สวนดุสิตโพลมองรบ.แก้โควิดไม่ถูกทางคนตกงาน
https://www.innnews.co.th/news/news-general/news_137773/
สวนดุสิตโพล คนโอดโควิด ทำตกงานเศรษฐกิจพัง มองรัฐบาลแก้ไม่ถูกทาง ขอวัคซีนคุณภาพให้ภาคเอกชนช่วย
“สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,744 คน เรื่อง ทำอย่างไร คนไทยจึงจะเอาชนะโควิด-19 ได้ ระหว่างวันที่ 28 มิถุนายน – 1 กรกฎาคม 2564
เมื่อถามถึงความคิดเห็นประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 กับคนไทยเป็นอย่างไร พบว่า
ร้อยละ 91.95 ระบุ ทำลายเศรษฐกิจ คนตกงาน อยู่อย่างลำบาก
รองลงมาร้อยละ 85.86 ระบุ เผชิญกับโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ ยอดผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น
ร้อยละ 81.78 ระบุ ทำให้ทุกข์ใจ เครียด จิตตก กลัวไม่ได้รักษา บางคนคิด
เมื่อถามความคิดเห็นประชาชนกับการทำงานของรัฐบาล เกี่ยวกับโควิด-19 ถูกทางแล้วหรือยัง พบว่า
ร้อยละ 66.05 ระบุ ยังไม่ถูกทาง
รองลงมา ร้อยละ 20.36 ระบุ ไม่แน่ใจ
ร้อยละ 13.59 ระบุ ถูกทางแล้ว
พร้อมกันนี้ เมื่อถามประชาชนคิดว่า ประเทศไทยควรเดินหน้าอย่างไร จึงจะเอาชนะโควิด-19 พบว่า
ร้อยละ 87.25 ระบุ เร่งจัดหาวัคซีนที่มีคุณภาพ ให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม
รองลงมาร้อยละ 80.16 ระบุ หาทีมสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ไทย สนับสนุนอุปกรณ์เครื่องมือ
ร้อยละ 79.53 ระบุ ต้องหยุดการกระจายของโรคให้ได้ คุมจุดเสี่ยงต่าง ๆ
ทั้งนี้ เมื่อถามว่าประชาชนอยากให้หน่วยงาน/ใคร เป็นผู้นำในการบริหารจัดการโควิด-19 พบว่า
ร้อยละ 67.04 ระบุ กรมควบคุมโรค
รองลงมาร้อยละ 65.16 ระบุ กระทรวงสาธารณสุข
ร้อยละ ระบุ 49.88 ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.)
ท้ายที่สุด เมื่อถามว่าประชาชนอยากเห็นนักการเมืองไทยในยุคโควิด-19 ปฏิบัติตัวอย่างไร พบว่า
ร้อยละ 86.84 ระบุ ทุ่มเททำงาน คำนึงถึงประชาชนเป็นหลัก
รองลงมาร้อยละ 82.39 ระบุ สละเงินเดือน ช่วยเหลือประชาชนอย่างทั่วถึง
ร้อยละ 81.94 ระบุ ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านร่วมมือกัน ทำงานเชิงรุก
‘นิด้าโพล’เผยผลสำรวจรอบ 4 คนกรุง ‘อยากได้ใครเป็นผู้ว่าฯกทม.’
https://siamrath.co.th/n/258422
ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “
นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง “อยากได้ใครเป็นผู้ว่าฯ กทม. ครั้งที่ 4” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน – 2 กรกฎาคม 2564 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป และมีสิทธิเลือกตั้งในกรุงเทพมหานคร กระจายทุกระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,315 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับประชาชนอยากได้ใครเป็น ผู้ว่าฯ กทม. ครั้งที่ 3 การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “
นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างด้วยวิธีแบบง่าย (Simple Random Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่นที่ร้อยละ 97.0
จากการสำรวจเมื่อถามถึงบุคคลที่ประชาชนจะเลือกให้เป็นผู้ว่าฯ กทม. พบว่า
อันดับ 1 ร้อยละ 27.98 ระบุว่า ยังไม่ตัดสินใจ
อันดับ 2 ร้อยละ 26.16 ระบุว่าเป็น ดร.
