สวัสดีค่ะ... จขกท. มีเรื่องมาเล่า มาแชร์ กับเรื่องบางอย่างที่เคยเกิดขึ้น (และคิดว่าจริง) ลองอ่านกันเล่นๆ เพื่อความบันเทิงก็ได้นะคะ เรื่องราวแบบนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ท่านไหนจะเชื่อ หรือ ไม่เชื่อ จะอ่านแล้ววิเคราะห์ตาม หรืออ่านเพื่อความบันเทิงก็ได้นะคะ (ขอแท็กห้องแต่งนิยายด้วยนะคะ เผื่อท่านใดมีความรู้จะเสนอแนะเพื่อให้การเขียนในการนำเสนอเรื่องต่างๆน่าสนใจมากขึ้น ไม่เคยเขียนเรื่องราว อาจจะยาวๆหน่อยนะคะ เกรงว่าถ้าเล่าตอนเกิดเรื่องเลยจะงงค่ะ แต่ต้องบอกก่อนนะคะเรื่องต่อไปนี้!!!!! ไม่ใช่นิยายหรือเรื่องที่แต่งขึ้นมาค่ะ!!!!!......
....... ปี พ.ศ.2544 ณ จังหวัดหนึ่งทางภาคใต้ ในสมัยนั้น จขกท.ได้มีโอกาสศึกษาต่อในชั้น ปริญญาตรี ในจังหวัดหนึ่งที่อยู่ติดบ้านเกิดซึ่งจะใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 3.30 - 4 ชั่วโมง และแน่นอนว่า เราต้องอยู่หอพัก เพื่อความสะดวก และในเวลานั้น จขกท.ติดเพื่อนตอนมัธยมมากๆ อยากตามเพื่อนๆเข้ากรุงเทพฯ เพื่อมาเรียนที่เดียวกัน แต่ด้วยความเป็นลูกคนเดียวอยู่กับแม่มาตลอด **(พ่อเสียตั้งแต่ 5 ขวบ เลยทำให้ไม่กลัวผีไม่กลัวสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะคิดเสมอว่าถ้าเห็นผีได้ก็ต้องเห็นพ่อได้ ตั้งแต่เด็กจนโต อยากเห็นพ่อตลอด แต่ก็ไม่เคยเห็นเลยทำให้ไม่กลัวเรื่องแบบนี้) และการที่ถูกเลี้ยงมาแบบลูกคนเดียวจึงทำให้ไม่สะดวกที่ต้องอยู่ไกลบ้าน และที่สำคัญคือแม่เป็นห่วงมากๆ อยากให้อยู่ใกล้ๆ เพื่อได้กลับบ้านทุกสัปดาห์
... แน่นอนว่า เมื่อไม่ได้สมัครใจอยากมาเรียนที่นี่ จขกท. จึงไม่ค่อยสนใจหรือให้ความสำคัญกับอะไรเลย แต่ก็ยังฝืนดำเนินการทำทุกอย่างตามขั้นตอนของเด็กแรกเข้า ปี1 จนใกล้วันเปิดเรียน แม่ของ จขกท. ได้มีโอกาสคุยกับเพื่อนเก่าโดยบังเอิญ และความบังเอิญอีก คือลูกเพื่อนแม่ก็สอบได้ที่นี่เหมือนกันและมาเป็นทีม คือ 4 คน เพื่อนแม่จึงถามแม่ว่า
เพื่อนแม่ : "จขกท.ได้อยู่หอใน มหาวิทยาลัยหรือเปล่า"
แม่ : "จขกท.ยังไม่มีหอเลย แม่ก็ไม่รู้เรื่องเพราะ จขกท.ไม่ได้บอกอะไร"
เพื่อนแม่ : เอ๊าาาา!!! ทำไงล่ะทีนี้ ตอนนี้ มหาวิทยาลัยก็ใกล้เปิดแล้ว หอใกล้ๆ ที่เดินทางสะดวกคงเต็มแน่ๆ สงสาร จขกท.จัง ตัวคนเดียวคงทำอะไรไม่ถูก เอางี้.. เดี่ยวให้ลูกสาวและเพื่อนๆไปถามเจ้าของหอให้เพราะหอนี้ดี เจ้าของอยู่เป็นครอบครัว เป็นหอหญิงล้วน ปลอดภัยสูง คนบ้านเดียวกันอยากให้อยู่ด้วยกัน เดี่ยวจะให้ลูกโทรให้ว่าหอที่เขาอยู่ พอจะรับเพิ่มอีกคนได้ไหม ให้บอกไปว่าเด็กไม่มีที่อยู่จริงๆ
