เตือนหนี้ครัวเรือนไทยทำนิวไฮ 92% ระเบิดเวลาเศรษฐกิจไทย
https://www.matichon.co.th/economy/news_2733197
นาย
บุรินทร์ อดุลวัฒนะ หัวหน้าทีมนักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยถึงสถานการณ์เศรษฐกิจไทยภายใต้การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอก 3 ว่า คาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตระดับ 1-2% หรืออาจน้อยกว่านี้หากรัฐบาลไม่สามารถกระจายวัคซีนได้ตามเป้าหมายเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะยิ่งซ้ำเติมประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มฐานรากที่มีปัญหาหนี้สินอยู่ก่อนแล้วให้เพิ่มพูนมากขึ้น สะท้อนต่อหนี้ครัวเรือนไทยปีนี้ให้ปรับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่อง คาดการณ์ว่าช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ระดับหนี้ครัวเรือนของไทยจะแตะร้อยละ 92 แล้ว เพิ่มขึ้นจากหนี้ครัวเรือนไทยในไตรมาส4 ปี 2563 สูงเป็นประวัติการณ์ อยู่ที่ร้อยละ 89.3 ของจีดีพี
- หมวดบัตรเครดิต-สินเชื่อส่วนบุคคลร้อยละ 40
การที่ระดับหนี้ครัวเรือนของไทยมีกว่า 14.2 ล้านล้านบาท และตลาดหลักทรัพย์ยังคงมองว่าหนี้ครัวเรือนจะเติบโตต่อเนื่องอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในหมวดบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งมีสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 40 ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด โดยในหมวดสินเชื่อนี้ อัตราดอกเบี้ยของบัตรเครดิตอยู่ที่ร้อยละ 16 และของสินเชื่อส่วนบุคคลอยู่ที่ร้อยละ 25 การที่ดอกเบี้ยสูงมากนี้ จะส่งผลให้เกิด Debt Trap หรือกับดักหนี้ ที่ผู้กู้ไม่สามารถหลุดออกจากการเป็นหนี้ได้เพราะการขยายตัวของหนี้สินมากกว่าความสามารถในการชำระหนี้ เสมือนเป็นระเบิดเวลาของเศรษฐกิจหากเราไม่ได้แก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจังและรวดเร็ว
ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบกับต่างประเทศ ประเทศไทยถือว่าเป็นประเทศที่กำลังพัฒนาที่มีระดับหนี้ครัวเรือนเทียบกับ GDP ที่สูงมากใน Asia และเมื่อเทียบประเทศไทยกับประเทศที่พัฒนาแล้ว ไทยมีระดับหนี้ครัวเรือนเทียบกับ GDP น้อยกว่าเพียงแค่สหราชอาณาจักร (96.6%) และเกาหลีใต้ (106.6%) แต่มากกว่าระดับของ สหรัฐอเมริกา (69.5%) และสิงคโปร์ (67.9%) และยิ่งไปกว่านั้น สินเชื่อบ้านที่จัดว่าเป็นสินทรัพย์ที่ดีและดอกเบี้ยต่ำนั้น ของไทยเราในปัจจุบันมีเพียงร้อยละ 34 ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่า ของทั้ง สิงคโปร์ (74%) และอังกฤษ (84%) มาก
การที่ไทยมีหนี้ครัวเรือนระดับสูงจะเป็นการฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจไทย เพราะในปี 2563 การบริโภคภาคเอกชนนั้นคิดเป็นถึงร้อยละ 53 ของ GDP และ อีกข้อมูลหนึ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ ประเทศไทยมีหนี้ครัวเรือนที่ 14.2 ล้านล้านบาทซึ่งสูงกว่าหนี้ธุรกิจที่ 9.5 ล้านล้านบาท สะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจว่าเม็ดเงินการลงทุนจากภาคเอกชนต่ำมานาน เมื่อการอุปโภคบริโภคมากกว่าการลงทุนของภาคเอกชนจะส่งผลความสามารถในการแข่งขันของไทยลดลงเรื่อยๆ
