1 สิงหาคม 2564
New normal = New Beginning & Now #มุมมองส่วนตัว
ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ช่วงวิกฤติจริงๆในวิถีชีวิตของการใช้ชีวิตในแต่ละวันที่สำคัญและยากก็คือการจัดการอารมณ์การมองโลกมองประเทศไม่ว่าจะมองจาก Bottom Up หรือ Top Down ก็มีความไม่แน่นอนอยู่สูงสำหรับเศรษฐกิจไทย ผมพยายามยอมรับมัน ในความไม่ปกติสุข ผมพยายามใช้ชีวิตให้ปกติสุขที่สุด ในแบบที่พอจะทำได้
เชื้อโควิดทำให้ความขัดแย้งของประชาชนต่อประชาธิปไตยในแบบของรัฐบาลทวีคูณยิ่งขึ้นไปความขัดแย้งต่อต้านในระบบที่เราอยากจะเห็นประสิทธิมากกว่านี้เมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วตามแบบประเทศทุนนิยมไม่ว่าจะเป็นอเมริกาอังกฤษหรือประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์เราเห็นความไม่เป็นธรรมของผู้มีเงินผู้มีอำนาจมีตำแหน่งทำความผิดแล้วถูกตัดสินให้พ้นผิดตลอดจนความขัดแย้งด้านความรวยความจนอายุความลำบากความสบายแตกต่างกันในชนชั้นสังคมเกาะกินจิตใจของคนไทยมานานนับสิบปีจนปะทุเด่นชัดช่วงวิกฤติโควิดการแตกแยกทางความคิดกลายเป็น New Normal ที่ยังยืดเยื้อและไม่ได้จบอย่างรวดเร็ว ผลลัพท์ความไม่พอใจที่เกิดขึ้นเป็นอุปสรรค์ต่อการพัฒนาประเทศ
ณตอนนี้ผมมองอนาคตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยไม่ออกว่าจะดีแบบก้าวกระโดดได้อย่างไรเมื่อเทียบกับในอดีตที่ผ่านมาประเทศไทยมีความสามารถในการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงมากจนถึงเป็นอันดับ 1 ของอาเชียนได้ แต่นั้นมันเมื่อ 40 ปีที่แล้ว ที่เรามีสนามบิน มีตลาดหุ้น มีนิคมอุตสาหกรรม ก้าวหน้ากว่าหลายๆ ประเทศ ความสำเร็จที่มีค่อยๆ หายไปจนตอนนี้เราหมดความได้เปรียบในหลายๆ ด้าน เหลือเพียงโครงการเมกะโปรเจคของภาครัฐที่กระจุกตัวเฉพาะเมืองหลวงและหัวเมืองใหญ่
การส่งออกที่ได้อนิสงค์สอดคล้องกับการฟื้นตัวการบริโภคของต่างประเทศหลายประเทศเศรษฐกิจฟื้นตัวแล้วประชาชนก็กลับมาใช้เงินใช้ชีวิตมาบริโภคมากขี้นกว่าปีที่แล้ว
หากนับตามประเทศที่จัดการโควิดได้แล้วประเทศไทยโควิดจะหมดไปในไม่ช้าจะจะตามหลังไม่เกิน 6 เดือน คือมีเชื้อโควิดอยู่แต่ไม่มีล็อกดาวน์ กิจกรรมกลับมาเป็นปกติ แต่หลังจากนี้ยังจะต้องผ่านความลำบากทางเศรษฐกิจอีกมากมายที่ต้องเจอ
New Beginning ของโอกาสที่ยังเหลืออยู่ของเศรษฐกิจยุคเก่าที่เรามี ปัจจุบันตลาดหุ้นของประเทศไทยยังคงถูกชี้นำด้วยหุ้นกลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคาร กลุ่มค้าปลีก ซึ่งเป็นกลุ่มเดิมๆ กิน Market Cap ครึ่งนึ่งของทั้งประเทศ ซึ่งบริษัทเหล่านี้ ในอนาคตก็คงไม่ได้เปลี่ยนแปลงการทำธุรกิจอะไร อาจจะเร็วขึ้น ผลิตได้มากขึ้น แต่ทางเทคโนโลยีอุตสาหกรรมก็ไม่ได้เปลี่ยนไป
