข้ามาวิ่งให้บริการ เป็นอะไรที่ทำให้ชาวบ้านติดต่อกับโลกภายนอกได้สะดวกขึ้น เพราะถ้าใครไปถึงตัวจังหวัดได้ ก็จะมีรถโดยสารต่อไปถึงกรุงเทพฯ
ป้าเพ็ญยึดอาชีพค้ายาเส้น โดยไปซื้อจากแหล่งผลิตในอำเภอปง นำไปเร่ขายต่อ จึงมีเวลาแวะมาเยี่ยมบ้านเกิดได้บ่อยจนเป็นภาพอันชินตา ส่วนงานในโรงงานทำอิฐ ลุงจะทำกับลูกชายสองคนโดยมีคนงานของเถ้าแก่อีกสองคนมาเป็นลูกมือ งานหนักโดยเฉพาะช่วงเผาอิฐ จะต้องเฝ้าเตาทั้งคืน ไม่ให้ไฟแรงไป หรืออ่อนไป แต่ขนาดว่าไฟอ่อน ทั้งเด็กทั้งผู้หญิงยังทนกันไม่ไหว ป้าเพ็ญเลยมาทำการค้า เพื่อหารายได้จุนเจือครอบครัวอีกแรง
ผมนั่งมองวิวสองข้างทางจากบนรถโดยสาร ตั้งแต่ผ่านกว๊านพะเยา และสำนักงานประมงจังหวัด เลี้ยวซ้ายที่แยกประตูชัยจะเข้าสู่ย่านการค้า เป็นอะไรที่ตื่นตาตื่นใจสำหรับเด็กน้อยอย่างผม ผิดกับพี่นวล ที่เคยมาครั้งหนึ่งแล้ว อาคารพาณิชย์สองชั้น ทั้งสร้างจากอิฐถือปืน หรืออาคารสร้างจากไม้ แม้ดูเก่าคร่ำ แต่มากมายไปด้วยของขาย ผู้คนแต่งตัวดูดี สะอาดสะอ้าน เนื้อตัวไม่ดำคล้ำจากงานในท้องไร่ท้องนา แต่สิ่งที่ทำให้ผมสะดุดตา สะดุดกลิ่นสามารถพบเห็นมันได้ตามรายทาง คือตามบ้านเรือน หรือร้านค้าจะมีการตั้งโต๊ะของเซ่นไหว้ กลิ่นของธูปเทียน เคล้ากับกลิ่นของขนมจันอับ ลอยมาแตะจมูกค่อนข้างถี่ ผมจำกลิ่นได้แม่นตั้งแต่ครั้งแรก กลิ่นนี้เอง ที่ทำให้ผมต้องหลอนในภายหลัง
เถ้าแก่ใหญ่เอารถกระบะมารับพวกเรา กำลังยืนคุยกับลุงหวิน เถ้าแก่พูดภาษาไทยคำจีนคำ ฟังเหมือนกำลังบ่น ป้าเพ็ญพาพวกเราลงจากรถ มายืนรอสองคนนั้นพูดคุย เถ้าแก่รูปร่างสูงใหญ่ผิวขาวเหลือง พุงพลุ้ย ส่วนลุงหวินมีรูปร่างผอมแกร็น ผิวคล้ำ หัวจะยุ่ง ๆ สีหน้ากลุ้มใจตลอดเวลา ผิดกับป้าเพ็ญจะอ้วน มีน้ำมีนวล ผมจับใจความ ที่เถ้าแก่ใหญ่พูดว่าลุงไม่ดูแลคนงาน ป้าเพ็ญเลยไปสอบถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น ในตอนนั้นผมมัวสนใจกับสินค้าในสถานีขนส่ง มันมีของเล่นแปลกตาวางขายด้วย เลยไม่ได้ฟัง หรือต่อให้ฟังก็ไม่เข้าใจนัก ว่าผู้ใหญ่พูดเรื่องอะไรกัน