- ทำไมหนี้ครัวเรือนของไทยถึงสูงขึ้นอย่างมาก
ในปี 2549 หนี้ครัวเรือนไทยอยู่ที่เพียงร้อยละ 44.4 ของ GDP แต่ในปัจจุบันใกล้ร้อยละ 90 (เพิ่มขึ้นสองเท่า) โดยจากการศึกษาของธนาคารแห่งประเทศไทย “ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา คนไทยเป็นหนี้ในวงกว้างขึ้น และมีค่ากลางมูลหนี้เพิ่มจาก 7 หมื่นบาทต่อราย เป็น 1.28 แสนบาทต่อราย และพบว่าคนไทยยังเป็นหนี้เร็ว คือเป็นหนี้ตั้งแต่อายุน้อย โดยร้อยละ 60 ของกลุ่มคนอายุ 29-30 ปีจะเป็นหนี้ โดยกลุ่มคนอายุน้อยจะมีหนี้เสียถึง 1 ใน 4 และคนไทยยังเป็นหนี้นาน แม้หลังเกษียณแล้ว” ซึ่งหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญคือการดำเนินนโยบายภาครัฐที่กระตุ้นให้เกิดการกู้ยืม “ในส่วนของคนเมืองคือ นโยบายรถคันแรก ที่ทำให้คนที่ยังไม่พร้อมต้องมาก่อหนี้ ก่อให้เกิดหนี้เสีย และสำหรับชาวชนบทคือ นโยบายพักชำระหนี้เกษตรกร ที่ทำให้เกษตรกรที่เข้าโครงการพักหนี้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2559 มีหนี้สะสมมากขึ้น และกลายเป็นหนี้เสีย มากกว่าเกษตรกรที่ไม่ได้เข้าโครงการ”
นอกจากนั้น การที่ทางผู้ประกอบธุรกิจ SME บางส่วนไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้จากสถาบันการเงินได้ จึงต้องยอมใช้เงินกู้ผ่านบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลมาบรรเทาปัญหา ถึงแม้ว่าดอกเบี้ยจะสูงกว่ากันมาก และยังมีคนไทยอีกกลุ่มหนึ่งที่มีความจำเป็นต้องก่อหนี้เพื่อนำมาใช้ในการประกอบอาชีพ เช่น คนขับรถแท็กซี่ และ คนส่งอาหาร
- การขาดความรู้ ความเข้าใจด้านการเงิน
นอกจากนั้นการที่คนไทยส่วนใหญ่ขาดความเข้าใจและทักษะทางการเงิน จึงทำให้หนี้สินเพิ่มขึ้นมากอย่างรวดเร็วแบบไม่รู้ตัว ซึ่งข้อมูลจากเครดิตบูโรชี้ให้เห็นว่าคนไทยมีจำนวนบัญชีบัตรเครคิตและสินเชื่อส่วนบุคคลประมาณ 50 ล้านบัญชี (คนหนึ่งอาจจะมีมากกว่าหนึ่งบัญชี) นอกจากนั้น เราคงเคยเห็นโฆษณาเงินกู้ในที่ต่าง ๆ เช่น ร้อยละ 1 แต่เป็นการคิดดอกเบี้ยต่อเดือนไม่ใช่ต่อปี ข้อมูลจากทางเว็บไซต์บริษัทให้สินเชื่อทะเบียนรถแห่งหนึ่ง ระบุคิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1.03 ต่อเดือน แต่เทียบเท่าอัตราที่แท้จริงคือ ร้อยละ 22.50 ต่อปี ซึ่งข้อมูลตรงนี้ไม่มีความโปร่งใสว่าคำนวณมาได้อย่างไร และในบางกรณี ผู้บริโภคก็โดนหลอกให้ทำประกันชีวิต โดยสถาบันการเงินบางแห่งให้ข้อมูลว่าเป็นการฝากเงิน หรือโดนบังคับให้ทำประกันเพื่อจะได้ให้เงินกู้ได้รับการอนุมัติ เป็นต้น
ผมขอยกอีกตัวอย่างหนึ่งไว้เพื่อเป็นการเตือนถึงอันตรายที่อาจพบได้ หากใช้บัตรเครดิตแล้วขาดความเข้าใจ สมมติว่าเราเป็นหนี้บัตรเครดิต 10,000 บาท แต่เราเลือกที่จ่ายเพียงยอดขั้นต่ำที่อยู่ที่ร้อยละ 5 ของยอดคงค้างทุกเดือน และเราใช้อัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตในปัจจุบัน ที่ร้อยละ 16 เชื่อหรือไม่ครับว่าต้องใช้เวลากว่า 12 ปี กว่าจะผ่อนชำระหนี้ก้อนนี้หมด และคิดเป็นเงินค่าดอกเบี้ยทั้งหมด 3,295 บาท ซึ่งตรงนี้ผมเชื่อว่าหลายคนอาจจะไม่ได้ตระหนักถึงภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้นมาอย่างหนัก
- แนวทางการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน
ล่าสุดผมเพิ่งได้ทราบข่าว ซึ่งนับว่าเป็นข่าวดีมากๆ ว่าทางธนาคารออมสินจะเข้ามาแข่งขันในธุรกิจจำนำทะเบียนรถโดยเสนอดอกเบี้ยที่ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ 14.99% ต่อปี หรือ 0.69% ต่อเดือน ซึ่งเป็นการเพิ่มการแข่งขันในตลาดนี้และจะทำให้ภาระดอกเบี้ยสำหรับผู้มีรายได้น้อยปรับลดลง จะเป็นการลดค่าใช้จ่ายลงอย่างมีนัย ซึ่งผมก็หวังว่ากลไกตลาด จะทำให้เกิดความโปร่งใสและอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อให้เศรษฐกิจไทยเติบโตไปได้ด้วยความมั่นคงและยั่งยืน
ปัญหาหนี้ครัวเรือนก็ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทยเพียงแห่งเดียว มีตัวอย่างจากต่างประเทศ เช่น ในสหราชอาณาจักรมีคนประมาณ 2 ล้านคนที่กำลังประสบปัญหาหนี้เรื้อรัง (Persistent Debt) ก่อให้เกิดปัญหาต่อทั้งสุขภาพจิตและสุขภาพร่างกายกับคนจำนวนมาก หน่วยงานของรัฐบาลอังกฤษ FCA (Financial Conduct Authority) ได้ออกกฎเกณฑ์ให้สถาบันการเงินที่ให้สินเชื่อบัตรเครดิต ต้องติดต่อกับกลุ่มคนที่มีหนี้เรื้อรัง (บุคคลที่จ่ายแต่ยอดขั้นต่ำมาแล้ว 18 เดือน หรือจ่ายดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมเท่ากับยอดเงินต้นที่กู้มาในตอนแรก) โดยทาง FCA บังคับให้สถาบันการเงินต้องติดต่อหาทางออกร่วมกันกับลูกหนี้ที่ประสบปัญหา โดยการให้ความรู้ ปรับโครงสร้างหนี้ ลดดอกเบี้ย หรือยกหนี้ให้เลย
ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ผมยังไม่ได้นำหนี้นอกระบบมารวม ซึ่งหนี้นอกระบบนี่ต้องถือเป็นมะเร็งร้ายที่กัดกร่อน โครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมไทยอย่างหนัก อัตราดอกเบี้ยของหนี้นอกระบบนี้อาจจะอยู่ที่ร้อยละ 3 ต่อวัน หรือมากกว่า 1,000% ต่อปี ผมขอคัดข้อความจากกระทรวงยุติธรรม ดังต่อไปนี้
“
กลุ่มอาชีพที่มีปัญหาเรื่องหนี้นอกระบบ แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ
1. พ่อค้าแม่ค้า เนื่องจากเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยาก ทำให้ต้องพึ่งพาเงินกู้นอกระบบ
2. พนักงานรัฐวิสาหกิจ ไม่น่าเชื่อกลุ่มนี้จะตกเป็นหนี้นอกระบบเช่นกัน
3. ข้าราชการ โดยเฉพาะข้าราชการในต่างจังหวัด อย่างข้าราชการครู มีปัญหาเรื่องหนี้นอกระบบ
และ 4. เกษตรกร มีปัญหาเรื่องเงินกู้นอกระบบอย่างรุนแรง เพราะนายทุนในพื้นที่ได้ทุกอย่างทั้งเครื่องมือการเกษตร อุปกรณ์การเกษตร มีสินค้าให้กู้ยืม และการทำสัญญาขายฝากเพียงแค่เซ็นแล้วนำโฉนดที่ดินมาวางไว้เท่านั้น”
จึงสะท้อนให้เห็นว่าปัญหาหนี้นอกระบบได้ส่งผลต่อประชาชนในวงกว้าง มีผลลบต่อเศรษฐกิจอย่างมาก
อันที่จริง ธุรกิจสินเชื่อทะเบียนรถ มาช่วยลดปัญหาสินเชื่อนอกระบบได้ระดับหนึ่ง เพราะมีอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่ามาก แต่อาจจะตอบโจทย์เฉพาะกลุ่มคนที่มีหลักประกัน เช่น รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ เป็นต้น แต่สำหรับประชาชนกลุ่มอื่นอาจจะไม่มีทางเลือกมากนัก จึงเป็นอีกโจทย์หนึ่งที่สำคัญว่าจะทำอย่างไรให้คนเหล่านี้เข้าถึงสินเชื่อในระบบในอนาคตอันใกล้นี้ เราจะเห็นบริษัท Fintech หลายแห่งที่จะเข้ามาแก้ Pain Point ตรงนี้ โดยเฉพาะจากกลุ่ม Crowd Funding และ P2P Lending ผมคิดว่าเราน่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น
