อันดับแรกต้องบอกก่อนนะครับว่าบทความที่ผมนำมาลงในกระทู้นี้
เอามาจากงานเขียนใน FB ของคุณ Patison Benyasuta
ซึ่งเป็นเพื่อนในเฟซผมอีกที และได้ทำการขออนุญาตเจ้าตัว นำบทความดังกล่าวมาลงในพันทิป
ด้วยเป็นบทวิเคราะห์ซีรี่ย์เด็กใหม่ ss2 ในเชิงปรัชญา และศาสนา ได้เป็นอย่างดี
จนผมอยากให้บทความนี้ มีผู้อ่านที่มากกว่านี้
และอาจจะทำให้เราได้สัมผัสถึงแนนโน๊ะ มากขึ้นในอีกหลายแง่มุม ก็เป็นได้
บทความยาวไปหน่อย อาจเป็นเนื้อหาเชิงวิชาการ แต่ผมเชื่อว่าไม่ยากเกินความเข้าใจ
อ่านเพลินแน่นอน ขอบพระคุณมากครับ ^^
แนนโน๊ะกับความซาตานแบบไทย ๆ
.
เพิ่งได้ดูแนนโน๊ะจบทั้งสองซีซั่น รู้สึกดีใจที่หนังไทยเกี่ยวกับประเด็นทางจริยธรรม ความดี – ชั่ว สมัยนี้ หลุดออกจากคอนเซ็ปต์กฎแห่งกรรมไปได้บ้าง หลังจากพบเห็นคอนเซ็ปเรื่อง “กรรม” ในงานไทยเทรดิชั่นคลาสสิคมาหลายครั้งอย่างหนังพวกห้าแพร่ง แต่หันไปใช้คอนเซปต์ที่อาจตีความได้ว่าได้รับอิทธิพลจาก “ซาตาน” ในศาสนากลุ่มอับราฮัมมิกแทน (เชื่อว่า ผู้จัดคงอยากให้เป็นตามนี้ เพราะแนนโน๊ะเองก็ได้แรงบันดาลใจชัดมาก ๆ จากงานของโทมิเอะของอาจารย์จุนจิ อิโตะ อย่างโจ่งแจ้ง จะให้ปรับเป็นเรื่องกรรม มันไทยจ๋า คงจะเขินๆ จึงเลือกใช้คอนเซ็ปต์การวัดความดี-ชั่ว แบบสากลโลกอื่น ๆ ดูบ้าง)
.
ในหนังก็ไม่ได้บอกหรอกว่า แนนโนะเป็นตัวอะไร แต่ภาพลักษณ์ตอนแรกๆ ก็สื่อชัดว่าทำหน้าที่คล้าย ๆ ซาตานในศาสนาคริสต์ (ซึ่งในท้ายเรื่อง บทบาทของแนนโนะพัฒนาต่อไป จนก่อกวนความคิดของผู้ชมว่า ตกลงนางเป็นซาตานหรือพระเจ้ากันแน่ ก็เข้ากับคอนเซ็ปของลัทธิบูชาซาตานสมัยใหม่ ที่เปลี่ยนมุมมองซาตานไปอีกแบบหนึ่ง)
.
ก่อนอื่นต้องเท้าความว่า ซาตาน (แบบคลาสสิค) ไม่ได้ทำหน้าที่แบบ “กรรม” ที่ตามสนองความชั่วของใครนะ แต่ซาตานมีบทบาทหลักคือ ต้องการให้มนุษย์พินาศ

ไม่ว่าจะทั้งทางร่างกายและจิตใจ หน้าที่หลักของซาตานคือพยายามทำให้คนทำบาป และพินาศลงไปด้วยการกระทำของตัวเอง พร้อมลากคนรอบข้างที่บริสุทธิ์ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ให้พินาศลงไปด้วย (เช่น พ่อมีชู้ ลูกรู้เข้าก็เสียใจวิ่งลงถนนรถชนตาย ในศาสนาพุทธเองอธิบายกรรมแบบนี้ในอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งไม่ขออธิบายจ้ะ) ความชั่วจึงเหมือนเชื้อโรคโควิทที่แพร่กระจายไปโดยไม่เลือกว่าใครทำผิดมาบ้าง แค่อยู่ใกล้ตัวคนชั่ว ก็ติดเชื้อความพินาศไปด้วย
.