และแล้ว จขกท.ก็ได้มาอยู่หอนี้จริงๆ มาอยู่แบบงงๆ กับทีม 4 คน (2 ใน 4 คนคือเด็กระแวกบ้านที่ จขกท.รู้จักหน้าตาและชื่อ แต่ไม่เคยคุยกันเพราะไม่เคยเรียนที่เดียวกัน)
... วันที่ มาถึงหอ เห็นหอครั้งแรกก็งงๆ ว่าทำไมบ้านคนถึงมาอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยได้ ลักษณะหอพักเป็นของชาวบ้านแต่อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย อาศัยเป็นครอบครัว มีหลายครอบครัวและหลายหอในนั้น มีของกิน ของใช้ และร้านขายของต่างๆ เกือบครบในระแวกหอ พอเดินเข้าหอพัก เจ้าของหอก็มาทักและมาต้อนรับพร้อมบอกว่า "นี่ใช้ไหมที่จะมาอยู่ด้วยกัน5 คน" ทาง จขกท.และทีมทั้ง4 ก็บอก" ใช่ค่ะ" เราต่างขึ้นไปดูห้อง (หอพักมี3 ชั้น ชั้น1 ครอบครัวเจ้าของหออยู่ ชั้น2 นักศึกษา ชั้น3 ดาดฟ้าไว้ซัก-ตากผ้า) ชั้น 2 จะมี 2 ฝั่ง คือฝั่งที่เป็นไม้และฝั่งที่ต่อเติมใหม่เป็นปูน ลักษณะห้องเป็นสี่เหลี่ยมเปล่าๆ เป็นห้องมุมที่ใหญ่สุดในหอ (แต่เล็กกว่าคอนโดน 22ตรม.) มีกระจกบานเกล็ด 2ฝั่ง เอาไว้เปิดรับลม มีทีวี14นิ้ว อยู่ตรงหน้าห้อง จขกท. 1เครื่อง เอาไว้ดูด้วยกัน ห้องน้ำรวมมีประมาณ 5 ห้อง เราทั้ง5 ช่วยกันทำความสะอาด จัดห้อง และไปซื้อของที่จำเป็นเท่านั้นมาไว้ใช้ด้วยกันบ้าง แยกส่วนตัวบ้าง กว่าจะเสร็จก็ค่ำ และถึงเวลาสำคัญคือการจองที่นอน จขกท. เสนอขอนอนตรงกลาง โดยมีทีม4 ขนาบ ข้างละ2 ด้วยให้เหตุผลที่ว่า "พวกเธอรู้จักกันมานาน นอนตรงไหนก็ได้ จขกท.ไม่สนิทกับใครขอนอนตรงกลางน่ะ" สำเร็จค่ะ
... เปิดเรียนวันแรก จขกท.ก็ให้ทีม4 เดินไปส่งที่คณะเพราะเขินที่ต้องเดินไปเรียนคนเดียว ทีม4 ก็น่ารัก เดินมาส่ง บางวันก็มารับถ้าตึกเรียนใกล้กัน (สมัยนั้นยังไม่มีโทรศัพท์ ใช้วิธีแลกตารางเรียนกัน) ทำแบบนี้ทุกวันเกือบทั้งเทอม โดยส่วนตัว จขกท. มีนิสัยไม่ค่อยพูดถ้าไม่สนิทจริงๆ แต่ทีม4 เฟรนด์ลี่มาก มาแค่อาทิตย์เดียวก็รู้จักทั้งหอ จขกท.ใช้ชีวิตที่หอส่วนมากคือ นอนนนน ZzzZzzz เพราะคุยไม่เก่ง ทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติจนประมาณ 1 เดือน
... ในกลางดึกของคืนหนึ่ง จขกท. กำลังนอนหลับสนิท แต่ดันรู้สึกตัวตื่นมาตอนดึก และลืมตาขึ้นมา สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าแบบลางๆ ในตอนนั้น คือ สีขาว ความเป็นชุดขาว จขกท.จึงคิดว่า ตัวเองคงฝันไป จึงหลับตาต่อ พยายามข่มตาหลับไปสักพัก แต่!!! ไม่ค่ะ มันไม่หลับอย่างใจคิด กลไกอะไรก็ไม่รู้ทำให้ต้องลืมตามาอีกรอบ พร้อมกับเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างชัดเจน ด้วยแสงสว่างของดวงจันทร์ที่ส่องผ่านบานเกล็ดแบบใสทั้ง2 ฝั่งของห้องที่เปิดไว้ตลอดเวลาเพื่อรับลม จขกท.