ผมมารู้ภายหลังว่า คนงานของเถ้าแก่สองคน ที่ยังเป็นวัยรุ่นกำลังสร้างปัญหาให้เถ้าแก่ อาจจะรวมถึง ไอ้รุ่ง เถ้าแก่เรียกอย่างนั้นนะ ลูกชายวัยรุ่นของลุงกับป้า อาจถึงขั้นต้องเอาตำรวจมาเอาตัวไป เถ้าแก่มีธุรกิจหลายอย่างให้ดูแล ส่วนโรงงานทำอิฐจะปล่อยให้ลุงหวินดูแล โรงงานอยู่ชานเมือง ติดกับฮวงซุ้ย หรือสุสานจีน มีบ้านพักในตัว ตั้งอยู่ห่างไกลจากชุมชน พอมีคนเข้าไปยุ่มย่ามในเขตสุสาน ทำให้สงสัยคนในโรงงานทำอิฐไว้ก่อน
พวกเราพากันขึ้นนั่งบนกระบะ ผมกับพี่สาวช่วยกันชี้ช่วยกันดูทิวทัศน์สองข้างทาง ตามประสาเด็กเที่ยว ก่อนรถจะบ่ายหน้าออกนอกเมือง ถนนเริ่มเป็นฝุ่นแดง บ้านเรือนเริ่มห่างตา แต่สิ่งที่ทำให้ผมสะดุดตาก็คือเก๋งจีน สิ่งก่อสร้างทรงแปลกตา ผมถามป้าว่ารู้ไหมที่นี่เขามีประเพณีอะไร ผมเห็นของเซ่นไหว้มาตลอดรายทาง ป้าแค่นหัวเราะ ตีนกาขึ้นไม่น้อย บอกอย่างเอ็นดู มันไม่ใช่ประเพณีของคนทางบ้านเราหรอกลูกบ่าวหล้า ช่วงนี้มันเป็นเทศกาลเช็งเม้ง คนที่มีเชื้อสายจีนจะทำของไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษ บางส่วนจะไหว้อยู่ที่บ้าน เลยเห็นคนเชื้อสาวจีนเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ผมเองก็ยังไม่เข้าใจ
ป้าเลยตอบสรุปสั้น ๆ คือไหวผีปู่ย่า บ้านเราก็มีแต่มันคนละเดือน ทำเอาผมเงียบไป เพราะปกติไม่ค่อยชอบกลิ่นธูปกลิ่นเทียนในพิธีกรรมพวกนี้
ก่อนที่รถยนต์จะถึงที่หมาย ข้างถนนจะมีซุ้มประตูแทรกอยู่ในป่าละเมาะ มันโผล่เข้ามาในสายตากะทันหัน ลักษณะเป็นทางเข้าสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ที่ขุดผ่าเนินเขาเข้าไป บนป้ายมีข้อความแปลก ๆ มันดูทรุดโทรม ป่าโดยรอบก็รกรื้อ ดูทึม ๆ แฝงไปด้วยกลิ่นอายความน่ากลัว ด้วยความที่เป็นวัยอยากรู้ ผมได้แต่ชี้ให้ดู พี่นวลรู้ ได้บอกกับผมว่า นั่นแหละคือป้ายทางเข้าป่าเห็วจีน ป้ายที่ซุ้มทางเข้าเป็นภาษาจีน บ้านของป้าจะอยู่ติดป้าเห็วจีน ตอนนี้รถขับอ้อมวนไปหาทางเข้า จะมีป้ายบอกทางไปโรงงานทำอิฐ นั่นแหละทางไปบ้านของป้า