ชัชชาติ สิทธิพันธุ์
อันดับ 3 ร้อยละ 14.60 ระบุว่าเป็น พล.ต.อ.
จักรทิพย์ ชัยจินดา
อันดับ 4 ร้อยละ 9.58 ระบุว่าเป็น พล.ต.อ.
อัศวิน ขวัญเมือง
อันดับ 5 ร้อยละ 4.87 ระบุว่าเป็น ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย
อันดับ 6 ร้อยละ 3.58 ระบุว่าเป็น ผู้สมัครจากคณะก้าวหน้า หรือ พรรคก้าวไกล
อันดับ 7 ร้อยละ 3.04 ระบุว่าเป็น น.ส.
รสนา โตสิตระกูล
อันดับ 8 ร้อยละ 1.60 ระบุว่าเป็น ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์
อันดับ 9 ร้อยละ 1.45 ระบุว่าเป็น จะไม่ไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง
อันดับ 10 ร้อยละ 1.37 ระบุว่า ดร.
สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์
อันดับ 11 ร้อยละ 1.29 ระบุว่าเป็น นาย
สกลธี ภัททิยกุล
และไปลงคะแนน ไม่เลือกใคร (Vote NO) ในสัดส่วนที่เท่ากัน
และร้อยละ 3.19 ระบุว่า อื่น ๆ ได้แก่ ผู้สมัครจากพรรคพลังประชารัฐ ผู้สมัครจากพรรคกล้า ผู้สมัครจากพรรคไทยสร้างไทย ผู้สมัครจากพรรคเสรีรวมไทย นาย
ชวน หลีกภัย นาย
จำลอง ศรีเมือง นาย
ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ และเฉย ๆ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
และเมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจอยากได้ใครเป็นผู้ว่าฯ กทม. ครั้งที่ 3 เดือนมิถุนายน 2564 พบว่า ผู้ที่ระบุว่า ยังไม่ตัดสินใจ พล.ต.อ.
อัศวิน ขวัญเมือง ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย น.ส.
รสนา โตสิตระกูล ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ ดร.
สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ จะไม่ไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง และไปลงคะแนน ไม่เลือกใคร (Vote NO) มีสัดส่วนลดลง ในขณะที่ผู้ที่ระบุว่า ดร.
ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ พล.ต.อ.
จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้สมัครจากคณะก้าวหน้า หรือ พรรคก้าวไกล และนาย
สกลธี ภัททิยกุล มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น
สำหรับบุคคลที่ประชาชนจะเลือกให้เป็นผู้ว่าฯ กทม. จำแนกตามกลุ่มเขตการปกครองของกรุงเทพมหานคร พบว่า
1. กลุ่มเขตกรุงเทพกลาง อันดับ 1 ร้อยละ 29.86 ระบุว่าเป็น ดร.
ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อันดับ 2 ร้อยละ 20.83 ระบุว่า ยังไม่ตัดสินใจ อันดับ 3 ร้อยละ 13.89 ระบุว่าเป็น พล.ต.อ.
จักรทิพย์ ชัยจินดา และอันดับ 4 ร้อยละ 9.72 ระบุว่าเป็น พล.ต.อ.
อัศวิน ขวัญเมือง
2. กลุ่มเขตกรุงเทพใต้ อันดับ 1 ร้อยละ 25.37 ระบุว่า ยังไม่ตัดสินใจ อันดับ 2 ร้อยละ 23.41 ระบุว่าเป็น ดร.
ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อันดับ 3 ร้อยละ 18.54 ระบุว่าเป็น พล.ต.อ.
จักรทิพย์ ชัยจินดา และอันดับ 4 ร้อยละ 9.76 ระบุว่าเป็น พล.ต.อ.
อัศวิน ขวัญเมือง
3. กลุ่มเขตกรุงเทพเหนือ อันดับ 1 ร้อยละ 34.42 ระบุว่า ยังไม่ตัดสินใจ อันดับ 2 ร้อยละ 27.17 ระบุว่าเป็น ดร.
ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อันดับ 3 ร้อยละ 14.49 ระบุว่าเป็น พล.ต.อ.
จักรทิพย์ ชัยจินดา และอันดับ 4 ร้อยละ 7.25 ระบุว่าเป็น พล.ต.อ.
