ยา วิตามิน และอาหารเสริมตัวไหน ควร-ไม่ควรกินคู่กัน 💊
การรับประทานวิตามินและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเป็นเรื่องที่พบได้ทั่วไปในปัจจุบัน เพราะทุกคนต่างก็อยากดูแลตัวเองให้ดูดีและฟิตแอนด์เฟิร์มอยู่เสมอ โดยเฉพาะสมุนไพรและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีสารสกัดจากธรรมชาติ เพราะเชื่อว่ามีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากกว่าการใช้ยาแผนปัจจุบัน
แต่หลายคนกลับต้องเจอกับปัญหาที่เกิดจากการใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ เช่น รับประทานเกินขนาดหรือต่อเนื่องเกินไปจนส่งผลเสียต่อตับ รวมถึงผลข้างเคียงอื่นๆ ที่เกิดจากการใช้สมุนไพรที่ไม่ถูกวิธี ซึ่งปัญหาที่พบได้บ่อยที่สุดก็คือ อาการไม่พึงประสงค์ของผู้ที่รับประทานสมุนไพรร่วมกับยาที่ใช้ในการรักษาโรคประจำตัวหรือยาแผนปัจจุบันบางประเภท ซึ่งบางครั้งก็อาจรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
ดังนั้น ก่อนที่จะรับประทานยา วิตามิน สมุนไพรหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใดๆ ร่วมกัน เราจึงควรศึกษาให้ดีก่อน ว่าแต่ละอย่างมีสรรพคุณอย่างไร ถ้ารับประทานร่วมกันแล้วจะก่อให้ประโยชน์หรือโทษอย่างไรบ้าง จะได้ระมัดระวังและรับประทานได้อย่างถูกวิธี เพื่อสุขภาพร่างกายของตัวเราเอง
5 กลุ่มยา วิตามินและอาหาร ที่ไม่ควรรับประทานร่วมกัน ❌
1.ยารักษาเบาหวานหรืออินซูลิน
❌ไม่ควรรับประทานร่วมกับ : มะระขี้นก ว่านหางจระเข้ โสม เม็ดแมงลัก พืชตระกูลลูกซัด ผักเชียงดา และอาหารเสริมที่มีแร่ธาตุโครเมียม
👎ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น : กระตุ้นยาให้ออกฤทธิ์มากขึ้น ทำให้น้ำตาลในเลือดลดลงมากเกินไป ส่งผลให้หัวใจเต้นเร็ว เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ ตาพร่า เหงื่อออกมาก หิวบ่อย และอ่อนเพลีย
2.ยาลดความดันโลหิตและยาลดไขมันในเลือด
❌ไม่ควรรับประทานร่วมกับ : น้ำเกรปฟรุต
👎ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น : ทำให้ปริมาณยาในกระแสเลือดสูงเกินไป จนอาจกลายเป็นพิษได้
3.ยาละลายลิ่มเลือด หรือยาต้านการแข็งตัวของเลือด
❌ไม่ควรรับประทานร่วมกับ : น้ำมันกาโนล่า น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันปลา น้ำมันดอกอีฟนิ่งพริมโรส ตังกุย กระเทียม แปะก้วย และขิง
👎ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น : ทำให้เลือดออกง่ายขึ้น ถ้ารับประทานในปริมาณที่มากเกินไป แต่ยังสามารถใช้ในการปรุงอาหารได้ตามปกติ แต่ไม่ควรรับประทานในรูปของอาหารเสริมหรือสารสกัดเข้มข้น
4.ยาต้านการแข็งตัวของเลือด
❌ไม่ควรรับประทานร่วมกับ : ผักใบเขียว ใบยอ ชาเขียว ถั่วเหลือง บรอกโคลี และอาหารเสริมโคเอ็นไซม์คิวเท็น
👎ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น : ต้านการออกฤทธิ์ของยา ทำให้ระดับยาในเลือดไม่เพียงพอต่อการรักษา
5.ยาปฏิชีวนะในกลุ่ม fluoroquinolone และกลุ่ม tetracycline
❌ไม่ควรรับประทานร่วมกับ : นม โยเกิร์ต ยาลดกรด ยาเคลือบกระเพาะอาหาร และแคลเซียม
👎ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น : ลดการดูดซึมของยา ทำให้ระดับยาในเลือดไม่เพียงพอต่อการรักษา
5 กลุ่มยา วิตามินและอาหาร ที่ควรรับประทานร่วมกัน ✔️
1.วิตามินเอ ดี อี และเค
✔️
ควรรับประทาน : หลังอาหารมื้อใหญ่ หรือมื้อที่มีไขมันจากสัตว์หรือพืช รวมถึงอาหารเสริมในกลุ่มน้ำมันปลา
👍ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น : ช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินได้ดี
2.ธาตุเหล็ก
✔️
ควรรับประทานร่วมกับ : วิตามินซี หรือผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว
👍ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น : ช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีขึ้น
3.แคลเซียม
✔️
ควรรับประทานร่วมกับ : วิตามินดี หรืออาหารที่อุดมด้วยวิตามินดี เช่น เห็ด นม ปลา ชีส