.
ความชั่วจึงเหมือน “ความโกลาหล” (Chaos) ในความคิดของพวกกรีกโบราณ เชื่อกันว่าโลกและจักรวาลมีระบบระเบียบ (order) ของมันอยู่ ในยุคก่อนวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่า ความชั่วคือการไปก่อกวนระเบียบของจักรวาล ทำให้จักรวาลโกลาหล (ซึ่งไม่ได้มองด้วยหลักฟิสิกส์แบบโลกสมัยใหม่ ที่โลกดำรงอยู่ได้ด้วยแรงต่าง ๆ ไม่ใช่ความดีและความชั่ว) ดังนั้น แม้คนบริสุทธิ์ก็ต้องรับเชื้อความซวยจากคนชั่วไปด้วย อุปมาเหมือนคนขายยาบ้า คนอื่น ๆ ในชุมชนเดียวกันก็ซวยไปหมด ในศาสนาคริสต์เองก็รับอิทธิพลคอนเซ็ปต์ความโกลาหลแบบกรีกนี้มาเหมือนกัน จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมอดัมกินแอปเปิ้ลผลเดียวจึงเกิดผลรุนแรงมาก เพราะในสภาวะที่บริสุทธิ์ของสวนเอเดน การมีความผิดปกติจากระบบระเบียบนิดเดียวย่อมนำมาซึ่งความโกลาหล
.
สำหรับซาตานนั้น ในศาสนาคริสต์ถือว่าเป็น “เจ้าแห่งโลกนี้” (Prince of the world) และเป็น “จอมโกหก” คือพูดอะไร ทำอะไรออกมาก็โกหกตลอดเวลา (เช่นในกลุ่มศาสนาอับราฮัมมิกจะเชื่อว่า ผีไม่มีในโลก แต่ผีปู่ย่าตายายที่เราเห็น เกิดจาก “ปีศาจประจำบ้าน” ในอิสลามคือ ญิน ที่สิงสู่ในตระกูลมานานจนจำได้หมดว่าทวดเราเป็นใคร ชื่ออะไร ชอบกินอะไร ความลับอะไรในบ้านรู้หมด จึงสามารถปลอมตัวเป็นบรรพบุรุษมาเข้าทรง หลอกให้ลูกหลานเอาอาหารมาเลี้ยงได้)
.
แต่จะให้ซาตานโกหกแบบโต้งๆ หนังก็ไม่สนุก เพราะการทำให้คนชั่วพินาศ

จริงๆ นั้น คนจะเลวต้องทำเลวด้วย “ความตั้งใจ” อันนี้ก็เข้าคอนเซ็ป “เจตจำนงเสรี” (Free will) ในศาสนาคริสต์ ซึ่งมนุษย์มีสิทธิ์เลือกในการทำความดีและชั่วได้ โดยอธิบายว่า “บาปหนัก” คือบาปที่มนุษย์ทำด้วยความเต็มใจ ตั้งใจทำ มีสติสมบูรณ์พร้อม เช่น ตั้งใจจะฆ่า วางแผนฆ่า และฆ่า หากไม่ตั้งใจฆ่า ไม่มีเจตนา ถึงตายไปจริง และจัดนับว่าเป็นบาปก็จริง แต่ไม่ใช่บาปหนักอันมีโทษถึงนรกนิรันดร และการหลอกให้มนุษย์ทำบาปโดยไม่ตั้งใจ เบลอๆ ทำนั้น ก็เหมือนหลอกขโมยขนมจากเด็ก ๆ มันช่างไร้ศักดิ์ศรีของพญามารเกินไป ดังนั้น เราจึงเห็นในหนังว่า ทุกครั้งที่แนนโนะเข้าหาคนชั่ว จะถามก่อนว่า ที่ทำแบบนี้น่ะดีแล้วหรอ “มีครอบครัวแล้วนะ จะมีชู้หรอ” “รู้ไหมว่าสิ่งที่ทำมันผิด” เพราะการที่ซาตานจะทำให้คนพินาศ

ที่สุด ย่อมต้องเกิดจากเจตนารู้ตัวที่แท้จริง ไม่ใช่ทำเพราะเบลอ ทำเพราะหื่น ทำเพราะเมา
.