อัศวิน ขวัญเมือง
‘ส.ท่องเที่ยวภูเก็ต’ ชี้จับตา Q4 คือของจริง! ชี้วัดความสำเร็จโปรเจค ‘ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์’
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/946865
‘ส.ธุรกิจท่องเที่ยวภูเก็ต’ คาดเดือน ก.ค.นี้ ต่างชาติเที่ยวภูเก็ตแบบไม่กักตัว 1.5 หมื่นคน ชี้ไตรมาส 4 คือของจริงชี้วัดความสำเร็จโปรเจค ‘ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์’
นาย
ภูมิกิตติ์ รักแต่งาม นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวภูเก็ต กล่าวว่า หลังจากเปิดโครงการ “ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์” เปิดเมืองภูเก็ตเป็นพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยวแห่งแรกของประเทศไทย รับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วแบบไม่กักตัว เริ่ม 1 ก.ค.ที่ผ่านมา ถือเป็นการได้ทดลองนำร่องเปิดประเทศรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอีกครั้ง คาดว่าตลอดเดือน ก.ค.นี้จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาจำนวน 1.5 หมื่นคน ลดลงจากเดิมที่คาดว่าจะเข้ามาราว 3 หมื่นคนต่อเดือน เป็นเพราะการประกาศในราชกิจจานุเบกษาช้ากว่าที่คาดไว้ ส่งผลต่อการออกใบอนุญาตการเดินทางเข้าประเทศไทย (Certificate of Entry : COE) ที่สถานทูตไทยต่างๆ ในประเทศต้นทางจะต้องอนุมัติให้ชาวต่างชาติที่ยื่นเรื่องขอเดินทางเข้ามาเที่ยวไทยผ่านโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ทำให้ตลอดไตรมาส 3 นี้ จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์น้อยกว่าที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 1 แสนคน สร้างรายได้ 8,900 ล้านบาท
ขณะที่ไตรมาส 4 ปีนี้ จะเป็นไตรมาสจริงที่ชี้วัดได้ว่าโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน เนื่องจากเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาเที่ยวภูเก็ตมากขึ้น หลังเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวหรือไฮซีซั่น ประกอบกับสถานการณ์ระบาดซ้ำของโรคโควิด-19 ทั้งในและต่างประเทศน่าจะคลี่คลายดีขึ้น โดยก่อนหน้านี้เคยคาดการณ์ไว้ถึงกรณีที่ดีที่สุดว่าตลอดไตรมาส 4 ปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาภูเก็ต จำนวน 2.8 แสนคน หรือประมาณ 8-9 หมื่นคนต่อเดือน สร้างรายได้ไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านบาท
นายภูมิกิตติ์ กล่าวว่า สำหรับความท้าทายในการเปิดเมืองภูเก็ตรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ มี 2 เรื่องหลัก ได้แก่
1.การรักษาภูมิคุ้มกันหมู่ในจังหวัดภูเก็ต เนื่องจากเข้าใจว่าเงื่อนไขหรือกฎระเบียบที่กำหนดไว้ สำหรับการเดินทางเข้ามาเที่ยวภูเก็ตของทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติและคนไทยนั้น อาจมีขั้นตอนค่อนข้างมากและไม่ได้สะดวกมากนัก แต่มีความจำเป็นต้องทำจริงๆ เนื่องจากจะต้องรักษาภูมิคุ้มกันหมู่ในภูเก็ตไว้ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 70% เพื่อสร้างความปลอดภัยและลดโอกาสในการแพร่กระจายโรคโควิด-19