คิดในใจว่า เดี่ยวเขาก็คงไป ต่างคนต่างอยู่ถ้าเราทำเป็นไม่เห็นเขา เขาคงทำอะไรเราไม่ได้ เลยพยายามหลับตาต่ออีกรอบ แล้วค่อยๆแอบลืมตามาดูอีกครั้ง ผู้หญิงชุดสีขาว แขนเสื้อยาวถึงข้อมือ ผมดำสนิท ผมตรงและยาวถึงพื้น เขากำลังนั่งแบบทับส้นเท้า เข่าชิด วางมือบนหน้าขา นั่งก้มหน้า ด้วยท่าทางที่เรียบเฉย เขานั่งแบบนั้นที่ปลายเท้าของ จขกท. ในใจตอนนั้น จขกท.คิดได้อย่างเดียวในหัวเลยค่ะ ว่าคือ "ผี" ผีแน่นอน แต่ด้วยความเป็นคนไม่กลัวผี ในสมัยนั้น (เพราะในสมัยนี้เกรงใจมากๆ ค่ะ) จึงคิดเองเออเองว่า "ผีไม่มีแววตา ผีจะกลัวแววตาของคน เราต้องจ้องตาเขา เขาจะแพ้แววตาคน แล้วเดี๋ยวเขาก็จะไป" จขกท.เลยเริ่มจ้องตาครั้งที่1 จ้องมองและพยายามเล็งไปที่ใบหน้าของเขา นานจนรู้สึกแสบตา ตาแห้ง จึงหลับตาและคิดในใจว่า พอลืมตาปุ๊บ เขาต้องหายไป ไม่หายค่ะ เขายังอยู่ อยู่ที่เดิม และนั่งท่าเดิม" จขกท.เลยหันมอง ทีม4 ที่นอนขนาบข้างฝั่งละ2 คน ทั้ง2 ฝั่ง เห็นทีม4 นอนหลับสนิทพลิกตัวไปมา ดึงผ้าห่มกัน นอนก่ายกัน มีกรนเล็กๆ ปนกันไป ในใจหนึ่ง จขกท. คิดว่า "เรียกทีม4 ดีไหมน่ะ" อีกใจหนึ่งก็คิดแย้งขึ้นมา "เรียกไปก็แค่นั้น เพราะส่วนมากเวลาผีหลอกก็ไม่ได้หลอกทุกคน ไม่ได้ให้เห็นทุกคน เขามาให้เราเห็น ต่อให้เรียก ทีม4 มา ทีม4 ก็ไม่เห็นอยู่ดี เพราะเขาน่าจะให้เราเห็นคนเดียว"
............ตี 2 แล้ว ถ้าชอบ พรุ่งนี้มาต่อนะคะ
น้องปีหนึ่งและผู้หญิงชุดขาว
....... ปี พ.ศ.2544 ณ จังหวัดหนึ่งทางภาคใต้ ในสมัยนั้น จขกท.ได้มีโอกาสศึกษาต่อในชั้น ปริญญาตรี ในจังหวัดหนึ่งที่อยู่ติดบ้านเกิดซึ่งจะใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 3.30 - 4 ชั่วโมง และแน่นอนว่า เราต้องอยู่หอพัก เพื่อความสะดวก และในเวลานั้น จขกท.ติดเพื่อนตอนมัธยมมากๆ อยากตามเพื่อนๆเข้ากรุงเทพฯ เพื่อมาเรียนที่เดียวกัน แต่ด้วยความเป็นลูกคนเดียวอยู่กับแม่มาตลอด **(พ่อเสียตั้งแต่ 5 ขวบ เลยทำให้ไม่กลัวผีไม่กลัวสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะคิดเสมอว่าถ้าเห็นผีได้ก็ต้องเห็นพ่อได้ ตั้งแต่เด็กจนโต อยากเห็นพ่อตลอด แต่ก็ไม่เคยเห็นเลยทำให้ไม่กลัวเรื่องแบบนี้) และการที่ถูกเลี้ยงมาแบบลูกคนเดียวจึงทำให้ไม่สะดวกที่ต้องอยู่ไกลบ้าน และที่สำคัญคือแม่เป็นห่วงมากๆ อยากให้อยู่ใกล้ๆ เพื่อได้กลับบ้านทุกสัปดาห์