.
อย่างไรก็ตาม แนนโนะก็เป็นนางเอกหนังไทยที่คอนเซ็ปชั่วดีแบบเทา ๆ ยังยอมรับได้ยาก ดังนั้นการจะสร้างให้แนนโนะไปล่อลวงคนดี ๆ ให้ทำชั่วนั้น น่าจะเป็นอะไรที่คนดูยากจะยอมรับได้ ในฐานะนางเอกไทย ดังนั้นหนังจึงเริ่มด้วยการที่ แนนโนะเข้าไปหาคนที่มี “เชื้อชั่ว” อยู่แล้ว และกระตุ้นให้ทำชั่วมากขึ้นไปอีกและพินาศไปในตอนจบ (เหมือนกับว่ากำลังได้รับกรรม และทำให้หนังซอฟท์ลง เพราะคนดูจะรู้สึกอินในตอนจบที่คนชั่วจะรับกรรมเสมอ)
.
แต่ไม่ได้อธิบายตั้งแต่ต้นว่า แล้วไอ้คนนั้นน่ะ มันเริ่มสตาร์ททำชั่วยังไง ใครไปดลใจหรือล่อลวงมัน จึงอาจตอบกำปั้นทุบดินได้สองแนวทางคือ 1. มนุษย์มีเชื้อชั่วเป็นธรรมชาติสันดานเดิมอยู่แล้ว 2. เป็น free will ของมนุษย์ที่เริ่มเลือกเริ่มทำดีหรือชั่ว “ครั้งแรก” ได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องอาศัยการล่อลวงของซาตาน ซาตานจึงเป็นแต่ผู้รอซ้ำเติมเท่านั้น การเพาะเชื้อชั่วครั้งแรกจึงไม่ใช่หน้าที่ความรับผิดชอบของซาตาน
.
หนังมาพลิกพลอตเอาตอนท้าย ๆ ของซีรีย์สอง ซึ่งก็เป็นคอนเซ็ปต์เดิม ๆ ของโลกสมัยใหม่ที่เกิดตั้งคำถามกันในลัทธิบูชาซาตานว่า ซาตานมันชั่วหรือพระเจ้าชั่วกันแน่ ตกลงว่าจักรวาลนี้ใครเป็นผู้ร้าย แล้วแนนโนะมีสิทธิ์ไปตัดสินบาปของชาวบ้านหรอ (ส่วนตัวของเรา เราไม่ได้มองว่าแนนโนะตัดสินใครเลย ทุกคน

เพราะการตัดสินใจทำชั่วมากขึ้นด้วยตนเองเท่านั้น ซาตานไม่ได้ทำให้ใครพินาศ แค่พาเข้าไปในสถานการณ์เหมาะๆ แล้วให้ตัดสินใจเอง)
.
.