หากหน่วยงานของรัฐมากำกับดูแลให้เกิดความโปร่งใสและมีความตั้งใจที่จะแก้ปัญหาหนี้ทั้งในและนอกระบบอย่างจริงจัง ยิ่งเราสามารถนำตัวอย่างแนวทางแก้ไขจากประเทศอื่นๆ ที่ประสบปัญหาเช่นเดียวกับเรามาปรับให้เข้ากับบริบทของประเทศ ผมมองว่าเราจะสามารถแก้ปัญหานี้ได้และถือเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนคนไทย โดยไม่ต้องสิ้นเปลืองงบประมาณ ดังเช่นนโยบายเยียวยาของรัฐในหลายมาตรการที่ผ่านมา
ท้ายที่สุดผมขอฝากไว้ว่าประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาหนี้ครัวเรือน ที่เปรียบเสมือนระเบิดเวลา ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการแก้ปัญหานี้อย่างเร่งด่วน และหากทำได้สำเร็จ จะเป็นการทำให้คนไทยหลายสิบล้านคนมีความหวังขึ้นมาอีกครั้งอย่างแน่นอน!!
จี้ "แอสตร้าฯ" เคลียร์ หลังรัฐบาลประหยัดไม่เข้าท่า แบ่งฉีดวัคซีน 1 ขวด 12 โดส?
https://www.khaosod.co.th/covid-19/news_6409446
เพื่อไทย อัดรัฐบาล อย่าประหยัดไม่เข้าเรื่อง หลัง “อนุทิน” ให้แบ่งฉีดวัคซีนเพิ่มโดส จาก 10 โดส เป็น 12 โดส ต่อ 1 ขวด จี้ “บ.แอสตร้าเซนเนก้า” แจงทำได้หรือ
เมื่อวันที่ 20 พ.ค. นาย
ชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวกรณีที่นาย
อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข มอบนโยบายให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดและผู้ว่าฯ บริหารจัดการการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซเนก้า ที่จะจัดส่งในเดือน มิ.ย.เป็นต้นไปจากเดิม วัคซีน 1 ขวดฉีดได้ 10 โดส ต้องทำให้ฉีดให้ได้ 12 โดส เพื่อประหยัดงบประมาณและกระจายวัคซีนให้ได้มากขึ้นว่า
การที่รัฐบาลเลือกแนวทางนี้เพราะบริหารจัดการวัคซีนผิดพลาด มีวัคซีนไม่เพียงพอต่อการคุมสถานการณ์ใช่หรือไม่ ถึงแม้วัคซีนที่บรรจุ 1 ขวดตามหลักปฏิบัติแล้ว จะบรรจุปริมาณเกินเผื่อไว้สำหรับความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น แต่การบังคับให้บุคลากรหน้างาน กระจายวัคซีนให้ได้จำนวนโดสเพิ่มขึ้น จะสามารถยืนยันได้อย่างไรว่าประชาชนทุกคนจะได้รับปริมาณวัคซีนที่เพียงพอในแต่ละโดส
จึงอยากเรียกร้องไปถึง บ.แอสตร้าเซนเนก้า ให้ออกมายืนยันถึงความเหมาะสม และความปลอดภัยทางการแพทย์ว่าทำได้หรือไม่ หากมีประชาชนได้รับวัคซีนในปริมาณที่น้อยเกินค่าปกติ จะส่งผลต่อการป้องกันหรือควบคุมโรคอย่างไร และมีความเสี่ยงอื่นๆ เพิ่มเติมอีกหรือไม่ เพราะปัจจุบันประชาชนคนไทยคงไม่อาจเชื่อถือคำตอบจากฝั่งของรัฐบาลได้อีกแล้ว
“ภายใต้สถานการณ์วิกฤต ภารกิจใหญ่อันดับแรกคือต้องควบคุมโรค และสร้างความเชื่อมั่นกลับมาคืนให้ได้ แทนที่จะใช้กลไกความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในการเร่งหาวัคซีนให้เพียงพอ รัฐบาลกลับเลือกวิธีประหยัดไม่เข้าเรื่อง รัฐบาลต้องคิดใหม่ ยึดหลักปฏิบัติตามมาตรฐานสากล อย่าเอาความประหยัดมานำความปลอดภัยและชีวิตของประชาชน” นาย
ชนินทร์ กล่าว
JJNY : เตือนหนี้ครัวเรือนไทยนิวไฮ│จี้"แอสตร้าฯ"เคลียร์│ล่ารายชื่อจี้หยุดเตะถ่วงวัคซีนทางเลือก│พิมรี่พายกราบขอโทษลุงโทนี่