... แน่นอนว่า เมื่อไม่ได้สมัครใจอยากมาเรียนที่นี่ จขกท. จึงไม่ค่อยสนใจหรือให้ความสำคัญกับอะไรเลย แต่ก็ยังฝืนดำเนินการทำทุกอย่างตามขั้นตอนของเด็กแรกเข้า ปี1 จนใกล้วันเปิดเรียน แม่ของ จขกท. ได้มีโอกาสคุยกับเพื่อนเก่าโดยบังเอิญ และความบังเอิญอีก คือลูกเพื่อนแม่ก็สอบได้ที่นี่เหมือนกันและมาเป็นทีม คือ 4 คน เพื่อนแม่จึงถามแม่ว่า
เพื่อนแม่ : "จขกท.ได้อยู่หอใน มหาวิทยาลัยหรือเปล่า"
แม่ : "จขกท.ยังไม่มีหอเลย แม่ก็ไม่รู้เรื่องเพราะ จขกท.ไม่ได้บอกอะไร"
เพื่อนแม่ : เอ๊าาาา!!! ทำไงล่ะทีนี้ ตอนนี้ มหาวิทยาลัยก็ใกล้เปิดแล้ว หอใกล้ๆ ที่เดินทางสะดวกคงเต็มแน่ๆ สงสาร จขกท.จัง ตัวคนเดียวคงทำอะไรไม่ถูก เอางี้.. เดี่ยวให้ลูกสาวและเพื่อนๆไปถามเจ้าของหอให้เพราะหอนี้ดี เจ้าของอยู่เป็นครอบครัว เป็นหอหญิงล้วน ปลอดภัยสูง คนบ้านเดียวกันอยากให้อยู่ด้วยกัน เดี่ยวจะให้ลูกโทรให้ว่าหอที่เขาอยู่ พอจะรับเพิ่มอีกคนได้ไหม ให้บอกไปว่าเด็กไม่มีที่อยู่จริงๆ
และแล้ว จขกท.ก็ได้มาอยู่หอนี้จริงๆ มาอยู่แบบงงๆ กับทีม 4 คน (2 ใน 4 คนคือเด็กระแวกบ้านที่ จขกท.รู้จักหน้าตาและชื่อ แต่ไม่เคยคุยกันเพราะไม่เคยเรียนที่เดียวกัน)
... วันที่ มาถึงหอ เห็นหอครั้งแรกก็งงๆ ว่าทำไมบ้านคนถึงมาอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยได้ ลักษณะหอพักเป็นของชาวบ้านแต่อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย อาศัยเป็นครอบครัว มีหลายครอบครัวและหลายหอในนั้น มีของกิน ของใช้ และร้านขายของต่างๆ เกือบครบในระแวกหอ พอเดินเข้าหอพัก เจ้าของหอก็มาทักและมาต้อนรับพร้อมบอกว่า "นี่ใช้ไหมที่จะมาอยู่ด้วยกัน5 คน" ทาง จขกท.และทีมทั้ง4 ก็บอก" ใช่ค่ะ" เราต่างขึ้นไปดูห้อง (หอพักมี3 ชั้น ชั้น1 ครอบครัวเจ้าของหออยู่ ชั้น2 นักศึกษา ชั้น3 ดาดฟ้าไว้ซัก-ตากผ้า) ชั้น 2 จะมี 2 ฝั่ง คือฝั่งที่เป็นไม้และฝั่งที่ต่อเติมใหม่เป็นปูน ลักษณะห้องเป็นสี่เหลี่ยมเปล่าๆ เป็นห้องมุมที่ใหญ่สุดในหอ (แต่เล็กกว่าคอนโดน 22ตรม.) มีกระจกบานเกล็ด 2ฝั่ง เอาไว้เปิดรับลม มีทีวี14นิ้ว อยู่ตรงหน้าห้อง จขกท. 1เครื่อง เอาไว้ดูด้วยกัน ห้องน้ำรวมมีประมาณ 5 ห้อง เราทั้ง5 ช่วยกันทำความสะอาด จัดห้อง และไปซื้อของที่จำเป็นเท่านั้นมาไว้ใช้ด้วยกันบ้าง แยกส่วนตัวบ้าง กว่าจะเสร็จก็ค่ำ และถึงเวลาสำคัญคือการจองที่นอน จขกท. เสนอขอนอนตรงกลาง โดยมีทีม4 ขนาบ ข้างละ2 ด้วยให้เหตุผลที่ว่า "พวกเธอรู้จักกันมานาน นอนตรงไหนก็ได้ จขกท.ไม่สนิทกับใครขอนอนตรงกลางน่ะ" สำเร็จค่ะ