การทำตัวเป็นผู้ตัดสินใจโลกเทา ๆ ที่ความดีความชั่วมันคลุมเครือ มันจะตัดสินได้จริง ๆ หรอ – พลอตนี้คือเอาหนังฝรั่งบางเรื่องอย่าง “กระท่อมปาฏิหาริย์” มาตั้งคำถามกับหน้าที่ของ “พระเจ้า” ในฐานะผู้ตัดสินว่า โลกที่คลุมเครือ และทุกคนที่เป็นลูกที่รักของพระเจ้า ต่างมีเหตุผลในการทำชั่วกันทั้งนั้น
.
แล้วพระเจ้า พระองค์จะตัดสินอย่างไร ในหนัง(ฝรั่ง)เอาไบเบิ้ลมากางแล้วตอบว่า “เพราะพระเจ้าไม่อยากตัดสินลูกของพระองค์ จึงลงมาในโลกแล้วตายบนไม้กางเขนรับโทษแทนมนุษย์” เราจึงเห็นว่าทำไมตอนสุดท้ายแนนโนะเลือกที่จะตายเอง เพื่อปกป้องไม่ให้แม่กับลูกฆ่ากันเอง เพราะเรื่องราวที่คลุมเครือก็เลยเถิดไปกันใหญ่จนแยกไม่ได้แล้วว่าอะไรดีอะไรชั่ว
.
.
เรื่องนี้จึงย้อนกลับไปในไบเบิ้ล การที่อดัมกินผลไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่ว ไม่ใช่เพราะความดื้อด้านต่อต้านคำสั่งของพระเจ้าอย่างเดียว แต่มนุษย์ปรารถนาจะเป็นผู้ออกกฎ และเป็นผู้ตัดสินความดีความชั่วของผู้อื่นแทนพระเจ้า คือการแย่งชิงสถานะของพระเจ้าผู้ทรงเป็นตุลาการแต่เพียงพระองค์เดียวมาเป็นของตัว เราจึงเห็นว่าในฉากสุดท้ายว่า เมื่อแนนโนะตายแล้ว ยูริแบ่งเลือดของตนให้กับเด็กสาว เพื่อทำหน้าที่พิพากษาคนชั่วทั่วโลกกันตามใจชอบ “โลกก็ไม่ต้องการแนนโนะอีก” ซึ่งหนังมันสนุกตรงความคลุมเครือในสถานะของแนนโนะนี่แหละ ว่าเธอที่ดูเป็นซาตานในตอนต้นเรื่อง กลับสวมบทบาทของพระเจ้าในตอนท้าย ก็ดูจะเข้ากันได้ดีกับมุมมองทางด้านลัทธิซาตานในปัจจุบัน
.
.
ถ้าถามเราว่า ตกลงแนนโนะเป็นพระเจ้าหรือปีศาจ เราก็ยังตอบว่านางเป็นปีศาจอยู่ดี เพราะหน้าที่ของพระเจ้าคือ “ช่วยปกป้องไม่ให้มนุษย์เข้าไปอยู่ในการล่อลวงของปีศาจ ในสถานการณ์ใด ๆ ทั้งสิ้นที่จะทำให้เกิดการทำบาป” และพร้อมจะให้อภัยคนบาปเสมอ ไม่ใช่การตัดสินลงโทษมนุษย์ในเวลาที่เขายังมีชีวิต เพราะชีวิตแต่ละวันของมนุษย์ คือโอกาสที่พระเจ้าหยิบยื่นให้เพื่อที่จะได้กลับใจจากความชั่วไปจนวันสุดท้าย เมื่อนั้น ในชีวิตหลังความตายการพิพากษาจึงจะตามมาภายหลัง
###แนนโน๊ะ กับความซาตาน แบบไทยๆ###
เอามาจากงานเขียนใน FB ของคุณ Patison Benyasuta
ซึ่งเป็นเพื่อนในเฟซผมอีกที และได้ทำการขออนุญาตเจ้าตัว นำบทความดังกล่าวมาลงในพันทิป
ด้วยเป็นบทวิเคราะห์ซีรี่ย์เด็กใหม่ ss2 ในเชิงปรัชญา และศาสนา ได้เป็นอย่างดี
จนผมอยากให้บทความนี้ มีผู้อ่านที่มากกว่านี้
และอาจจะทำให้เราได้สัมผัสถึงแนนโน๊ะ มากขึ้นในอีกหลายแง่มุม ก็เป็นได้
บทความยาวไปหน่อย อาจเป็นเนื้อหาเชิงวิชาการ แต่ผมเชื่อว่าไม่ยากเกินความเข้าใจ
อ่านเพลินแน่นอน ขอบพระคุณมากครับ ^^
แนนโน๊ะกับความซาตานแบบไทย ๆ
.