👍ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น : ช่วยให้ลำไส้เล็กดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น
4.คอลลาเจนเปปไทด์ ชนิดโมเลกุลเล็ก
✔️
ควรรับประทานร่วมกับ : วิตามินซี
👍ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น : ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนของผิวหนัง ทำให้ผิวไม่เหี่ยวย่น
5.โคเอนไซม์คิวเท็น
✔️
ควรรับประทาน : หลังอาหารมื้อใหญ่ หรือมื้อที่มีไขมันจากสัตว์หรือพืช
👍ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น : ช่วยให้ร่างกายดูดซึมโคเอนไซม์คิวเท็นได้ดีขึ้น
ยา วิตามิน สมุนไพรและอาหารเสริม เปรียบเสมือนดาบสองคม ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนที่จะซื้อผลิตภัณฑ์เหล่านี้มารับประทาน โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว ควรเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะถ้าเราซื้อมารับประทานเองแบบสุ่มสี่สุ่มห้า ก็อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงได้
ในปัจจุบันสามารถตรวจวัดระดับวิตามินและแร่ธาตุในร่างกายได้ด้วยการเจาะเลือด ซึ่งจะทำให้รู้ว่า เราขาดวิตามินหรือแร่ธาตุอะไรหรือไม่ โดยคุณหมอจะช่วยให้คำแนะนำและวางแผนในการเลือกรับประทานอาหารและอาหารเสริมแบบเฉพาะบุคคล ซึ่งจะทำให้เราได้รับวิตามินและแร่ธาตุที่ตรงกับความต้องการของร่างกายอย่างแท้จริง ถ้าใครสนใจสามารถดูรายละเอียดได้จาก
ลิ้งค์ที่พี่หมอแนบมาให้เลยนะครับ
ไม่ว่าใครก็อยากมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน โดยเฉพาะในเวลานี้ ซึ่งสิ่งที่จะช่วยเราได้ ไม่ใช่การรับประทานยาหรืออาหารเสริม แต่คือ การออกกำลังกาย การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ รวมถึงการพักผ่อนที่เพียงพอ ที่สำคัญ ต้องดูแลจิตใจไม่ให้เครียดจนเกินไปด้วยนะครับ ถ้าทำได้ตามนี้ พี่หมอรับรองว่า สุขภาพที่ดีอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน 💪💪💪
ยา วิตามิน และอาหารเสริมตัวไหน ควร-ไม่ควรกินคู่กัน
การรับประทานวิตามินและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเป็นเรื่องที่พบได้ทั่วไปในปัจจุบัน เพราะทุกคนต่างก็อยากดูแลตัวเองให้ดูดีและฟิตแอนด์เฟิร์มอยู่เสมอ โดยเฉพาะสมุนไพรและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีสารสกัดจากธรรมชาติ เพราะเชื่อว่ามีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากกว่าการใช้ยาแผนปัจจุบัน
แต่หลายคนกลับต้องเจอกับปัญหาที่เกิดจากการใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ เช่น รับประทานเกินขนาดหรือต่อเนื่องเกินไปจนส่งผลเสียต่อตับ รวมถึงผลข้างเคียงอื่นๆ ที่เกิดจากการใช้สมุนไพรที่ไม่ถูกวิธี ซึ่งปัญหาที่พบได้บ่อยที่สุดก็คือ อาการไม่พึงประสงค์ของผู้ที่รับประทานสมุนไพรร่วมกับยาที่ใช้ในการรักษาโรคประจำตัวหรือยาแผนปัจจุบันบางประเภท ซึ่งบางครั้งก็อาจรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
ดังนั้น ก่อนที่จะรับประทานยา วิตามิน สมุนไพรหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใดๆ ร่วมกัน เราจึงควรศึกษาให้ดีก่อน ว่าแต่ละอย่างมีสรรพคุณอย่างไร ถ้ารับประทานร่วมกันแล้วจะก่อให้ประโยชน์หรือโทษอย่างไรบ้าง จะได้ระมัดระวังและรับประทานได้อย่างถูกวิธี เพื่อสุขภาพร่างกายของตัวเราเอง
5 กลุ่มยา วิตามินและอาหาร ที่ไม่ควรรับประทานร่วมกัน ❌
❌ไม่ควรรับประทานร่วมกับ : มะระขี้นก ว่านหางจระเข้ โสม เม็ดแมงลัก พืชตระกูลลูกซัด ผักเชียงดา และอาหารเสริมที่มีแร่ธาตุโครเมียม
👎ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น : กระตุ้นยาให้ออกฤทธิ์มากขึ้น ทำให้น้ำตาลในเลือดลดลงมากเกินไป ส่งผลให้หัวใจเต้นเร็ว เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ ตาพร่า เหงื่อออกมาก หิวบ่อย และอ่อนเพลีย
2.ยาลดความดันโลหิตและยาลดไขมันในเลือด
❌ไม่ควรรับประทานร่วมกับ : น้ำเกรปฟรุต