ผมรู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆ ขึ้นมา มิน่าถึงมีความรู้สึกเดียวกันกับป่าเห็วที่ท้ายหมู่บ้านของเรา แล้วแถวนี้มันเปลี่ยวมากด้วยมีแต่ป่า ชุมชนใกล้ที่สุด แลเห็นหลังคาอยู่ลิบ ๆ เรานั่งรถผ่านมาได้กว่าสิบนาที แล้วตอนนี้จมูกของผมก็ยังได้กลิ่นธูปเทียน จะว่าติดจมูกก็ไม่เชิง มันโกรกหน้าผม คล้ายลอยมาตามลม พอมองให้ดีผ่านแมกไม้ จะเห็นฮวงซุ้ยอยู่ภายใน ตั้งอยู่อย่างเป็นระเบียบบ้าง ไม่เป็นระเบียบบ้าง อยู่ในพื้นที่โล่งกว้างใหญ่ มีผู้คนยืนกันอยู่ รวมทั้งที่เดินไปมาอยู่ที่นั่น ผมถึงบางอ้อเข้าใจคงเป็นไปตามคำของป้าบอกไว้ ลูกหลานมาไหว้หลุมศพของบรรพบุรุษ
เวลานั้นแม้ยังไม่เย็นมาก ฟ้าหลัวบรรยากาศดูอึมครึม รถเข้ามาจอดใต้ชายคาของโรงงาน เป็นอาคารโล่งกว้าง อากาศถ่ายเทสะดวก อิฐดิบพึ่งออกจากบล็อกจะนำมาวางบนชั้นวาง ใช้เวลาร่วมอาทิตย์อิฐจึงจะแห้งพอ นำไปเข้าเตาเผา ส่วนบ้านพักของป้าอยู่บนเนินข้างโรงงาน มีรถกระบะเก่า ๆ ไว้ให้คนรงานใช้ขับเข้าไปในเมือง พี่แต๋วกับน้องแอนกำลังช่วยพ่อเอาดินเข้าบ่อหมัก เห็นรถเห็นคนก็หยุดมือรีบมาต้อนรับ ช่วยนำสัมภาระเข้าไปเก็บในที่อันควร
พี่นวลถามหาพี่รุ่ง พี่แต๋วบอกว่า พี่รุ่งกลัวพ่อจะว่า เลยหนีไปนอนค้างบ้านเพื่อน เราคุยกันอยู่ภายในบ้านตามประสาเด็ก ส่วนพวกผู้ใหญ่คุยกันที่โรงงาน พี่แต๋วบางครั้งมีสีหน้ากังวล พอพี่นวลถาม เห็นว่าเป็นญาติจึงยอมบอก ตั้งแต่รับคนงานเข้ามาสองคน ชื่อนายอาจกับนายกร แรก ๆ ท่าทางแข็งขันเอาการเอางานดี แต่มีนิสัยเสียคือชอบดมทินเนอร์กับดมกาว และชอบพากันเข้าไปในเขตสุสานในเวลากลางคืน
เรื่องเมื่อก่อน ตอน บ้านป้าอยู่ติดกับฮวงซุ้ย
ป้าเป็งถ้าออกเสียงทางภาคกลางคือป่าเพ็ญ ไปได้แฟน และลงหลักปักแหล่งอยู่อำเภอเมือง เป็นลูกจ้างโรงงานทำอิฐ เจ้าของเป็นคนจีน แฟนของป้าชื่อถวิล แต่จะเรียกติดปากว่าลุงหวิน เป็นคนทางภาคกลางครับ ติดตามเถ้าแก่มาทำมาหากินทางเหนือ จนมาพบรักกับป้าเพ็ญ มีลูกด้วยกันสามคน คนโตเป็นผู้ชายอายุ 15 ปี คนรองเป็นผู้หญิงอายุเท่ากับพี่สาวของผม สองคนนี้เลยสนิทกันมาก ส่วนน้องสาวคนเล็กเป็นผู้หญิง อายุน้อยกว่าผมหนึ่งปี ยังไม่ได้เข้าเรียน
ในยุคที่ถนนหนทางยังไม่สะดวก การเดินทางแม้ระยะสี่สิบกิโลเมตรดูเหมือนจะไกลมาก ผมโชคดีหน่อยก่อนที่จะอายุครบเข้าเรียนชั้นประถม ทางการได้ตัดถนนเข้ามา คือจากอำเภอเมือง ผ่านอำเภอดอกคำไต้ อำเภอจุน ไปถึงอำเภอปง ซึ่งในยุคนั้นยังมีข่าวคราวความไม่สงบจากผู้ก่อร้ายคอมมิวนิสต์ ทำให้ทางการต้องเร่งตัดถนนเชื่อมต่อแต่ละอำเภอ