เพิ่งได้ดูแนนโน๊ะจบทั้งสองซีซั่น รู้สึกดีใจที่หนังไทยเกี่ยวกับประเด็นทางจริยธรรม ความดี – ชั่ว สมัยนี้ หลุดออกจากคอนเซ็ปต์กฎแห่งกรรมไปได้บ้าง หลังจากพบเห็นคอนเซ็ปเรื่อง “กรรม” ในงานไทยเทรดิชั่นคลาสสิคมาหลายครั้งอย่างหนังพวกห้าแพร่ง แต่หันไปใช้คอนเซปต์ที่อาจตีความได้ว่าได้รับอิทธิพลจาก “ซาตาน” ในศาสนากลุ่มอับราฮัมมิกแทน (เชื่อว่า ผู้จัดคงอยากให้เป็นตามนี้ เพราะแนนโน๊ะเองก็ได้แรงบันดาลใจชัดมาก ๆ จากงานของโทมิเอะของอาจารย์จุนจิ อิโตะ อย่างโจ่งแจ้ง จะให้ปรับเป็นเรื่องกรรม มันไทยจ๋า คงจะเขินๆ จึงเลือกใช้คอนเซ็ปต์การวัดความดี-ชั่ว แบบสากลโลกอื่น ๆ ดูบ้าง)
.
ในหนังก็ไม่ได้บอกหรอกว่า แนนโนะเป็นตัวอะไร แต่ภาพลักษณ์ตอนแรกๆ ก็สื่อชัดว่าทำหน้าที่คล้าย ๆ ซาตานในศาสนาคริสต์ (ซึ่งในท้ายเรื่อง บทบาทของแนนโนะพัฒนาต่อไป จนก่อกวนความคิดของผู้ชมว่า ตกลงนางเป็นซาตานหรือพระเจ้ากันแน่ ก็เข้ากับคอนเซ็ปของลัทธิบูชาซาตานสมัยใหม่ ที่เปลี่ยนมุมมองซาตานไปอีกแบบหนึ่ง)
.
ก่อนอื่นต้องเท้าความว่า ซาตาน (แบบคลาสสิค) ไม่ได้ทำหน้าที่แบบ “กรรม” ที่ตามสนองความชั่วของใครนะ แต่ซาตานมีบทบาทหลักคือ ต้องการให้มนุษย์พินาศ
.
.
ความชั่วจึงเหมือน “ความโกลาหล” (Chaos) ในความคิดของพวกกรีกโบราณ เชื่อกันว่าโลกและจักรวาลมีระบบระเบียบ (order) ของมันอยู่ ในยุคก่อนวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่า ความชั่วคือการไปก่อกวนระเบียบของจักรวาล ทำให้จักรวาลโกลาหล (ซึ่งไม่ได้มองด้วยหลักฟิสิกส์แบบโลกสมัยใหม่ ที่โลกดำรงอยู่ได้ด้วยแรงต่าง ๆ ไม่ใช่ความดีและความชั่ว) ดังนั้น แม้คนบริสุทธิ์ก็ต้องรับเชื้อความซวยจากคนชั่วไปด้วย อุปมาเหมือนคนขายยาบ้า คนอื่น ๆ ในชุมชนเดียวกันก็ซวยไปหมด ในศาสนาคริสต์เองก็รับอิทธิพลคอนเซ็ปต์ความโกลาหลแบบกรีกนี้มาเหมือนกัน จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมอดัมกินแอปเปิ้ลผลเดียวจึงเกิดผลรุนแรงมาก เพราะในสภาวะที่บริสุทธิ์ของสวนเอเดน การมีความผิดปกติจากระบบระเบียบนิดเดียวย่อมนำมาซึ่งความโกลาหล
.