และ 2.การบริหารเมืองภูเก็ตจากนี้ต่อไปในอนาคต ยังต้องการเห็นความร่วมมือกันในทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่ เนื่องจากภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์สามารถเกิดขึ้นได้ เพราะความร่วมมือของทุกหน่วยงานจริงๆ จึงอยากให้แนวความคิดในการบริการจัดการแบบมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนนี้ยังคงดำเนินต่อไป และยกเลิกแนวคิดการบริหารจัดการแบบเดิมๆ
“การรักษาระดับภูมิคุ้มกันหมู่ภายในภูเก็ตถือเป็นเรื่องสำคัญมากในการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ จึงอยากขอให้ทุกคนเข้าใจว่าทุกเงื่อนไขที่กำหนดขึ้นมานั้น เป็นเพราะมีเรื่องภูมิคุ้มกันหมู่ค้ำคออยู่ ทำให้ไม่สามารถปรับเปลี่ยนหรือหลีกเลี่ยงได้มากนัก”
JJNY : ดุสิตโพลมองรบ.แก้โควิดไม่ถูกทาง│นิด้าโพล สำรวจรอบ4 คนกรุง│ชี้จับตาQ4คือของจริง!│วรรณสิงห์วิเคราะห์'ดารา-เซเลบ'
https://www.innnews.co.th/news/news-general/news_137773/
“สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,744 คน เรื่อง ทำอย่างไร คนไทยจึงจะเอาชนะโควิด-19 ได้ ระหว่างวันที่ 28 มิถุนายน – 1 กรกฎาคม 2564
เมื่อถามถึงความคิดเห็นประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 กับคนไทยเป็นอย่างไร พบว่า
ร้อยละ 91.95 ระบุ ทำลายเศรษฐกิจ คนตกงาน อยู่อย่างลำบาก
รองลงมาร้อยละ 85.86 ระบุ เผชิญกับโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ ยอดผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น
ร้อยละ 81.78 ระบุ ทำให้ทุกข์ใจ เครียด จิตตก กลัวไม่ได้รักษา บางคนคิด
เมื่อถามความคิดเห็นประชาชนกับการทำงานของรัฐบาล เกี่ยวกับโควิด-19 ถูกทางแล้วหรือยัง พบว่า
ร้อยละ 66.05 ระบุ ยังไม่ถูกทาง
รองลงมา ร้อยละ 20.36 ระบุ ไม่แน่ใจ
ร้อยละ 13.59 ระบุ ถูกทางแล้ว
พร้อมกันนี้ เมื่อถามประชาชนคิดว่า ประเทศไทยควรเดินหน้าอย่างไร จึงจะเอาชนะโควิด-19 พบว่า
ร้อยละ 87.25 ระบุ เร่งจัดหาวัคซีนที่มีคุณภาพ ให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม
รองลงมาร้อยละ 80.16 ระบุ หาทีมสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ไทย สนับสนุนอุปกรณ์เครื่องมือ
ร้อยละ 79.53 ระบุ ต้องหยุดการกระจายของโรคให้ได้ คุมจุดเสี่ยงต่าง ๆ
ทั้งนี้ เมื่อถามว่าประชาชนอยากให้หน่วยงาน/ใคร เป็นผู้นำในการบริหารจัดการโควิด-19 พบว่า
ร้อยละ 67.04 ระบุ กรมควบคุมโรค
รองลงมาร้อยละ 65.16 ระบุ กระทรวงสาธารณสุข
ร้อยละ ระบุ 49.88 ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.)
ท้ายที่สุด เมื่อถามว่าประชาชนอยากเห็นนักการเมืองไทยในยุคโควิด-19 ปฏิบัติตัวอย่างไร พบว่า
ร้อยละ 86.84 ระบุ ทุ่มเททำงาน คำนึงถึงประชาชนเป็นหลัก
รองลงมาร้อยละ 82.39 ระบุ สละเงินเดือน ช่วยเหลือประชาชนอย่างทั่วถึง
ร้อยละ 81.94 ระบุ ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านร่วมมือกัน ทำงานเชิงรุก
‘นิด้าโพล’เผยผลสำรวจรอบ 4 คนกรุง ‘อยากได้ใครเป็นผู้ว่าฯกทม.’