ตอนนั้นผมยังไม่ประสาความมากนัก มักไปกับเด็กโต ไปเล่นซนกันตามถนนลาดยางมะตอย พวกผู้ใหญ่ต้องเอาไม้เรียวมาคอยไล่ ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจทำไมต้องไล่ ถนนลาดยางมะตอยเป็นอะไรที่ใหม่สำหรับชาวบ้าน พาหนะที่ใช้ส่วนใหญ่จะเป็นเกวียน เวลากีบเท้าของวัวมันย่ำลงไป รวมทั้งเสียงล้อบด มันฟังดูแปลก ๆ นานทีจะมีรถบรรทุกคันใหญ่ของทหารแล่นผ่านมา ในช่วงแรก ๆ ก็มีแต่รถยนต์ของทางการ ภายหลังไฟฟ้าจึงตามเข้ามา แล้วจากนั้นอะไร ๆ ที่ว่าเจริญก็ตามเข้ามา ดีบ้าง เสื่อมบ้าง ไม่เหมาะกับชาวบ้านบ้าง แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก ที่ผมจะนำมาเล่า
มาเข้าเรื่องไปเที่ยวบ้านป้าเพ็ญกันต่อนะครับ ไม่นานที่ถนนพร้อมใช้งาน รถรับจ้างก็เข้ามาวิ่งให้บริการ เป็นอะไรที่ทำให้ชาวบ้านติดต่อกับโลกภายนอกได้สะดวกขึ้น เพราะถ้าใครไปถึงตัวจังหวัดได้ ก็จะมีรถโดยสารต่อไปถึงกรุงเทพฯ
ป้าเพ็ญยึดอาชีพค้ายาเส้น โดยไปซื้อจากแหล่งผลิตในอำเภอปง นำไปเร่ขายต่อ จึงมีเวลาแวะมาเยี่ยมบ้านเกิดได้บ่อยจนเป็นภาพอันชินตา ส่วนงานในโรงงานทำอิฐ ลุงจะทำกับลูกชายสองคนโดยมีคนงานของเถ้าแก่อีกสองคนมาเป็นลูกมือ งานหนักโดยเฉพาะช่วงเผาอิฐ จะต้องเฝ้าเตาทั้งคืน ไม่ให้ไฟแรงไป หรืออ่อนไป แต่ขนาดว่าไฟอ่อน ทั้งเด็กทั้งผู้หญิงยังทนกันไม่ไหว ป้าเพ็ญเลยมาทำการค้า เพื่อหารายได้จุนเจือครอบครัวอีกแรง
ผมนั่งมองวิวสองข้างทางจากบนรถโดยสาร ตั้งแต่ผ่านกว๊านพะเยา และสำนักงานประมงจังหวัด เลี้ยวซ้ายที่แยกประตูชัยจะเข้าสู่ย่านการค้า เป็นอะไรที่ตื่นตาตื่นใจสำหรับเด็กน้อยอย่างผม ผิดกับพี่นวล ที่เคยมาครั้งหนึ่งแล้ว อาคารพาณิชย์สองชั้น ทั้งสร้างจากอิฐถือปืน หรืออาคารสร้างจากไม้ แม้ดูเก่าคร่ำ แต่มากมายไปด้วยของขาย ผู้คนแต่งตัวดูดี สะอาดสะอ้าน เนื้อตัวไม่ดำคล้ำจากงานในท้องไร่ท้องนา แต่สิ่งที่ทำให้ผมสะดุดตา สะดุดกลิ่นสามารถพบเห็นมันได้ตามรายทาง คือตามบ้านเรือน หรือร้านค้าจะมีการตั้งโต๊ะของเซ่นไหว้ กลิ่นของธูปเทียน เคล้ากับกลิ่นของขนมจันอับ ลอยมาแตะจมูกค่อนข้างถี่ ผมจำกลิ่นได้แม่นตั้งแต่ครั้งแรก กลิ่นนี้เอง ที่ทำให้ผมต้องหลอนในภายหลัง
