สงสัยเรื่องชาติแรกของการตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้าว่าเริ่มต้นจากอะไรแน่

เพราะในคัมภีร์อีกเล่มหนึ่งก็บอกว่าชาติแรกของพระโพธิสัตว์ที่เริ่มตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้าเกิดจากการที่ที่ท่านออกเรือสินค้าไปกับมารดาและเรือนั้นเกิดแตก ปรากฏว่าท่านกับมารดายังรอดชีวิตอยู่ท่านก็เลยพามารดาขึ้นหลังแล้วก็ไหว้ ข้ามมหาสมุทรเพื่อพามารดาขึ้นฝั่ง  จนกระทั่งมีพรมที่เป็นอนาคามีได้เห็นก็เลยดลใจให้ท่านมีความคิดว่าจะขอเป็นพระพุทธเจ้า

แต่เอาเข้าจริงๆถ้าคนระดับที่จะเป็นพระพุทธเจ้าใจจะต้องเด็ดเดี่ยวตั้งมั่นอย่างมาก จะเป็นไปได้หรือ ว่าการจะคิดเป็นพระพุทธเจ้าจะต้องให้คนอื่นมานั่งดลใจ

ยกตัวอย่าง อย่างส่วนตัวของเราเองเราก็ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าเหมือนกันแต่ก็ ไม่ได้แบกแม่ว่ายข้ามคลองอะไร ก็แค่ถวายจีวรแล้วอธิษฐาน แค่บูชาพระบรมสารีริกธาตุที่ภูเขาทองอธิษฐานใส่บาตรแล้วก็อธิษฐาน หรือไม่ก็รักษาอุโบสถทศีลแล้วก็อธิษฐานเป็นต้น ไม่ได้ทำอะไรแบบนั้น แล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่าจะมีอะไรข้างบนมานั่งดลใจให้รู้สึกว่าสงสาร เพราะว่าส่วนตัวเป็นคนที่รักแมวเลี้ยงแมว เยอะหลาย 10 ตัว ก็เลยคิดว่าไม่อยากให้แมวทั่วจักรวาลต้องมาทนทุกข์ในสังสารวัฏ จะขอเป็นพระพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่ง

ทีนี้อีกคัมภีร์หนึ่งซึ่งเป็นคัมภีร์ที่ค่อนข้างจะชัดเจน คือเป็นตัวพระไตรปิฎกเองระบุไว้ว่าพระพุทธเจ้าท่านตัดกับพระอานนท์ว่าจุด START แรกเริ่มของการเป็นพระพุทธเจ้าเลย ท่านเริ่มมาจากชาติหนึ่งที่ท่านเป็นคนเลี้ยงโค แล้วก็ เจอพระภิกษุรูปหนึ่งในศาสนาของพระพุทธเจ้าสมัยนู่นยาวเลย แล้วก็ได้ถวายผ้าเก่าเก่าแค่ผืนเดียว (เราเอาจุดนี้แหละ มาถวายจีวรแล้วอธิษฐานตาม) และปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า อันนี้ดูน่าเชื่อถือกว่า เพราะว่ามันดูมีความเป็นไปได้สูงการที่ที่จะแบกคนคนนึงถ้ามหาสมุทรว่ายน้ำข้ามทะเลมันดูอินพอสซิเบิ้ลมาก เพราะว่าอย่าลืมว่า ถ้าเชื่อตามตำราแรกเราต้องไม่ลืมว่าในตอนนั้นพระอริยะโพธิสัตว์ยังเป็นคนธรรมดาแบบเราเราอยู่เลย เป็นไปไม่ได้ที่จะมีพาวเวอร์มหาศาลขนาดที่แบบคนอีกคนนึงข้ามมหาสมุทรได้ และรวมถึงความเป็นไปได้ที่การเป็นพระพุทธเจ้าจะต้องให้คนอื่นมาดลใจให้

นี่ยังไม่รวมถึงเหตุผลที่ว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่น่าจะตรัสเล่าอะไรแบบนั้น เพราะว่าในชาติที่ท่านไม่ได้บำเพ็ญบารมีอะไร 30 ข้อเลยท่านจะไปเล่าทำไม อย่าลืมว่าในคัมภีร์ดังกล่าว ไม่ได้เล่าแค่ชาติแรกของพระพุทธเจ้าที่แบกมารดาข้ามมหาสมุทรเท่านั้น ยังอุตส่าห์เล่าต่อมาว่าชาติต่อมาเกิดเป็นนั่นเกิดมินนี่แล้วก็ทำบุญต่อไปทำบุญต่อไป ซึ่งในแต่ละชาติถ้าฟังดูแล้วมันดูลอยๆมาก เพราะว่าเล่าแค่ว่าเกิดเป็นนั่นเกิดเป็นหนี้ทำบุญเกิดเป็นโน่นทำบุญไปเรื่อย ๆ  ไม่ได้มีการบำเพ็ญบารมีอะไรเลย ซึ่งพระพุทธเจ้าเองถ้าพระดำรัสไหนไม่ได้เกิดประโยชน์กับผู้ฟังท่านก็จะไม่ตรัสแน่นอน

นอกจากการจะไม่ได้บำเพ็ญบารมี 30 ทัศแล้วก็ยังไม่ได้มีการเป็นชาดกในชาติต่างๆที่เกิดขึ้นด้วย เหมือนเป็นคัมภีร์ที่แต่งขึ้นมาเฉยเฉยเพื่อที่จะบอกว่าในครั้งนั้นพระพุทธเจ้าท่านคิดแบบนี้ก็เลยทำบุญมาเรื่อยเรื่อยนะ จนกระทั่งมาได้รับพระพุทธ

แต่ส่วนตัวคิดว่าคัมภีร์ที่เชื่อได้มากกว่าคือตัวพระไตรปิฎกเองเพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่มีทางที่จะตัดเฟิร์สไทม์ถึงสองครั้ง

มันจะต้องมีอันไหนที่เป็นการแต่งขึ้นมาใหม่แน่นอนแล้วคิดว่าตัวที่บอกว่าแบกมารดาข้ามมหาสมุทรไม่น่าใช่

ปล. .ใครอยากจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ให้ถวายจีวรให้พระหนึ่งรูปเป็นอย่างน้อย แล้วอธิษฐาน ตามไกด์ไลน์ที่ทรงฝากพระอานนท์มาให้ผู้ที่ปรารถนาจะสำเร็จแบบ 100% ไม่คลาด ไม่พลาดไปบรรลุแบบเป็นสาวกเสียก่อน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่