มีชาวพุทธจำนวนมากที่เข้าใจผิด คิดว่า "ความอยาก" กับคำว่า "ตัณหา" (ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์หรือสมุทัย) คือสิ่งเดียวกัน
คำว่า ตัณหา ไม่ใช่ความอยากทั้งหมด แต่หมายถึง
ความอยากที่เป็นอกุศล เท่านั้น
ส่วน
ความอยากที่เป็นกุศล นั่นไม่ใช่ตัณหา เราเรียกว่า "ฉันทะ"
ผมจำได้ว่า ในอดีตเมื่อนานมาแล้ว มีคำพูดหนึ่งที่เกิดจากคนมีชื่อเสียงคนหนึ่งคิดขึ้นมา (ผมจำชื่อไม่ได้) ใช้กันติดปากและน่าจะยังถูกนำมาใช้กันจนถึงทุกวันนี้ เพราะฟังดูเท่ห์ดี นั่นคือ "อย่า อยู่ อย่าง อยาก" ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ผิดหลายอย่าง ถ้าพูดเป็นภาษาชาวบ้านเรียกว่า ผิด 2 เด้ง
ผิดเด้งแรกหรือผิดเรื่องแรกก็เรื่องความหมายของคำว่าความอยาก ที่มีทั้งตัณหาและฉันทะ ไม่ใช่ความอยากทั้งหมดตามที่กล่าวมาแล้ว
ผิดที่สองก็คือ ในการปฏิบัติธรรมนั้น เราไม่ได้ละที่ความอยากโดยตรง เช่น เกิดความอยากอะไรขึ้นมาก็ไปละมัน บังคับตัวเราไม่ให้อยากอะไรทั้งสิ้น นั่นไม่ใช่การปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง
สิ่งที่เราควรละ ควรบังคับควบคุมตัวเองไม่ให้ทำสิ่งนั้น ไม่ใช่ความอยาก แต่คือ "สิ่งที่เป็นอกุศล" เรียกว่า สัมมาวายามะ (หรือสัมมัปปธาน 4)
ในขณะที่เวลาที่มีความอยากที่เกิดขึ้น เช่น อยากได้ไอโฟน อยากได้โน่นได้นี่ อยากกินโน่นกินนี่ อยากด่าคน อยากตอบกระทู้ อยากตั้งกระทุ้ อยากแสดงความเห็น ฯลฯ หากเป็นการปฏิบัติ ให้เรา "รู้ว่าอยาก" โดยที่ไม่ต้องไปสนใจเรื่องละหรือไม่ละ
ตอนที่รู้ว่าอยาก (หรือรู้ว่าร่างกายที่เรามาอาศัยอยู่นี้มันเกิดความอยาก) นั่นต่างหากที่เป็นการปฏิบัติ เรียกว่าเจริญปัญญา ดังนั้น ถ้าเรามัวเสียเวลาไปละมัน เท่ากับว่าเราละทิ้งการปฏิบัติไปด้วย
และตอนที่เรารู้ว่าอยากนั้น เท่ากับว่าเรามีสติ เราสามารถพิจารณาได้ว่าสิ่งที่อยากนั้นเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล เช่น อยากโพสต์ด่าคน อยากโพสต์ชื่นชมคน อยากให้กำลังใจ ฯลฯ ตอนนั้นเราตัดสินใจได้ว่าจะทำหรือไม่ทำ ซึ่งเป็นคนละส่วนของการปฏิบัติ
อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่ผมพูดเรื่องวิธีการปฏิบัติ ผมจะเน้นย้ำเสมอว่าให้ฟังจากครูบาอาจารย์ ผมเพียงยกจุดที่สำคัญมาพูดถึงเท่านั้น เวลาที่ฟังครูบาอาจารย์เทศน์ผมมั่นใจว่าท่านจะพูดสิ่งที่กำลังพูดถึงนี้ ซึ่งถ้าใครจับประเด็นที่ผมพูดถึงนี้ได้ ตอนที่ฟังน่าจะเข้าใจง่ายขึ้น ไม่มองข้ามจุดนั้นไป