https://www.matichon.co.th/economy/news_2733197
- หมวดบัตรเครดิต-สินเชื่อส่วนบุคคลร้อยละ 40
การที่ระดับหนี้ครัวเรือนของไทยมีกว่า 14.2 ล้านล้านบาท และตลาดหลักทรัพย์ยังคงมองว่าหนี้ครัวเรือนจะเติบโตต่อเนื่องอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในหมวดบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งมีสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 40 ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด โดยในหมวดสินเชื่อนี้ อัตราดอกเบี้ยของบัตรเครดิตอยู่ที่ร้อยละ 16 และของสินเชื่อส่วนบุคคลอยู่ที่ร้อยละ 25 การที่ดอกเบี้ยสูงมากนี้ จะส่งผลให้เกิด Debt Trap หรือกับดักหนี้ ที่ผู้กู้ไม่สามารถหลุดออกจากการเป็นหนี้ได้เพราะการขยายตัวของหนี้สินมากกว่าความสามารถในการชำระหนี้ เสมือนเป็นระเบิดเวลาของเศรษฐกิจหากเราไม่ได้แก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจังและรวดเร็ว
ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบกับต่างประเทศ ประเทศไทยถือว่าเป็นประเทศที่กำลังพัฒนาที่มีระดับหนี้ครัวเรือนเทียบกับ GDP ที่สูงมากใน Asia และเมื่อเทียบประเทศไทยกับประเทศที่พัฒนาแล้ว ไทยมีระดับหนี้ครัวเรือนเทียบกับ GDP น้อยกว่าเพียงแค่สหราชอาณาจักร (96.6%) และเกาหลีใต้ (106.6%) แต่มากกว่าระดับของ สหรัฐอเมริกา (69.5%) และสิงคโปร์ (67.9%) และยิ่งไปกว่านั้น สินเชื่อบ้านที่จัดว่าเป็นสินทรัพย์ที่ดีและดอกเบี้ยต่ำนั้น ของไทยเราในปัจจุบันมีเพียงร้อยละ 34 ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่า ของทั้ง สิงคโปร์ (74%) และอังกฤษ (84%) มาก
การที่ไทยมีหนี้ครัวเรือนระดับสูงจะเป็นการฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจไทย เพราะในปี 2563 การบริโภคภาคเอกชนนั้นคิดเป็นถึงร้อยละ 53 ของ GDP และ อีกข้อมูลหนึ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ ประเทศไทยมีหนี้ครัวเรือนที่ 14.2 ล้านล้านบาทซึ่งสูงกว่าหนี้ธุรกิจที่ 9.5 ล้านล้านบาท สะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจว่าเม็ดเงินการลงทุนจากภาคเอกชนต่ำมานาน เมื่อการอุปโภคบริโภคมากกว่าการลงทุนของภาคเอกชนจะส่งผลความสามารถในการแข่งขันของไทยลดลงเรื่อยๆ
- ทำไมหนี้ครัวเรือนของไทยถึงสูงขึ้นอย่างมาก
ในปี 2549 หนี้ครัวเรือนไทยอยู่ที่เพียงร้อยละ 44.4 ของ GDP แต่ในปัจจุบันใกล้ร้อยละ 90 (เพิ่มขึ้นสองเท่า) โดยจากการศึกษาของธนาคารแห่งประเทศไทย “ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา คนไทยเป็นหนี้ในวงกว้างขึ้น และมีค่ากลางมูลหนี้เพิ่มจาก 7 หมื่นบาทต่อราย เป็น 1.28 แสนบาทต่อราย และพบว่าคนไทยยังเป็นหนี้เร็ว คือเป็นหนี้ตั้งแต่อายุน้อย โดยร้อยละ 60 ของกลุ่มคนอายุ 29-30 ปีจะเป็นหนี้ โดยกลุ่มคนอายุน้อยจะมีหนี้เสียถึง 1 ใน 4 และคนไทยยังเป็นหนี้นาน แม้หลังเกษียณแล้ว” ซึ่งหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญคือการดำเนินนโยบายภาครัฐที่กระตุ้นให้เกิดการกู้ยืม “ในส่วนของคนเมืองคือ นโยบายรถคันแรก ที่ทำให้คนที่ยังไม่พร้อมต้องมาก่อหนี้ ก่อให้เกิดหนี้เสีย และสำหรับชาวชนบทคือ นโยบายพักชำระหนี้เกษตรกร ที่ทำให้เกษตรกรที่เข้าโครงการพักหนี้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2559 มีหนี้สะสมมากขึ้น และกลายเป็นหนี้เสีย มากกว่าเกษตรกรที่ไม่ได้เข้าโครงการ”
