ผู้เกิดในยุคสมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้ในปัจจุบัน ล้วนย่อมป็นผู้มีบุญมาก จริงหรือ?


เพราะได้เกิดทัน ที่พระพุทธองค์ทรงมีพระชนมายุ  บ้างก็ได้รับผลจากการฟังธรรม ทำบุญกับพระพุทธองค์   ได้โอกาสดีไปภพภูมิที่ดี บางท่านแม้จะได้ฟังธรรมเพียงสั้นๆ  เพียงครั้งเดียวก็บรรลุพระเป็นพระอรหันต์ได้  ดั่งเรื่องของ

ท่านพาหิยะ เมื่อได้ทราบว่าพระพุทธองค์ ผู้ตรัสรู้ได้บังเกิดขึ้นแล้ว   ด้วยความดีใจจึงได้เดินทางไปด้วยระยะทาง 120 โยชน์ ในชั่วเวลาคืนเดียว เพื่อขอให้ได้ฟังธรรม  และจะขอบวช เมื่อพบพระพุทธเจ้าในเวลาเช้าที่พุทธองค์ทรงออกบิณฑบาตโปรดสัตว์ เมื่อพบก็กราบแทบเท้า พร้อมอ้อนวอนวิงวอนอยู่ เพื่อให้พระองค์แสดงธรรม แต่ไม่เป็นผลเขาทูลขอในครั้งที่ ๓  พระพุทธองค์ทรงพิจารณาเห็นความแกร่งกล้าในอินทรีย์ของเขาพร้อมแล้ว จึงทรงประทับยืนอยู่ในระหว่างทางและได้ทรงแสดงธรรมโดยย่อว่า
" ดูกรพาหิยะ เพราะเหตุนั้นแล ท่านพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง  ดูกรพาหิยะ ท่านพึงศึกษาอย่างนี้แล
ดูกรพาหิยะ ในกาลใดแล เมื่อท่านเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มี ในกาลใด ท่านไม่มี ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มีในโลกนี้ ย่อมไม่มีในโลกหน้าย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ "

ท่านพาหิยะขณะกำลังฟังธรรมของพระศาสดาอยู่นั้น ได้ทำอาสวะทั้งปวงให้หมดสิ้นไปแล้ว ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ๔

ครั้นแล้ว จึงได้ทูลขอบรรพชากะพระผู้มีพระภาคเจ้าในขณะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถามท่านว่า ท่านนั้นได้มีบาตรและจีวรครบแล้วหรือ ?
ท่านพาหิยะกราบทูลว่า ยังไม่มี พระเจ้าข้า พระศาสดาจึงตรัสให้ท่านไปแสวงหาบาตรและจีวรมาก่อน แล้วก็เสด็จหลีกไป
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า บาตรและจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์ จักไม่เกิดขึ้นแก่เขาแน่จึงมิได้ประทานการบรรพชาด้วยเอหิภิกขุ ด้วยในอดีตที่ท่านพาหิยะบำเพ็ญสมณธรรมมาสิ้น ๒ หมื่นปี ท่านไม่ได้ทำการสงเคราะห์บาตรหรือจีวรแก่ภิกษุแม้รูปหนึ่งเลย  มีบางชาติท่านได้เกิดเป็นโจร ได้ทำการฆ่า ชิงบาตรและจีวรจากพระปัจเจกพุทธเจ้า

ในเวลาที่ท่านพาหิยทารุจิยะกำลังแสวงหาบาตรและจีวร จากกองขยะอยู่นั้น ขณะที่ท่านกำลังดึงเอาเศษผ้าออกจากกองขยะอยู่ นางยักษิณีผู้มีเวรกันในกาลก่อน เข้าสิงในร่างของโคแม่ลูกอ่อนตัวหนึ่ง วิ่งเข้าขวิดท่านที่โคนขาข้างซ้าย ล้มลงเสียชีวิตอยู่ในกองขยะนั่นเอง

ครั้นเมื่อพระศาสดา เสด็จจาริกไปบิณฑบาต ทรงกระทำภัตรกิจเสร็จแล้ว ขณะกำลังเสด็จออกพร้อมกับพวกภิกษุมากรูป ได้ทอดพระเนตรเห็นร่างของพาหิยะ ซึ่งฟุบจมกองขยะแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพื่อนสพรหมจารีของพวกเธอปรินิพพานแล้ว และตรัสให้พระภิกษุนำร่างของท่านพาหิยะขึ้นเตียงนำออกไปทางประตูเมือง และให้ทำการฌาปนกิจ เก็บเอาธาตุไว้ก่อเป็นสถูป พวกภิกษุเหล่านั้น ดำเนินการตามที่พระบรมศาสดาทรงตรัส แล้วเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ได้กราบทูลให้ทรงทราบถึงการงานที่ตนได้ทำเสร็จแล้ว และทูลถามพระพุทธองค์ถึงคติภพ (ภพเบื้องหน้า) ของท่านพาหิยะ

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสบอกแก่ภิกษุเหล่านั้นว่าท่านพาหิยะปรินิพพานแล้ว  ภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า 
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์จงตรัสบอกว่า ท่านพาหิยทารุจีริยะบรรลุพระอรหัตที่ไหน  และเมื่อตรัสว่า ในเวลาที่ฟังธรรมของเรา 
พวกภิกษุจึงทูลถามว่า ก็พระองค์แสดงธรรมแก่ท่านในเวลาไหน  พระศาสดาตรัสว่า เมื่อเรากำลังบิณฑบาตยืนอยู่ระหว่างถนนวันนี้เอง  
ภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมที่พระองค์ยืนตรัสในระหว่างถนนนั้นมีประมาณน้อย ท่านทำคุณวิเศษให้เกิดด้วยเหตุเพียงเท่านั้นได้อย่างไร  
พระศาสดาเมื่อทรงแสดงว่า ภิกษุทั้งหลายเธออย่าประมาณธรรมของเราว่ามีน้อยหรือมาก แม้คาถาตั้งหลายพันแต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ไม่ประเสริฐเลย ส่วนบทคาถาแม้บทเดียวซึ่งประกอบด้วยประโยชน์ยังประเสริฐกว่า

พระศาสดาทรงทำเรื่องนั้นให้เป็นอัตถุปปัตติเหตุ (เหตุเกิดเรื่อง) จึงสถาปนาท่านพาหิยะทารุจิริยะไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าภิกษุสาวกทั้งหลาย 
ผู้ตรัสรู้ได้โดยพลัน  เอวังด้วยประการฉะนี้

แม้เราไม่ทันพระองค์ท่าน แต่ยังทันในยุคที่ยังมีคำสอนของพระพุทธองค์อยู่ ก็นับได้ว่า เราล้วนเป็นผู้มีบุญเช่นกันแล  จริงไหม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่