โครงการที่ไทยกำลังพัฒนาอยู่ตอนนี้ เป็นMega Project ได้แก่ ท่าเรือ สนามบิน มอเตอร์เวย์ รถไฟฟ้าความเร็วสูง โครงการ EEC, โครงการแลนด์บริจด์ อันดามัน เส้นทางราง ไม่ได้ส่งผลโดยรวมต่อทั้งประเทศไทย แต่ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้เฉพาะกลุ่ม เฉพาะจังหวัดที่เกิดขึ้นในกลุ่มที่อยู่ในเขตเศรษฐกิจใหม่ นั้นคือกลุ่มที่ยังไปต่อได้
ส่วนกลุ่มที่ไม่ไหว คือกลุ่มที่ใช้คนจำนวนมากขาดเทคโลยี เมื่อไปต่อไม่ได้จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เช่น กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มการเกษตร รวมทั่งกลุ่มที่ล้าหลังอย่างกลุ่มของธนาคาร
โลกของคนยุคใหม่ได้เปลี่ยนไปแล้ว นักลงทุนไม่ต้องยืดติดกับสถานที่หรือประเทศ คนรุ่นใหม่สามารถหาข้อมูลการลุงทุนต่างประเทศเพื่อเลือกลงทุนในแบบที่ต้องการได้ รวมถึงย้ายประเทศ ย้ายที่อยู่อาศัยเลยก็ได้ หลายคนอาจจะอาศัยอยู่อีกประเทศ ทำงานอีกประเทศ และก็ลงทุนในอีกประเทศ ที่แตกต่างกันเปลี่ยนแปลงบนโลกใบเดียวกันคือ ถ้าเค้าไม่พอใจก็โยกเงินไปอีกทีนึงได้อย่างง่ายดาย
ทางรอดของเศรษฐกิจไทย นโยบายการลงทุนจะออกมาต่อไปนี้ ต้องเปิดรับคนต่างชาติมากขึ้น ปลดล็อกระหว่างกฎหมายเพื่อเอื้อต่อการย้าย มาก่อร่างสร้างประโยชน์ สร้างเศรษฐกิจให้แก่ไทยมากขึ้น เพื่อรองรับโครงสร้างที่มี หรือที่เรากำลังทำให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด และการอยู่อาศัย การทำงาน การลงทุนข้ามประเทศนี้จะเป็นเทรนกระแสที่กำลังจะเกิดขึ้นบนโลกไปนี้
บริษัทภายในไม่ได้ได้แข่งขันกันระหว่างบริษัทในประเทศเท่านั้นแต่เป็นการแข่งกันระหว่างบริษัทในโลก โดยไม่ได้ยืดติดกับประเทศใด ประเทศนึง
การฟืนตัวทางเศรษฐกิจของโลก ที่เกิดขึ้นเป็นรูปตัวเค (ระดับการฟื้นตัวที่ไม่เท่ากัน) แสดงถึงความสามารถในการรับมือกับโควิดของแต่ละประเทศที่ไม่เท่าเทียมกัน รวมถึงแต่ละอุตสาหกรรม นโยบายกระจายโอกาสและความเท่าเทียมกันยังไม่ได้ถูกพัฒนา
สุดท้ายเราคงแก้ไขกฎระเบียบกันอีกมาก เพื่อกระจายความเท่าเทียมกัน พร้อมกับพัฒนาโครงสร้างไปยังจังหวัดที่ไม่มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เนื่องจากโครงสร้างในการทำธุรกิจไม่เอื้ออำนวย
การวัดผลทางเศรษฐกิจของประเทศจะไม่ก่อผล เมื่อความเจริญอยู่แต่ในหัวเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพมหานคร และ GDP ในต่างจังหวัดไม่มีความหมายในการกระจายความเจริญไปอย่างทั่วถึง
ช่วงนี้ก็คงจะประคับประคองตัวไปก่อน สำหรับคนที่มีหุ้นหรือไม่มีหุ้นอยู่
สิ่งที่ดีที่สุด อาจจะเป็นการอยู่เฉยๆ พักในเรื่องการลงทุนไปสักระยะ เพื่อดูแลเรื่องการชีวิตการเป็นอยู่และระวังการติดเชื้อกันนั้นคือสิ่งสำคัญกว่า
#สินธรนาวี