นอกจากนั้น การที่ทางผู้ประกอบธุรกิจ SME บางส่วนไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้จากสถาบันการเงินได้ จึงต้องยอมใช้เงินกู้ผ่านบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลมาบรรเทาปัญหา ถึงแม้ว่าดอกเบี้ยจะสูงกว่ากันมาก และยังมีคนไทยอีกกลุ่มหนึ่งที่มีความจำเป็นต้องก่อหนี้เพื่อนำมาใช้ในการประกอบอาชีพ เช่น คนขับรถแท็กซี่ และ คนส่งอาหาร
- การขาดความรู้ ความเข้าใจด้านการเงิน
นอกจากนั้นการที่คนไทยส่วนใหญ่ขาดความเข้าใจและทักษะทางการเงิน จึงทำให้หนี้สินเพิ่มขึ้นมากอย่างรวดเร็วแบบไม่รู้ตัว ซึ่งข้อมูลจากเครดิตบูโรชี้ให้เห็นว่าคนไทยมีจำนวนบัญชีบัตรเครคิตและสินเชื่อส่วนบุคคลประมาณ 50 ล้านบัญชี (คนหนึ่งอาจจะมีมากกว่าหนึ่งบัญชี) นอกจากนั้น เราคงเคยเห็นโฆษณาเงินกู้ในที่ต่าง ๆ เช่น ร้อยละ 1 แต่เป็นการคิดดอกเบี้ยต่อเดือนไม่ใช่ต่อปี ข้อมูลจากทางเว็บไซต์บริษัทให้สินเชื่อทะเบียนรถแห่งหนึ่ง ระบุคิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1.03 ต่อเดือน แต่เทียบเท่าอัตราที่แท้จริงคือ ร้อยละ 22.50 ต่อปี ซึ่งข้อมูลตรงนี้ไม่มีความโปร่งใสว่าคำนวณมาได้อย่างไร และในบางกรณี ผู้บริโภคก็โดนหลอกให้ทำประกันชีวิต โดยสถาบันการเงินบางแห่งให้ข้อมูลว่าเป็นการฝากเงิน หรือโดนบังคับให้ทำประกันเพื่อจะได้ให้เงินกู้ได้รับการอนุมัติ เป็นต้น
ผมขอยกอีกตัวอย่างหนึ่งไว้เพื่อเป็นการเตือนถึงอันตรายที่อาจพบได้ หากใช้บัตรเครดิตแล้วขาดความเข้าใจ สมมติว่าเราเป็นหนี้บัตรเครดิต 10,000 บาท แต่เราเลือกที่จ่ายเพียงยอดขั้นต่ำที่อยู่ที่ร้อยละ 5 ของยอดคงค้างทุกเดือน และเราใช้อัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตในปัจจุบัน ที่ร้อยละ 16 เชื่อหรือไม่ครับว่าต้องใช้เวลากว่า 12 ปี กว่าจะผ่อนชำระหนี้ก้อนนี้หมด และคิดเป็นเงินค่าดอกเบี้ยทั้งหมด 3,295 บาท ซึ่งตรงนี้ผมเชื่อว่าหลายคนอาจจะไม่ได้ตระหนักถึงภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้นมาอย่างหนัก
- แนวทางการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน
ล่าสุดผมเพิ่งได้ทราบข่าว ซึ่งนับว่าเป็นข่าวดีมากๆ ว่าทางธนาคารออมสินจะเข้ามาแข่งขันในธุรกิจจำนำทะเบียนรถโดยเสนอดอกเบี้ยที่ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ 14.99% ต่อปี หรือ 0.69% ต่อเดือน ซึ่งเป็นการเพิ่มการแข่งขันในตลาดนี้และจะทำให้ภาระดอกเบี้ยสำหรับผู้มีรายได้น้อยปรับลดลง จะเป็นการลดค่าใช้จ่ายลงอย่างมีนัย ซึ่งผมก็หวังว่ากลไกตลาด จะทำให้เกิดความโปร่งใสและอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อให้เศรษฐกิจไทยเติบโตไปได้ด้วยความมั่นคงและยั่งยืน