... เปิดเรียนวันแรก จขกท.ก็ให้ทีม4 เดินไปส่งที่คณะเพราะเขินที่ต้องเดินไปเรียนคนเดียว ทีม4 ก็น่ารัก เดินมาส่ง บางวันก็มารับถ้าตึกเรียนใกล้กัน (สมัยนั้นยังไม่มีโทรศัพท์ ใช้วิธีแลกตารางเรียนกัน) ทำแบบนี้ทุกวันเกือบทั้งเทอม โดยส่วนตัว จขกท. มีนิสัยไม่ค่อยพูดถ้าไม่สนิทจริงๆ แต่ทีม4 เฟรนด์ลี่มาก มาแค่อาทิตย์เดียวก็รู้จักทั้งหอ จขกท.ใช้ชีวิตที่หอส่วนมากคือ นอนนนน ZzzZzzz เพราะคุยไม่เก่ง ทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติจนประมาณ 1 เดือน
... ในกลางดึกของคืนหนึ่ง จขกท. กำลังนอนหลับสนิท แต่ดันรู้สึกตัวตื่นมาตอนดึก และลืมตาขึ้นมา สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าแบบลางๆ ในตอนนั้น คือ สีขาว ความเป็นชุดขาว จขกท.จึงคิดว่า ตัวเองคงฝันไป จึงหลับตาต่อ พยายามข่มตาหลับไปสักพัก แต่!!! ไม่ค่ะ มันไม่หลับอย่างใจคิด กลไกอะไรก็ไม่รู้ทำให้ต้องลืมตามาอีกรอบ พร้อมกับเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างชัดเจน ด้วยแสงสว่างของดวงจันทร์ที่ส่องผ่านบานเกล็ดแบบใสทั้ง2 ฝั่งของห้องที่เปิดไว้ตลอดเวลาเพื่อรับลม จขกท.คิดในใจว่า เดี่ยวเขาก็คงไป ต่างคนต่างอยู่ถ้าเราทำเป็นไม่เห็นเขา เขาคงทำอะไรเราไม่ได้ เลยพยายามหลับตาต่ออีกรอบ แล้วค่อยๆแอบลืมตามาดูอีกครั้ง ผู้หญิงชุดสีขาว แขนเสื้อยาวถึงข้อมือ ผมดำสนิท ผมตรงและยาวถึงพื้น เขากำลังนั่งแบบทับส้นเท้า เข่าชิด วางมือบนหน้าขา นั่งก้มหน้า ด้วยท่าทางที่เรียบเฉย เขานั่งแบบนั้นที่ปลายเท้าของ จขกท. ในใจตอนนั้น จขกท.คิดได้อย่างเดียวในหัวเลยค่ะ ว่าคือ "ผี" ผีแน่นอน แต่ด้วยความเป็นคนไม่กลัวผี ในสมัยนั้น (เพราะในสมัยนี้เกรงใจมากๆ ค่ะ) จึงคิดเองเออเองว่า "ผีไม่มีแววตา ผีจะกลัวแววตาของคน เราต้องจ้องตาเขา เขาจะแพ้แววตาคน แล้วเดี๋ยวเขาก็จะไป" จขกท.เลยเริ่มจ้องตาครั้งที่1 จ้องมองและพยายามเล็งไปที่ใบหน้าของเขา นานจนรู้สึกแสบตา ตาแห้ง จึงหลับตาและคิดในใจว่า พอลืมตาปุ๊บ เขาต้องหายไป ไม่หายค่ะ เขายังอยู่ อยู่ที่เดิม และนั่งท่าเดิม" จขกท.เลยหันมอง ทีม4 ที่นอนขนาบข้างฝั่งละ2 คน ทั้ง2 ฝั่ง เห็นทีม4 นอนหลับสนิทพลิกตัวไปมา ดึงผ้าห่มกัน นอนก่ายกัน มีกรนเล็กๆ ปนกันไป ในใจหนึ่ง จขกท. คิดว่า "เรียกทีม4 ดีไหมน่ะ" อีกใจหนึ่งก็คิดแย้งขึ้นมา "เรียกไปก็แค่นั้น เพราะส่วนมากเวลาผีหลอกก็ไม่ได้หลอกทุกคน ไม่ได้ให้เห็นทุกคน เขามาให้เราเห็น ต่อให้เรียก ทีม4 มา ทีม4 ก็ไม่เห็นอยู่ดี เพราะเขาน่าจะให้เราเห็นคนเดียว"
............ตี 2 แล้ว ถ้าชอบ พรุ่งนี้มาต่อนะคะ