สำหรับซาตานนั้น ในศาสนาคริสต์ถือว่าเป็น “เจ้าแห่งโลกนี้” (Prince of the world) และเป็น “จอมโกหก” คือพูดอะไร ทำอะไรออกมาก็โกหกตลอดเวลา (เช่นในกลุ่มศาสนาอับราฮัมมิกจะเชื่อว่า ผีไม่มีในโลก แต่ผีปู่ย่าตายายที่เราเห็น เกิดจาก “ปีศาจประจำบ้าน” ในอิสลามคือ ญิน ที่สิงสู่ในตระกูลมานานจนจำได้หมดว่าทวดเราเป็นใคร ชื่ออะไร ชอบกินอะไร ความลับอะไรในบ้านรู้หมด จึงสามารถปลอมตัวเป็นบรรพบุรุษมาเข้าทรง หลอกให้ลูกหลานเอาอาหารมาเลี้ยงได้)
.
แต่จะให้ซาตานโกหกแบบโต้งๆ หนังก็ไม่สนุก เพราะการทำให้คนชั่วพินาศ
.
.
อย่างไรก็ตาม แนนโนะก็เป็นนางเอกหนังไทยที่คอนเซ็ปชั่วดีแบบเทา ๆ ยังยอมรับได้ยาก ดังนั้นการจะสร้างให้แนนโนะไปล่อลวงคนดี ๆ ให้ทำชั่วนั้น น่าจะเป็นอะไรที่คนดูยากจะยอมรับได้ ในฐานะนางเอกไทย ดังนั้นหนังจึงเริ่มด้วยการที่ แนนโนะเข้าไปหาคนที่มี “เชื้อชั่ว” อยู่แล้ว และกระตุ้นให้ทำชั่วมากขึ้นไปอีกและพินาศไปในตอนจบ (เหมือนกับว่ากำลังได้รับกรรม และทำให้หนังซอฟท์ลง เพราะคนดูจะรู้สึกอินในตอนจบที่คนชั่วจะรับกรรมเสมอ)
.
แต่ไม่ได้อธิบายตั้งแต่ต้นว่า แล้วไอ้คนนั้นน่ะ มันเริ่มสตาร์ททำชั่วยังไง ใครไปดลใจหรือล่อลวงมัน จึงอาจตอบกำปั้นทุบดินได้สองแนวทางคือ 1. มนุษย์มีเชื้อชั่วเป็นธรรมชาติสันดานเดิมอยู่แล้ว 2. เป็น free will ของมนุษย์ที่เริ่มเลือกเริ่มทำดีหรือชั่ว “ครั้งแรก” ได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องอาศัยการล่อลวงของซาตาน ซาตานจึงเป็นแต่ผู้รอซ้ำเติมเท่านั้น การเพาะเชื้อชั่วครั้งแรกจึงไม่ใช่หน้าที่ความรับผิดชอบของซาตาน
.
หนังมาพลิกพลอตเอาตอนท้าย ๆ ของซีรีย์สอง ซึ่งก็เป็นคอนเซ็ปต์เดิม ๆ ของโลกสมัยใหม่ที่เกิดตั้งคำถามกันในลัทธิบูชาซาตานว่า ซาตานมันชั่วหรือพระเจ้าชั่วกันแน่ ตกลงว่าจักรวาลนี้ใครเป็นผู้ร้าย แล้วแนนโนะมีสิทธิ์ไปตัดสินบาปของชาวบ้านหรอ (ส่วนตัวของเรา เราไม่ได้มองว่าแนนโนะตัดสินใครเลย ทุกคน
.