ส่วนเรื่องความหมายของคำว่าความอยาก (ตัณหากับฉันทะ) แนะนำให้ฟังจากหลวงพ่อปยุตโตจากคลิปต่อไปนี้
มาทำความเข้าใจคำว่า "ความอยาก"
คำว่า ตัณหา ไม่ใช่ความอยากทั้งหมด แต่หมายถึง ความอยากที่เป็นอกุศล เท่านั้น
ส่วนความอยากที่เป็นกุศล นั่นไม่ใช่ตัณหา เราเรียกว่า "ฉันทะ"
ผมจำได้ว่า ในอดีตเมื่อนานมาแล้ว มีคำพูดหนึ่งที่เกิดจากคนมีชื่อเสียงคนหนึ่งคิดขึ้นมา (ผมจำชื่อไม่ได้) ใช้กันติดปากและน่าจะยังถูกนำมาใช้กันจนถึงทุกวันนี้ เพราะฟังดูเท่ห์ดี นั่นคือ "อย่า อยู่ อย่าง อยาก" ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ผิดหลายอย่าง ถ้าพูดเป็นภาษาชาวบ้านเรียกว่า ผิด 2 เด้ง
ผิดเด้งแรกหรือผิดเรื่องแรกก็เรื่องความหมายของคำว่าความอยาก ที่มีทั้งตัณหาและฉันทะ ไม่ใช่ความอยากทั้งหมดตามที่กล่าวมาแล้ว
ผิดที่สองก็คือ ในการปฏิบัติธรรมนั้น เราไม่ได้ละที่ความอยากโดยตรง เช่น เกิดความอยากอะไรขึ้นมาก็ไปละมัน บังคับตัวเราไม่ให้อยากอะไรทั้งสิ้น นั่นไม่ใช่การปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง
สิ่งที่เราควรละ ควรบังคับควบคุมตัวเองไม่ให้ทำสิ่งนั้น ไม่ใช่ความอยาก แต่คือ "สิ่งที่เป็นอกุศล" เรียกว่า สัมมาวายามะ (หรือสัมมัปปธาน 4)
ในขณะที่เวลาที่มีความอยากที่เกิดขึ้น เช่น อยากได้ไอโฟน อยากได้โน่นได้นี่ อยากกินโน่นกินนี่ อยากด่าคน อยากตอบกระทู้ อยากตั้งกระทุ้ อยากแสดงความเห็น ฯลฯ หากเป็นการปฏิบัติ ให้เรา "รู้ว่าอยาก" โดยที่ไม่ต้องไปสนใจเรื่องละหรือไม่ละ
ตอนที่รู้ว่าอยาก (หรือรู้ว่าร่างกายที่เรามาอาศัยอยู่นี้มันเกิดความอยาก) นั่นต่างหากที่เป็นการปฏิบัติ เรียกว่าเจริญปัญญา ดังนั้น ถ้าเรามัวเสียเวลาไปละมัน เท่ากับว่าเราละทิ้งการปฏิบัติไปด้วย
และตอนที่เรารู้ว่าอยากนั้น เท่ากับว่าเรามีสติ เราสามารถพิจารณาได้ว่าสิ่งที่อยากนั้นเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล เช่น อยากโพสต์ด่าคน อยากโพสต์ชื่นชมคน อยากให้กำลังใจ ฯลฯ ตอนนั้นเราตัดสินใจได้ว่าจะทำหรือไม่ทำ ซึ่งเป็นคนละส่วนของการปฏิบัติ
อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่ผมพูดเรื่องวิธีการปฏิบัติ ผมจะเน้นย้ำเสมอว่าให้ฟังจากครูบาอาจารย์ ผมเพียงยกจุดที่สำคัญมาพูดถึงเท่านั้น เวลาที่ฟังครูบาอาจารย์เทศน์ผมมั่นใจว่าท่านจะพูดสิ่งที่กำลังพูดถึงนี้ ซึ่งถ้าใครจับประเด็นที่ผมพูดถึงนี้ได้ ตอนที่ฟังน่าจะเข้าใจง่ายขึ้น ไม่มองข้ามจุดนั้นไป
ส่วนเรื่องความหมายของคำว่าความอยาก (ตัณหากับฉันทะ) แนะนำให้ฟังจากหลวงพ่อปยุตโตจากคลิปต่อไปนี้