New normal = New Beginning & Now #มุมมองส่วนตัว
New normal = New Beginning & Now #มุมมองส่วนตัว
ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ช่วงวิกฤติจริงๆในวิถีชีวิตของการใช้ชีวิตในแต่ละวันที่สำคัญและยากก็คือการจัดการอารมณ์การมองโลกมองประเทศไม่ว่าจะมองจาก Bottom Up หรือ Top Down ก็มีความไม่แน่นอนอยู่สูงสำหรับเศรษฐกิจไทย ผมพยายามยอมรับมัน ในความไม่ปกติสุข ผมพยายามใช้ชีวิตให้ปกติสุขที่สุด ในแบบที่พอจะทำได้
เชื้อโควิดทำให้ความขัดแย้งของประชาชนต่อประชาธิปไตยในแบบของรัฐบาลทวีคูณยิ่งขึ้นไปความขัดแย้งต่อต้านในระบบที่เราอยากจะเห็นประสิทธิมากกว่านี้เมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วตามแบบประเทศทุนนิยมไม่ว่าจะเป็นอเมริกาอังกฤษหรือประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์เราเห็นความไม่เป็นธรรมของผู้มีเงินผู้มีอำนาจมีตำแหน่งทำความผิดแล้วถูกตัดสินให้พ้นผิดตลอดจนความขัดแย้งด้านความรวยความจนอายุความลำบากความสบายแตกต่างกันในชนชั้นสังคมเกาะกินจิตใจของคนไทยมานานนับสิบปีจนปะทุเด่นชัดช่วงวิกฤติโควิดการแตกแยกทางความคิดกลายเป็น New Normal ที่ยังยืดเยื้อและไม่ได้จบอย่างรวดเร็ว ผลลัพท์ความไม่พอใจที่เกิดขึ้นเป็นอุปสรรค์ต่อการพัฒนาประเทศ
ณตอนนี้ผมมองอนาคตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยไม่ออกว่าจะดีแบบก้าวกระโดดได้อย่างไรเมื่อเทียบกับในอดีตที่ผ่านมาประเทศไทยมีความสามารถในการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงมากจนถึงเป็นอันดับ 1 ของอาเชียนได้ แต่นั้นมันเมื่อ 40 ปีที่แล้ว ที่เรามีสนามบิน มีตลาดหุ้น มีนิคมอุตสาหกรรม ก้าวหน้ากว่าหลายๆ ประเทศ ความสำเร็จที่มีค่อยๆ หายไปจนตอนนี้เราหมดความได้เปรียบในหลายๆ ด้าน เหลือเพียงโครงการเมกะโปรเจคของภาครัฐที่กระจุกตัวเฉพาะเมืองหลวงและหัวเมืองใหญ่
การส่งออกที่ได้อนิสงค์สอดคล้องกับการฟื้นตัวการบริโภคของต่างประเทศหลายประเทศเศรษฐกิจฟื้นตัวแล้วประชาชนก็กลับมาใช้เงินใช้ชีวิตมาบริโภคมากขี้นกว่าปีที่แล้ว
หากนับตามประเทศที่จัดการโควิดได้แล้วประเทศไทยโควิดจะหมดไปในไม่ช้าจะจะตามหลังไม่เกิน 6 เดือน คือมีเชื้อโควิดอยู่แต่ไม่มีล็อกดาวน์ กิจกรรมกลับมาเป็นปกติ แต่หลังจากนี้ยังจะต้องผ่านความลำบากทางเศรษฐกิจอีกมากมายที่ต้องเจอ
New Beginning ของโอกาสที่ยังเหลืออยู่ของเศรษฐกิจยุคเก่าที่เรามี ปัจจุบันตลาดหุ้นของประเทศไทยยังคงถูกชี้นำด้วยหุ้นกลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคาร กลุ่มค้าปลีก ซึ่งเป็นกลุ่มเดิมๆ กิน Market Cap ครึ่งนึ่งของทั้งประเทศ ซึ่งบริษัทเหล่านี้ ในอนาคตก็คงไม่ได้เปลี่ยนแปลงการทำธุรกิจอะไร อาจจะเร็วขึ้น ผลิตได้มากขึ้น แต่ทางเทคโนโลยีอุตสาหกรรมก็ไม่ได้เปลี่ยนไป