.
การทำตัวเป็นผู้ตัดสินใจโลกเทา ๆ ที่ความดีความชั่วมันคลุมเครือ มันจะตัดสินได้จริง ๆ หรอ – พลอตนี้คือเอาหนังฝรั่งบางเรื่องอย่าง “กระท่อมปาฏิหาริย์” มาตั้งคำถามกับหน้าที่ของ “พระเจ้า” ในฐานะผู้ตัดสินว่า โลกที่คลุมเครือ และทุกคนที่เป็นลูกที่รักของพระเจ้า ต่างมีเหตุผลในการทำชั่วกันทั้งนั้น
.
แล้วพระเจ้า พระองค์จะตัดสินอย่างไร ในหนัง(ฝรั่ง)เอาไบเบิ้ลมากางแล้วตอบว่า “เพราะพระเจ้าไม่อยากตัดสินลูกของพระองค์ จึงลงมาในโลกแล้วตายบนไม้กางเขนรับโทษแทนมนุษย์” เราจึงเห็นว่าทำไมตอนสุดท้ายแนนโนะเลือกที่จะตายเอง เพื่อปกป้องไม่ให้แม่กับลูกฆ่ากันเอง เพราะเรื่องราวที่คลุมเครือก็เลยเถิดไปกันใหญ่จนแยกไม่ได้แล้วว่าอะไรดีอะไรชั่ว
.
.
เรื่องนี้จึงย้อนกลับไปในไบเบิ้ล การที่อดัมกินผลไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่ว ไม่ใช่เพราะความดื้อด้านต่อต้านคำสั่งของพระเจ้าอย่างเดียว แต่มนุษย์ปรารถนาจะเป็นผู้ออกกฎ และเป็นผู้ตัดสินความดีความชั่วของผู้อื่นแทนพระเจ้า คือการแย่งชิงสถานะของพระเจ้าผู้ทรงเป็นตุลาการแต่เพียงพระองค์เดียวมาเป็นของตัว เราจึงเห็นว่าในฉากสุดท้ายว่า เมื่อแนนโนะตายแล้ว ยูริแบ่งเลือดของตนให้กับเด็กสาว เพื่อทำหน้าที่พิพากษาคนชั่วทั่วโลกกันตามใจชอบ “โลกก็ไม่ต้องการแนนโนะอีก” ซึ่งหนังมันสนุกตรงความคลุมเครือในสถานะของแนนโนะนี่แหละ ว่าเธอที่ดูเป็นซาตานในตอนต้นเรื่อง กลับสวมบทบาทของพระเจ้าในตอนท้าย ก็ดูจะเข้ากันได้ดีกับมุมมองทางด้านลัทธิซาตานในปัจจุบัน
.
.
ถ้าถามเราว่า ตกลงแนนโนะเป็นพระเจ้าหรือปีศาจ เราก็ยังตอบว่านางเป็นปีศาจอยู่ดี เพราะหน้าที่ของพระเจ้าคือ “ช่วยปกป้องไม่ให้มนุษย์เข้าไปอยู่ในการล่อลวงของปีศาจ ในสถานการณ์ใด ๆ ทั้งสิ้นที่จะทำให้เกิดการทำบาป” และพร้อมจะให้อภัยคนบาปเสมอ ไม่ใช่การตัดสินลงโทษมนุษย์ในเวลาที่เขายังมีชีวิต เพราะชีวิตแต่ละวันของมนุษย์ คือโอกาสที่พระเจ้าหยิบยื่นให้เพื่อที่จะได้กลับใจจากความชั่วไปจนวันสุดท้าย เมื่อนั้น ในชีวิตหลังความตายการพิพากษาจึงจะตามมาภายหลัง