👎ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น : ทำให้ปริมาณยาในกระแสเลือดสูงเกินไป จนอาจกลายเป็นพิษได้
3.ยาละลายลิ่มเลือด หรือยาต้านการแข็งตัวของเลือด
❌ไม่ควรรับประทานร่วมกับ : น้ำมันกาโนล่า น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันปลา น้ำมันดอกอีฟนิ่งพริมโรส ตังกุย กระเทียม แปะก้วย และขิง
👎ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น : ทำให้เลือดออกง่ายขึ้น ถ้ารับประทานในปริมาณที่มากเกินไป แต่ยังสามารถใช้ในการปรุงอาหารได้ตามปกติ แต่ไม่ควรรับประทานในรูปของอาหารเสริมหรือสารสกัดเข้มข้น
4.ยาต้านการแข็งตัวของเลือด
❌ไม่ควรรับประทานร่วมกับ : ผักใบเขียว ใบยอ ชาเขียว ถั่วเหลือง บรอกโคลี และอาหารเสริมโคเอ็นไซม์คิวเท็น
👎ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น : ต้านการออกฤทธิ์ของยา ทำให้ระดับยาในเลือดไม่เพียงพอต่อการรักษา
5.ยาปฏิชีวนะในกลุ่ม fluoroquinolone และกลุ่ม tetracycline
❌ไม่ควรรับประทานร่วมกับ : นม โยเกิร์ต ยาลดกรด ยาเคลือบกระเพาะอาหาร และแคลเซียม
👎ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น : ลดการดูดซึมของยา ทำให้ระดับยาในเลือดไม่เพียงพอต่อการรักษา
5 กลุ่มยา วิตามินและอาหาร ที่ควรรับประทานร่วมกัน ✔️
✔️ควรรับประทาน : หลังอาหารมื้อใหญ่ หรือมื้อที่มีไขมันจากสัตว์หรือพืช รวมถึงอาหารเสริมในกลุ่มน้ำมันปลา
👍ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น : ช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินได้ดี
2.ธาตุเหล็ก
✔️ควรรับประทานร่วมกับ : วิตามินซี หรือผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว
👍ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น : ช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีขึ้น
3.แคลเซียม
✔️ควรรับประทานร่วมกับ : วิตามินดี หรืออาหารที่อุดมด้วยวิตามินดี เช่น เห็ด นม ปลา ชีส
👍ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น : ช่วยให้ลำไส้เล็กดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น
4.คอลลาเจนเปปไทด์ ชนิดโมเลกุลเล็ก
✔️ควรรับประทานร่วมกับ : วิตามินซี
👍ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น : ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนของผิวหนัง ทำให้ผิวไม่เหี่ยวย่น
5.โคเอนไซม์คิวเท็น
✔️ควรรับประทาน : หลังอาหารมื้อใหญ่ หรือมื้อที่มีไขมันจากสัตว์หรือพืช
👍ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น : ช่วยให้ร่างกายดูดซึมโคเอนไซม์คิวเท็นได้ดีขึ้น
ยา วิตามิน สมุนไพรและอาหารเสริม เปรียบเสมือนดาบสองคม ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนที่จะซื้อผลิตภัณฑ์เหล่านี้มารับประทาน โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว ควรเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะถ้าเราซื้อมารับประทานเองแบบสุ่มสี่สุ่มห้า ก็อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงได้
ในปัจจุบันสามารถตรวจวัดระดับวิตามินและแร่ธาตุในร่างกายได้ด้วยการเจาะเลือด ซึ่งจะทำให้รู้ว่า เราขาดวิตามินหรือแร่ธาตุอะไรหรือไม่ โดยคุณหมอจะช่วยให้คำแนะนำและวางแผนในการเลือกรับประทานอาหารและอาหารเสริมแบบเฉพาะบุคคล ซึ่งจะทำให้เราได้รับวิตามินและแร่ธาตุที่ตรงกับความต้องการของร่างกายอย่างแท้จริง ถ้าใครสนใจสามารถดูรายละเอียดได้จากลิ้งค์ที่พี่หมอแนบมาให้เลยนะครับ
ไม่ว่าใครก็อยากมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน โดยเฉพาะในเวลานี้ ซึ่งสิ่งที่จะช่วยเราได้ ไม่ใช่การรับประทานยาหรืออาหารเสริม แต่คือ การออกกำลังกาย การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ รวมถึงการพักผ่อนที่เพียงพอ ที่สำคัญ ต้องดูแลจิตใจไม่ให้เครียดจนเกินไปด้วยนะครับ ถ้าทำได้ตามนี้ พี่หมอรับรองว่า สุขภาพที่ดีอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน 💪💪💪