โครงการที่ไทยกำลังพัฒนาอยู่ตอนนี้ เป็นMega Project ได้แก่ ท่าเรือ สนามบิน มอเตอร์เวย์ รถไฟฟ้าความเร็วสูง โครงการ EEC, โครงการแลนด์บริจด์ อันดามัน เส้นทางราง ไม่ได้ส่งผลโดยรวมต่อทั้งประเทศไทย แต่ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้เฉพาะกลุ่ม เฉพาะจังหวัดที่เกิดขึ้นในกลุ่มที่อยู่ในเขตเศรษฐกิจใหม่ นั้นคือกลุ่มที่ยังไปต่อได้
ส่วนกลุ่มที่ไม่ไหว คือกลุ่มที่ใช้คนจำนวนมากขาดเทคโลยี เมื่อไปต่อไม่ได้จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เช่น กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มการเกษตร รวมทั่งกลุ่มที่ล้าหลังอย่างกลุ่มของธนาคาร
โลกของคนยุคใหม่ได้เปลี่ยนไปแล้ว นักลงทุนไม่ต้องยืดติดกับสถานที่หรือประเทศ คนรุ่นใหม่สามารถหาข้อมูลการลุงทุนต่างประเทศเพื่อเลือกลงทุนในแบบที่ต้องการได้ รวมถึงย้ายประเทศ ย้ายที่อยู่อาศัยเลยก็ได้ หลายคนอาจจะอาศัยอยู่อีกประเทศ ทำงานอีกประเทศ และก็ลงทุนในอีกประเทศ ที่แตกต่างกันเปลี่ยนแปลงบนโลกใบเดียวกันคือ ถ้าเค้าไม่พอใจก็โยกเงินไปอีกทีนึงได้อย่างง่ายดาย
ทางรอดของเศรษฐกิจไทย นโยบายการลงทุนจะออกมาต่อไปนี้ ต้องเปิดรับคนต่างชาติมากขึ้น ปลดล็อกระหว่างกฎหมายเพื่อเอื้อต่อการย้าย มาก่อร่างสร้างประโยชน์ สร้างเศรษฐกิจให้แก่ไทยมากขึ้น เพื่อรองรับโครงสร้างที่มี หรือที่เรากำลังทำให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด และการอยู่อาศัย การทำงาน การลงทุนข้ามประเทศนี้จะเป็นเทรนกระแสที่กำลังจะเกิดขึ้นบนโลกไปนี้
บริษัทภายในไม่ได้ได้แข่งขันกันระหว่างบริษัทในประเทศเท่านั้นแต่เป็นการแข่งกันระหว่างบริษัทในโลก โดยไม่ได้ยืดติดกับประเทศใด ประเทศนึง
การฟืนตัวทางเศรษฐกิจของโลก ที่เกิดขึ้นเป็นรูปตัวเค (ระดับการฟื้นตัวที่ไม่เท่ากัน) แสดงถึงความสามารถในการรับมือกับโควิดของแต่ละประเทศที่ไม่เท่าเทียมกัน รวมถึงแต่ละอุตสาหกรรม นโยบายกระจายโอกาสและความเท่าเทียมกันยังไม่ได้ถูกพัฒนา
สุดท้ายเราคงแก้ไขกฎระเบียบกันอีกมาก เพื่อกระจายความเท่าเทียมกัน พร้อมกับพัฒนาโครงสร้างไปยังจังหวัดที่ไม่มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เนื่องจากโครงสร้างในการทำธุรกิจไม่เอื้ออำนวย
การวัดผลทางเศรษฐกิจของประเทศจะไม่ก่อผล เมื่อความเจริญอยู่แต่ในหัวเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพมหานคร และ GDP ในต่างจังหวัดไม่มีความหมายในการกระจายความเจริญไปอย่างทั่วถึง
ช่วงนี้ก็คงจะประคับประคองตัวไปก่อน สำหรับคนที่มีหุ้นหรือไม่มีหุ้นอยู่
สิ่งที่ดีที่สุด อาจจะเป็นการอยู่เฉยๆ พักในเรื่องการลงทุนไปสักระยะ เพื่อดูแลเรื่องการชีวิตการเป็นอยู่และระวังการติดเชื้อกันนั้นคือสิ่งสำคัญกว่า
#สินธรนาวี