https://siamrath.co.th/n/258422
ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง “อยากได้ใครเป็นผู้ว่าฯ กทม. ครั้งที่ 4” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน – 2 กรกฎาคม 2564 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป และมีสิทธิเลือกตั้งในกรุงเทพมหานคร กระจายทุกระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,315 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับประชาชนอยากได้ใครเป็น ผู้ว่าฯ กทม. ครั้งที่ 3 การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างด้วยวิธีแบบง่าย (Simple Random Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่นที่ร้อยละ 97.0
จากการสำรวจเมื่อถามถึงบุคคลที่ประชาชนจะเลือกให้เป็นผู้ว่าฯ กทม. พบว่า
อันดับ 1 ร้อยละ 27.98 ระบุว่า ยังไม่ตัดสินใจ
อันดับ 2 ร้อยละ 26.16 ระบุว่าเป็น ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์
อันดับ 3 ร้อยละ 14.60 ระบุว่าเป็น พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา
อันดับ 4 ร้อยละ 9.58 ระบุว่าเป็น พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง
อันดับ 5 ร้อยละ 4.87 ระบุว่าเป็น ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย
อันดับ 6 ร้อยละ 3.58 ระบุว่าเป็น ผู้สมัครจากคณะก้าวหน้า หรือ พรรคก้าวไกล
อันดับ 7 ร้อยละ 3.04 ระบุว่าเป็น น.ส.รสนา โตสิตระกูล
อันดับ 8 ร้อยละ 1.60 ระบุว่าเป็น ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์
อันดับ 9 ร้อยละ 1.45 ระบุว่าเป็น จะไม่ไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง
อันดับ 10 ร้อยละ 1.37 ระบุว่า ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์
อันดับ 11 ร้อยละ 1.29 ระบุว่าเป็น นายสกลธี ภัททิยกุล
และไปลงคะแนน ไม่เลือกใคร (Vote NO) ในสัดส่วนที่เท่ากัน
และร้อยละ 3.19 ระบุว่า อื่น ๆ ได้แก่ ผู้สมัครจากพรรคพลังประชารัฐ ผู้สมัครจากพรรคกล้า ผู้สมัครจากพรรคไทยสร้างไทย ผู้สมัครจากพรรคเสรีรวมไทย นายชวน หลีกภัย นายจำลอง ศรีเมือง นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ และเฉย ๆ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
และเมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจอยากได้ใครเป็นผู้ว่าฯ กทม. ครั้งที่ 3 เดือนมิถุนายน 2564 พบว่า ผู้ที่ระบุว่า ยังไม่ตัดสินใจ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย น.ส.รสนา โตสิตระกูล ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ จะไม่ไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง และไปลงคะแนน ไม่เลือกใคร (Vote NO) มีสัดส่วนลดลง ในขณะที่ผู้ที่ระบุว่า ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้สมัครจากคณะก้าวหน้า หรือ พรรคก้าวไกล และนายสกลธี ภัททิยกุล มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น
สำหรับบุคคลที่ประชาชนจะเลือกให้เป็นผู้ว่าฯ กทม. จำแนกตามกลุ่มเขตการปกครองของกรุงเทพมหานคร พบว่า
1. กลุ่มเขตกรุงเทพกลาง อันดับ 1 ร้อยละ 29.86 ระบุว่าเป็น ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อันดับ 2 ร้อยละ 20.83 ระบุว่า ยังไม่ตัดสินใจ อันดับ 3 ร้อยละ 13.89 ระบุว่าเป็น พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา และอันดับ 4 ร้อยละ 9.72 ระบุว่าเป็น พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง
2. กลุ่มเขตกรุงเทพใต้ อันดับ 1 ร้อยละ 25.37 ระบุว่า ยังไม่ตัดสินใจ อันดับ 2 ร้อยละ 23.41 ระบุว่าเป็น ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อันดับ 3 ร้อยละ 18.54 ระบุว่าเป็น พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา และอันดับ 4 ร้อยละ 9.76 ระบุว่าเป็น พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง
3. กลุ่มเขตกรุงเทพเหนือ อันดับ 1 ร้อยละ 34.42 ระบุว่า ยังไม่ตัดสินใจ อันดับ 2 ร้อยละ 27.17 ระบุว่าเป็น ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อันดับ 3 ร้อยละ 14.49 ระบุว่าเป็น พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา และอันดับ 4 ร้อยละ 7.25 ระบุว่าเป็น พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง
‘ส.ท่องเที่ยวภูเก็ต’ ชี้จับตา Q4 คือของจริง! ชี้วัดความสำเร็จโปรเจค ‘ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์’
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/946865
‘ส.ธุรกิจท่องเที่ยวภูเก็ต’ คาดเดือน ก.ค.นี้ ต่างชาติเที่ยวภูเก็ตแบบไม่กักตัว 1.5 หมื่นคน ชี้ไตรมาส 4 คือของจริงชี้วัดความสำเร็จโปรเจค ‘ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์’
นายภูมิกิตติ์ รักแต่งาม นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวภูเก็ต กล่าวว่า หลังจากเปิดโครงการ “ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์” เปิดเมืองภูเก็ตเป็นพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยวแห่งแรกของประเทศไทย รับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วแบบไม่กักตัว เริ่ม 1 ก.ค.ที่ผ่านมา ถือเป็นการได้ทดลองนำร่องเปิดประเทศรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอีกครั้ง คาดว่าตลอดเดือน ก.ค.นี้จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาจำนวน 1.5 หมื่นคน ลดลงจากเดิมที่คาดว่าจะเข้ามาราว 3 หมื่นคนต่อเดือน เป็นเพราะการประกาศในราชกิจจานุเบกษาช้ากว่าที่คาดไว้ ส่งผลต่อการออกใบอนุญาตการเดินทางเข้าประเทศไทย (Certificate of Entry : COE) ที่สถานทูตไทยต่างๆ ในประเทศต้นทางจะต้องอนุมัติให้ชาวต่างชาติที่ยื่นเรื่องขอเดินทางเข้ามาเที่ยวไทยผ่านโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ทำให้ตลอดไตรมาส 3 นี้ จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์น้อยกว่าที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 1 แสนคน สร้างรายได้ 8,900 ล้านบาท
ขณะที่ไตรมาส 4 ปีนี้ จะเป็นไตรมาสจริงที่ชี้วัดได้ว่าโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน เนื่องจากเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาเที่ยวภูเก็ตมากขึ้น หลังเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวหรือไฮซีซั่น ประกอบกับสถานการณ์ระบาดซ้ำของโรคโควิด-19 ทั้งในและต่างประเทศน่าจะคลี่คลายดีขึ้น โดยก่อนหน้านี้เคยคาดการณ์ไว้ถึงกรณีที่ดีที่สุดว่าตลอดไตรมาส 4 ปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาภูเก็ต จำนวน 2.8 แสนคน หรือประมาณ 8-9 หมื่นคนต่อเดือน สร้างรายได้ไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านบาท
นายภูมิกิตติ์ กล่าวว่า สำหรับความท้าทายในการเปิดเมืองภูเก็ตรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ มี 2 เรื่องหลัก ได้แก่
1.การรักษาภูมิคุ้มกันหมู่ในจังหวัดภูเก็ต เนื่องจากเข้าใจว่าเงื่อนไขหรือกฎระเบียบที่กำหนดไว้ สำหรับการเดินทางเข้ามาเที่ยวภูเก็ตของทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติและคนไทยนั้น อาจมีขั้นตอนค่อนข้างมากและไม่ได้สะดวกมากนัก แต่มีความจำเป็นต้องทำจริงๆ เนื่องจากจะต้องรักษาภูมิคุ้มกันหมู่ในภูเก็ตไว้ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 70% เพื่อสร้างความปลอดภัยและลดโอกาสในการแพร่กระจายโรคโควิด-19
และ 2.การบริหารเมืองภูเก็ตจากนี้ต่อไปในอนาคต ยังต้องการเห็นความร่วมมือกันในทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่ เนื่องจากภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์สามารถเกิดขึ้นได้ เพราะความร่วมมือของทุกหน่วยงานจริงๆ จึงอยากให้แนวความคิดในการบริการจัดการแบบมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนนี้ยังคงดำเนินต่อไป และยกเลิกแนวคิดการบริหารจัดการแบบเดิมๆ
“การรักษาระดับภูมิคุ้มกันหมู่ภายในภูเก็ตถือเป็นเรื่องสำคัญมากในการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ จึงอยากขอให้ทุกคนเข้าใจว่าทุกเงื่อนไขที่กำหนดขึ้นมานั้น เป็นเพราะมีเรื่องภูมิคุ้มกันหมู่ค้ำคออยู่ ทำให้ไม่สามารถปรับเปลี่ยนหรือหลีกเลี่ยงได้มากนัก”