เถ้าแก่ใหญ่เอารถกระบะมารับพวกเรา กำลังยืนคุยกับลุงหวิน เถ้าแก่พูดภาษาไทยคำจีนคำ ฟังเหมือนกำลังบ่น ป้าเพ็ญพาพวกเราลงจากรถ มายืนรอสองคนนั้นพูดคุย เถ้าแก่รูปร่างสูงใหญ่ผิวขาวเหลือง พุงพลุ้ย ส่วนลุงหวินมีรูปร่างผอมแกร็น ผิวคล้ำ หัวจะยุ่ง ๆ สีหน้ากลุ้มใจตลอดเวลา ผิดกับป้าเพ็ญจะอ้วน มีน้ำมีนวล ผมจับใจความ ที่เถ้าแก่ใหญ่พูดว่าลุงไม่ดูแลคนงาน ป้าเพ็ญเลยไปสอบถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น ในตอนนั้นผมมัวสนใจกับสินค้าในสถานีขนส่ง มันมีของเล่นแปลกตาวางขายด้วย เลยไม่ได้ฟัง หรือต่อให้ฟังก็ไม่เข้าใจนัก ว่าผู้ใหญ่พูดเรื่องอะไรกัน
ผมมารู้ภายหลังว่า คนงานของเถ้าแก่สองคน ที่ยังเป็นวัยรุ่นกำลังสร้างปัญหาให้เถ้าแก่ อาจจะรวมถึง ไอ้รุ่ง เถ้าแก่เรียกอย่างนั้นนะ ลูกชายวัยรุ่นของลุงกับป้า อาจถึงขั้นต้องเอาตำรวจมาเอาตัวไป เถ้าแก่มีธุรกิจหลายอย่างให้ดูแล ส่วนโรงงานทำอิฐจะปล่อยให้ลุงหวินดูแล โรงงานอยู่ชานเมือง ติดกับฮวงซุ้ย หรือสุสานจีน มีบ้านพักในตัว ตั้งอยู่ห่างไกลจากชุมชน พอมีคนเข้าไปยุ่มย่ามในเขตสุสาน ทำให้สงสัยคนในโรงงานทำอิฐไว้ก่อน
พวกเราพากันขึ้นนั่งบนกระบะ ผมกับพี่สาวช่วยกันชี้ช่วยกันดูทิวทัศน์สองข้างทาง ตามประสาเด็กเที่ยว ก่อนรถจะบ่ายหน้าออกนอกเมือง ถนนเริ่มเป็นฝุ่นแดง บ้านเรือนเริ่มห่างตา แต่สิ่งที่ทำให้ผมสะดุดตาก็คือเก๋งจีน สิ่งก่อสร้างทรงแปลกตา ผมถามป้าว่ารู้ไหมที่นี่เขามีประเพณีอะไร ผมเห็นของเซ่นไหว้มาตลอดรายทาง ป้าแค่นหัวเราะ ตีนกาขึ้นไม่น้อย บอกอย่างเอ็นดู มันไม่ใช่ประเพณีของคนทางบ้านเราหรอกลูกบ่าวหล้า ช่วงนี้มันเป็นเทศกาลเช็งเม้ง คนที่มีเชื้อสายจีนจะทำของไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษ บางส่วนจะไหว้อยู่ที่บ้าน เลยเห็นคนเชื้อสาวจีนเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ผมเองก็ยังไม่เข้าใจ
ป้าเลยตอบสรุปสั้น ๆ คือไหวผีปู่ย่า บ้านเราก็มีแต่มันคนละเดือน ทำเอาผมเงียบไป เพราะปกติไม่ค่อยชอบกลิ่นธูปกลิ่นเทียนในพิธีกรรมพวกนี้
