คนที่บอกว่ามนุษย์เงินเดือนดีกว่าเจ้าของกิจการเยอะ ไม่เสี่ยง มีบริษัทคุ้มหัว มีสังคมนี่องุ่นเปรี้ยวรึปล่าว

คือไม่ได้กวนนะ เราก็มนุษย์เงินเดือน เพื่อนๆทำธุรกิจครึ่ง มนุษย์เงินเดือนครึ่ง เพื่อนทุกคนเรียนเก่ง( จบจุฬา มธ. จบนอก) เทียบในเสกลคนเก่ง เป็นมนุษย์เงินเดือนก็ได้เงินดี พวกที่ทำธุรกิจก็ทำธุรกิจร้ำรวยไปได้ดี (ไม่ใช่แนวเฝ้าร้านหรืแนวบ้านๆ)  แต่สังเกตว่า

1.มนุษย์เงินเดือนรวยไม่เท่าคนทำธุรกิจ คือต่อให้เรียนเก่งแค่ไหน อายุ 30-35 กลางๆ เงินเดือนก็จะอยู่ที่ 40,000-100,000กว่า(แล้วแต่สายที่จบมา) อันนี้ไม่นับพวก consultant หรือหมอนะที่มีได้ 2-3แสน
2.เพื่อนที่เป้นมนุษย์เงินเดือน บ่นเรื่องงานทุกคน ด้วยเสกลงานคนเงินเดือนหลายหมื่นถึงแสน  สุขภาพจิตดูไม่ค่อยดี ไม่ได้มีอิสระ บ่นนู่นนั่นนี่ตลอด

เทียบกันเพื่อนที่ทำธุรกิจ
1. รวยกว่า แม้การศึกษา พื้นฐานการทำงานมาเท่ากัน บางคนได้กำไรเดือนนึง 1-2 แสนอัพถึงหลายล้านหรือเป้นสิบๆล้าน โดยที่ไม่เหนื่อยเท่ามนุษย์เงินเดือน
2.เพื่อนที่ทำธุรกิจชิวกว่า สุขภาพจิตดีกว่า สังเกตว่าแทบไม่บ่น แล้วถึงเหนื่อยก้คือทำเพื่อตัวเอง บริษัทตัวเอง มีเวลาให้พ่อแม่ เอาเงินไปต่อยอดธุรกิจได้อีก มีสังคมคอนเนคชั่นคนรวยอีก
แก้ไขข้อความเมื่อ

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 9
คนรวยทำธุรกิจ


คนจนทำธุรกิจ


ต่อให้ใช้ทักษะเดียวกัน มีความเก่งเดียวกัน มีการศึกษาเหมือนกัน แต่ความสามารถในการรับความเสี่ยงไม่มีทางเหมือนกัน

คนรวย ป่าป๊าให้มา 20 ล้านเพื่อเปิดร้านอาหาร เจ๊งแล้วก็จำไว้เป็นบทเรียน วันหน้าจะได้แกร่งขึ้น
คนจน กู้เงินมาทำ ทำแล้วเจ๊ง ผลคือไม่มีบ้านอยู่ ลูกไม่ได้เรียนหนังสือ แม่ป่วยไม่ได้รักษา
ความคิดเห็นที่ 5
ธุรกิจส่วนตัวจะเข้าขั้นสบายก็หลักสิบปีขึ้นไป โดยคนทั่วไปมักเห็นภาพนักธุรกิจตอนที่เขาสำเร็จแล้ว ตอนสบายแล้ว ตอนรวยแล้ว ฯลฯ แต่ไม่ได้เห็นตอนเขาไม่ได้หลับ ไม่ได้นอน ไม่ได้เที่ยว ตอนเขาร้องไห้ ตอนคิดอยากตาย ฯลฯ ครับ ผมทำธุรกิจส่วนตัว และเพื่อนส่วนใหญ่ก็ทำส่วนตัวกันหมด เคยผ่านช่วงที่ว่าแทบทุกคนครับ

ปล. ไม่ได้บอกว่าอะไรดีกว่ากันนะครับ แต่แต่ละอาชีพมีด้านมืดด้านสว่างของมัน เห็นสองด้านเพื่อชั่งใจดูว่าแบบไหนเหมาะกับเรา
ความคิดเห็นที่ 6
ข้อสังเกตนึงของผมคือคนที่เป็นเจ้าของกิจการ มักจะไม่ค่อยบ่นอะไรลง social ให้คนอื่นเห็น  ไม่รู้เกี่ยวกับว่าต้องรักษาภาพลักษณ์ และไม่อยากพาดพิงบุคคลที่สามเพื่อไม่ให้กระทบธุรกิจหรือเปล่า  ต่างกับคนที่เป็นมนุษย์เงินเดือน โพสต์ด่าได้กระทั่งพนักงาน 7 เวลาคิดเงินช้า  บางคนก็เห็นบ่น เห็นแชร์โพสต์เรื่องการลาออกอยู่นั่น แต่ก็ไม่ออกซะที

ที่จะสื่อคือที่เค้าไม่บ่น ไม่ได้แปลว่าเค้าสบาย  เพียงแต่เค้าไม่ได้มาบ่นในที่สาธารณะให้คนอื่นเห็นพร่ำเพรื่อหรือเปล่า
ความคิดเห็นที่ 44
เราเคยตอบไว้หลายกระทู้เเล้ว
ชอบเป็นลูกจ้างมืออาชีพค่ะ เป็นมนุษย์เงินเดือนมาตลอดตั้งแต่เรียนจบ
การเปรียบของคุณ จขกท ฉาบฉวย สวยหรูเกินจริงไปมาก มองเห็นแค่ยอดของภูเขาน้ำแข็งแล้วตีความเหมารวม