ปัญหาหนี้ครัวเรือนก็ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทยเพียงแห่งเดียว มีตัวอย่างจากต่างประเทศ เช่น ในสหราชอาณาจักรมีคนประมาณ 2 ล้านคนที่กำลังประสบปัญหาหนี้เรื้อรัง (Persistent Debt) ก่อให้เกิดปัญหาต่อทั้งสุขภาพจิตและสุขภาพร่างกายกับคนจำนวนมาก หน่วยงานของรัฐบาลอังกฤษ FCA (Financial Conduct Authority) ได้ออกกฎเกณฑ์ให้สถาบันการเงินที่ให้สินเชื่อบัตรเครดิต ต้องติดต่อกับกลุ่มคนที่มีหนี้เรื้อรัง (บุคคลที่จ่ายแต่ยอดขั้นต่ำมาแล้ว 18 เดือน หรือจ่ายดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมเท่ากับยอดเงินต้นที่กู้มาในตอนแรก) โดยทาง FCA บังคับให้สถาบันการเงินต้องติดต่อหาทางออกร่วมกันกับลูกหนี้ที่ประสบปัญหา โดยการให้ความรู้ ปรับโครงสร้างหนี้ ลดดอกเบี้ย หรือยกหนี้ให้เลย
ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ผมยังไม่ได้นำหนี้นอกระบบมารวม ซึ่งหนี้นอกระบบนี่ต้องถือเป็นมะเร็งร้ายที่กัดกร่อน โครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมไทยอย่างหนัก อัตราดอกเบี้ยของหนี้นอกระบบนี้อาจจะอยู่ที่ร้อยละ 3 ต่อวัน หรือมากกว่า 1,000% ต่อปี ผมขอคัดข้อความจากกระทรวงยุติธรรม ดังต่อไปนี้
“กลุ่มอาชีพที่มีปัญหาเรื่องหนี้นอกระบบ แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ
1. พ่อค้าแม่ค้า เนื่องจากเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยาก ทำให้ต้องพึ่งพาเงินกู้นอกระบบ
2. พนักงานรัฐวิสาหกิจ ไม่น่าเชื่อกลุ่มนี้จะตกเป็นหนี้นอกระบบเช่นกัน
3. ข้าราชการ โดยเฉพาะข้าราชการในต่างจังหวัด อย่างข้าราชการครู มีปัญหาเรื่องหนี้นอกระบบ
และ 4. เกษตรกร มีปัญหาเรื่องเงินกู้นอกระบบอย่างรุนแรง เพราะนายทุนในพื้นที่ได้ทุกอย่างทั้งเครื่องมือการเกษตร อุปกรณ์การเกษตร มีสินค้าให้กู้ยืม และการทำสัญญาขายฝากเพียงแค่เซ็นแล้วนำโฉนดที่ดินมาวางไว้เท่านั้น”
จึงสะท้อนให้เห็นว่าปัญหาหนี้นอกระบบได้ส่งผลต่อประชาชนในวงกว้าง มีผลลบต่อเศรษฐกิจอย่างมาก
อันที่จริง ธุรกิจสินเชื่อทะเบียนรถ มาช่วยลดปัญหาสินเชื่อนอกระบบได้ระดับหนึ่ง เพราะมีอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่ามาก แต่อาจจะตอบโจทย์เฉพาะกลุ่มคนที่มีหลักประกัน เช่น รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ เป็นต้น แต่สำหรับประชาชนกลุ่มอื่นอาจจะไม่มีทางเลือกมากนัก จึงเป็นอีกโจทย์หนึ่งที่สำคัญว่าจะทำอย่างไรให้คนเหล่านี้เข้าถึงสินเชื่อในระบบในอนาคตอันใกล้นี้ เราจะเห็นบริษัท Fintech หลายแห่งที่จะเข้ามาแก้ Pain Point ตรงนี้ โดยเฉพาะจากกลุ่ม Crowd Funding และ P2P Lending ผมคิดว่าเราน่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น
หากหน่วยงานของรัฐมากำกับดูแลให้เกิดความโปร่งใสและมีความตั้งใจที่จะแก้ปัญหาหนี้ทั้งในและนอกระบบอย่างจริงจัง ยิ่งเราสามารถนำตัวอย่างแนวทางแก้ไขจากประเทศอื่นๆ ที่ประสบปัญหาเช่นเดียวกับเรามาปรับให้เข้ากับบริบทของประเทศ ผมมองว่าเราจะสามารถแก้ปัญหานี้ได้และถือเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนคนไทย โดยไม่ต้องสิ้นเปลืองงบประมาณ ดังเช่นนโยบายเยียวยาของรัฐในหลายมาตรการที่ผ่านมา
ท้ายที่สุดผมขอฝากไว้ว่าประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาหนี้ครัวเรือน ที่เปรียบเสมือนระเบิดเวลา ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการแก้ปัญหานี้อย่างเร่งด่วน และหากทำได้สำเร็จ จะเป็นการทำให้คนไทยหลายสิบล้านคนมีความหวังขึ้นมาอีกครั้งอย่างแน่นอน!!