ก่อนที่รถยนต์จะถึงที่หมาย ข้างถนนจะมีซุ้มประตูแทรกอยู่ในป่าละเมาะ มันโผล่เข้ามาในสายตากะทันหัน ลักษณะเป็นทางเข้าสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ที่ขุดผ่าเนินเขาเข้าไป บนป้ายมีข้อความแปลก ๆ มันดูทรุดโทรม ป่าโดยรอบก็รกรื้อ ดูทึม ๆ แฝงไปด้วยกลิ่นอายความน่ากลัว ด้วยความที่เป็นวัยอยากรู้ ผมได้แต่ชี้ให้ดู พี่นวลรู้ ได้บอกกับผมว่า นั่นแหละคือป้ายทางเข้าป่าเห็วจีน ป้ายที่ซุ้มทางเข้าเป็นภาษาจีน บ้านของป้าจะอยู่ติดป้าเห็วจีน ตอนนี้รถขับอ้อมวนไปหาทางเข้า จะมีป้ายบอกทางไปโรงงานทำอิฐ นั่นแหละทางไปบ้านของป้า
ผมรู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆ ขึ้นมา มิน่าถึงมีความรู้สึกเดียวกันกับป่าเห็วที่ท้ายหมู่บ้านของเรา แล้วแถวนี้มันเปลี่ยวมากด้วยมีแต่ป่า ชุมชนใกล้ที่สุด แลเห็นหลังคาอยู่ลิบ ๆ เรานั่งรถผ่านมาได้กว่าสิบนาที แล้วตอนนี้จมูกของผมก็ยังได้กลิ่นธูปเทียน จะว่าติดจมูกก็ไม่เชิง มันโกรกหน้าผม คล้ายลอยมาตามลม พอมองให้ดีผ่านแมกไม้ จะเห็นฮวงซุ้ยอยู่ภายใน ตั้งอยู่อย่างเป็นระเบียบบ้าง ไม่เป็นระเบียบบ้าง อยู่ในพื้นที่โล่งกว้างใหญ่ มีผู้คนยืนกันอยู่ รวมทั้งที่เดินไปมาอยู่ที่นั่น ผมถึงบางอ้อเข้าใจคงเป็นไปตามคำของป้าบอกไว้ ลูกหลานมาไหว้หลุมศพของบรรพบุรุษ
เวลานั้นแม้ยังไม่เย็นมาก ฟ้าหลัวบรรยากาศดูอึมครึม รถเข้ามาจอดใต้ชายคาของโรงงาน เป็นอาคารโล่งกว้าง อากาศถ่ายเทสะดวก อิฐดิบพึ่งออกจากบล็อกจะนำมาวางบนชั้นวาง ใช้เวลาร่วมอาทิตย์อิฐจึงจะแห้งพอ นำไปเข้าเตาเผา ส่วนบ้านพักของป้าอยู่บนเนินข้างโรงงาน มีรถกระบะเก่า ๆ ไว้ให้คนรงานใช้ขับเข้าไปในเมือง พี่แต๋วกับน้องแอนกำลังช่วยพ่อเอาดินเข้าบ่อหมัก เห็นรถเห็นคนก็หยุดมือรีบมาต้อนรับ ช่วยนำสัมภาระเข้าไปเก็บในที่อันควร
พี่นวลถามหาพี่รุ่ง พี่แต๋วบอกว่า พี่รุ่งกลัวพ่อจะว่า เลยหนีไปนอนค้างบ้านเพื่อน เราคุยกันอยู่ภายในบ้านตามประสาเด็ก ส่วนพวกผู้ใหญ่คุยกันที่โรงงาน พี่แต๋วบางครั้งมีสีหน้ากังวล พอพี่นวลถาม เห็นว่าเป็นญาติจึงยอมบอก ตั้งแต่รับคนงานเข้ามาสองคน ชื่อนายอาจกับนายกร แรก ๆ ท่าทางแข็งขันเอาการเอางานดี แต่มีนิสัยเสียคือชอบดมทินเนอร์กับดมกาว และชอบพากันเข้าไปในเขตสุสานในเวลากลางคืน