เราเอง ที่บ้านรวยค่ะ ทำธุรกิจตั้งแต่สมัยปู่ มาพ่อเรา เกิดมาสบายแล้ว ได้เรียน รร ดีๆ กินดีอยู่ดี ปิดเทอม summer ตปท เรียนมหาวิทยาลัยพ่อให้รถยุโรปขับไปเรียน เรียนจบทำงานปีกว่า ก็เรียนต่อ ตปท จบก็ทำงานออฟฟิส(ที่ไม่ใช่ของพ่อ)มาตลอด

รู้สึกมันสบายกว่าทำธุรกิจเอง พ่อเราเป็นเจ้าของบริษัท สิ่งที่ตามมาคือ รับผิดชอบสูงมากๆๆๆๆ จะเลิกก็ไม่ได้ พนักงานอีกเป็นร้อยๆชีวิต ตอนบริษัทเจอวิกฤติก็เหนื่อย พ่อบอกว่าถ้าพ่อล้ม พนักงาน ครอบครัวเค้าจะลำบาก สรุปเราคิดว่าเราไม่สามารถแบกรับความรับผิดชอบแบบพ่อเราได้ เราขอรับผิดชอบแค่งานเราเอง สิ้นเดือนเงินเข้าแน่ๆ ปลายปีโบนัส ลาป่วยก็เบิกประกัน ลางานก็ปิดโทรศัพท์ไม่ต้องคิดอะไร เราทำงาน 10 โมงเช้าถึง ไม่เกิน 6 โมงเย็น บางวัน บ่ายสี่ก็เลิกละ พ่อเราสมัยยังบู๊ๆ ทำทั้งวันทั้งคืน จำได้ว่าก่อน 3 ทุ่มไม่เคยเห็นหน้าพ่อ บางคืนถ้าของลงต้องคุมงานถึงตี 4 ตี 5 ไม่มีคำว่าลางาน ไม่มีพักร้อน มือถือไม่มีการปิด (ตั้งแต่สมัยมือถือเครื่องเป็นกระติกน้ำ)

เพราะพื้นฐานทางบ้านดี จบมาก็เงินเดือนก็ค่อนข้างสูง (แตะ 6 หลักก่อน 30) แล้วก็พัฒนาตัวเองให้เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานเสมอ ไม่มีภาระตัองส่งเสียอะไรหรือใคร เงินก็ใช้เพื่อตัวเองล้วนๆเลยหาทุกอย่างได้เร็ว แถมมีเงินลงทุนในอสังหาฯ หุ้น กองทุนต่างๆ รวมเงินออมหลังเกษียณ ตอนนี้เงินเดือน 250K ยังนึกไม่ออกว่าจะไปทำธุรกิจอะไรที่ทำงานวันละ 6-7 ชม (แบบเหนื่อยเท่าเดิม) ทำตอนไหนก็ได้ เสาร์-อาทิตย์ หยุด นักขัตฤกษ์ หยุดลาพักได้ปีละ 26 วัน ได้เงินเดือนเหมือนเดิม แล้วได้กำไรสุทธิเดือนละ 250K แบบไม่มีความเสี่ยงเรื่องขาดทุน

เราโชคดีที่มาจากครอบครัวที่ไม่เคยขาด เราเลยไม่รู้สึกว่ามันจำเป็นที่เราต้องหาให้มันมากๆ โดยต้องแลกกับความรับผิดชอบ ความเครียด เวลาต่างๆไปทำไม ก็อาจจะไม่ได้มากถ้าเทียบกับ เจ้าของธุรกิจระดับกำไรสุทธิเดือนละ ล้านขึ้นไป แต่เราคิดว่าชีวิตเราสบายกว่ามาก ทุกวันนี้ก็ได้ทุกอย่างที่อยากได้ อยากกิน อยากเที่ยว ของฟุ่มเฟือยอะไรก็ได้ โดยไม่เดือดร้อนตัวเองและคนอื่น
ความคิดเห็นที่ 32
ผมมีธุรกิจส่วนตัว ผมยืนยันกว่าเป็นลูกจ้างดีกว่า

ยิ่งยุคโควิด ร้านก็เปิดได้ไม่เต็มที่ คนก็เดินน้อย

ค่าเช่า ค่าพนักงานจ่ายทุกเดือน

ถ้าปิด ค่าตกแต่งร้าน ค่ามัดจำ หลักล้าน เท่ากับปล่อยฟรี

ค่าชดเชยให้พนักงานอีกหลักแสน

ขายออนไลน์ ตอนนี้แข่งตัดราคาหนักกว่าก่อนโควิด

บางคนขายเท่าทุนขอให้ได้เงินหมุน  เยอะมาก

เคยโทรไปถามบอก เขาขอว่าพี่อย่าว่าผมเลย

เขาต้องทำเพื่อไม่ให้โดนยึดร้าน ยึดบ้าน ยึดรถ

โดนฟ้องล้มละลาย


ผมเสียบ้านเสียรถไปรอบแล้ว

เพื่อนผมหมดตัวฆ่าตัวตายไปคนแล้ว

ผมเลยพอเข้าใจ และให้กำลังใจเขาไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่