จี้ "แอสตร้าฯ" เคลียร์ หลังรัฐบาลประหยัดไม่เข้าท่า แบ่งฉีดวัคซีน 1 ขวด 12 โดส?
https://www.khaosod.co.th/covid-19/news_6409446
เพื่อไทย อัดรัฐบาล อย่าประหยัดไม่เข้าเรื่อง หลัง “อนุทิน” ให้แบ่งฉีดวัคซีนเพิ่มโดส จาก 10 โดส เป็น 12 โดส ต่อ 1 ขวด จี้ “บ.แอสตร้าเซนเนก้า” แจงทำได้หรือ
เมื่อวันที่ 20 พ.ค. นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวกรณีที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข มอบนโยบายให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดและผู้ว่าฯ บริหารจัดการการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซเนก้า ที่จะจัดส่งในเดือน มิ.ย.เป็นต้นไปจากเดิม วัคซีน 1 ขวดฉีดได้ 10 โดส ต้องทำให้ฉีดให้ได้ 12 โดส เพื่อประหยัดงบประมาณและกระจายวัคซีนให้ได้มากขึ้นว่า
การที่รัฐบาลเลือกแนวทางนี้เพราะบริหารจัดการวัคซีนผิดพลาด มีวัคซีนไม่เพียงพอต่อการคุมสถานการณ์ใช่หรือไม่ ถึงแม้วัคซีนที่บรรจุ 1 ขวดตามหลักปฏิบัติแล้ว จะบรรจุปริมาณเกินเผื่อไว้สำหรับความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น แต่การบังคับให้บุคลากรหน้างาน กระจายวัคซีนให้ได้จำนวนโดสเพิ่มขึ้น จะสามารถยืนยันได้อย่างไรว่าประชาชนทุกคนจะได้รับปริมาณวัคซีนที่เพียงพอในแต่ละโดส
จึงอยากเรียกร้องไปถึง บ.แอสตร้าเซนเนก้า ให้ออกมายืนยันถึงความเหมาะสม และความปลอดภัยทางการแพทย์ว่าทำได้หรือไม่ หากมีประชาชนได้รับวัคซีนในปริมาณที่น้อยเกินค่าปกติ จะส่งผลต่อการป้องกันหรือควบคุมโรคอย่างไร และมีความเสี่ยงอื่นๆ เพิ่มเติมอีกหรือไม่ เพราะปัจจุบันประชาชนคนไทยคงไม่อาจเชื่อถือคำตอบจากฝั่งของรัฐบาลได้อีกแล้ว
“ภายใต้สถานการณ์วิกฤต ภารกิจใหญ่อันดับแรกคือต้องควบคุมโรค และสร้างความเชื่อมั่นกลับมาคืนให้ได้ แทนที่จะใช้กลไกความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในการเร่งหาวัคซีนให้เพียงพอ รัฐบาลกลับเลือกวิธีประหยัดไม่เข้าเรื่อง รัฐบาลต้องคิดใหม่ ยึดหลักปฏิบัติตามมาตรฐานสากล อย่าเอาความประหยัดมานำความปลอดภัยและชีวิตของประชาชน” นายชนินทร์ กล่าว