ทำไมตากฝนแล้วเป็นหวัด เชื้อไวรัสนี้มาจากไหน ถ้าเราตากฝนแต่ใส่หน้ากากอนามัยจะป้องกันไวรัสเข้าร่างกายได้ไหม

ตั้งแต่สมัยเด็กๆ เรามักจะได้ยินผู้ใหญ่บอกว่าอย่าไปโดนฝนเดี๋ยวเป็นหวัดไม่สบาย ซึ่งตอนนั้นก็ไม่เข้าใจ พอโตขึ้นได้อ่านแล้วพบว่าที่เราตากฝนแล้วเป็นหวัด การที่เราโดนน้ำฝนไม่ได้ทำให้เป็นหวัด แต่ตัวที่ทำให้เป็นหวัดคือเจ้าเชื้อ Rhinovirus ที่ปลิวว่อนพร้อมกับฝุ่นละอองช่วงลมพัดก่อนฝนตก ซึ่งพอเราสุดเข้าร่างกาย + ตัวเปียกฝน ทำให้อุณภูมิร่างกายลดลง จึงทำให้เราเป็นหวัดได้

ไม่ทราบผมเข้าใจถูกไหมครับ

ทีนี้คำถามที่ผมสงสัยคือ:
1. ถ้าเราใส่หน้ากากอนามัยเอาไว้ แม้ว่าลมพัดเชื้อไวรัสปลิวว่อน ก็ไม่เข้าร่างกาย พอเราตากฝน ก็จะไม่เป็นหวัด ถูกต้องไหมครับ? (อันนี้แอบ ideal case หน่อยๆ เพราะถ้าเราตากฝนหน้ากากก็อาจจะเปียกเชื้ออาจเล็ดลอดเข้ามาได้)
2. ถ้าเราสูดเอาเชื้อเข้าร่างกายช่วงลมพัดก่อนฝนตกโดยไม่ได้ใส่หน้ากาก สูดเข้าไปเต็มปอดเลย เราไม่ได้ตากฝนเพราะรีบเข้าบ้านทันก่อนฝนตก แต่ไปอาบน้ำสระผม (น้ำเย็นจากฝักบัวปกติ) ทำให้ร่างกายเราเย็นลง เราก็มีโอกาสเป็นไข้หวัดไหม แบบนี้ไม่ได้ต่างอะไรกับตากฝนหรือเปล่า?
3. ถ้าเราสูดเอาเชื้อเข้าร่างกายช่วงลมพัดก่อนฝนตก โดยตัวไม่เปียกฝน แต่เผอิญช่วงนั้นร่างกาย weak + immune ต่ำ เราก็เป็นไข้หวัดได้ถูกต้องหรือไม่ ไม่จำเห็นต้องตัวเปียกเสมอไป ใช่หรือไม่?
4. อยากรู้ว่าเชื้อ Rhinovirus นี้มาจากไหน ตามที่เข้าใจคือ virus อยู่นอกร่างกายได้ไม่นานก็จะตาย เช่น กรณีฝนตกช่วงสงกรานต์ ก่อนฝนตกอากาศร้อนมาก เชื้อน่าจะตายแล้ว แต่ทำไมพอเราตากฝนแล้วกลับเป็นไข้หวัดได้ แสดงว่าเชื้อนี้ลอยอยู่ในอากาศอยู่แล้วเหรอ? แต่หลังจากฝนตก น้ำฝนน่าจะล้างไวรัส+ฝุ่นละอองในอากาศไปหมดแล้ว เชื้อนี้ก็น่าจะไม่อยู่แล้วสิ??
5. (ต่อเนื่องจากข้อ 4.) ถ้าทุกคนใส่หน้ากากอนามัย แบบช่วงที่โควิดระบาดนี้ เชื้อก็น่าจะไม่สามารถเข้าร่างกายซักคนได้ สุดท้ายเชื่อนี้ก็สูญพันธุ์ไปเองหรือเปล่า เพราะไม่มี host ให้ virus อยู่แพร่พันธุ์

ขอบคุณสำหรับทุกคำตอบ รบกวนขอคำตอบแบบวิทยาศาสตร์ด้วยครับ ยิ้ม
ถ้าอธิบายให้เข้าใจด้วย จะดีมากเลยครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 7
แก้ไขเรื่องแรกก่อน  หวัดเกิดได้จากเชื้อทั้ง ไวรัส และแบคทีเรีย และ ไวรัสก็ไม่ใช่  Rhinovirus  ประเภทเดียวด้วย แต่ Rhinovirus  เป็น 1 ในไวรัสจากหลายๆพันธ์ชนิดที่ทำให้เป็นหวัดค่ะ (Rhinovirus  เป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด) และการเป็นหวัดนั้นมีทั้งรับจากเชื้อในอากาศและเกิดจากการปนเปื้อนจากการสัมผัสด้วยค่ะ เพราะงั้นก็พอตอบคำถาม จขกท ได้ว่า

1. หน้ากากอนามัยที่เราใส่ทุกวันนี้ กันได้เฉพาะแบบ droplet แต่เชื้อหวัดมันมีทั้งแบบ airborne และ droplet จึงไม่สามารถกันประเภทที่ลอยละล่องอยู่ในอากาศได้ค่ะ  ถ้าอยากกันได้เราต้องใส่แบบ N95 แบบนั้นแทนค่ะ (และต้องใส่อย่างถูกวิธีด้วย)

2. รับเชื้อ+ไม่ตากฝน+ อาบน้ำเสร็จใส่เสื้อเลย = ลดการเป็นหวัดได้ค่ะ   อาบน้ำแล้วปกติเราก็เช็ดตัว และเริ่มใส่เสื้อผ้า ใช้เวลาไม่นานเท่าตากฝนค่ะ (ที่ตากฝนแล้วเป็นหวัดนี่คือ ตากอยู่ระยะเวลานึงเลยนะ เช่นเดินทางจากที่ทำงานกลับบ้าน ก็ฝ่าฝนมารัวๆ แบบนี้อ่ะเสี่ยงภูมิตกแน่นอน  แต่ไม่ใช่ตากแพ้บๆหน้าบ้านแล้วรีบกลับมาอาบน้ำ อันนี้ไม่ต่างกัน)  ถ้าแบบนี้ร่างกายก็เริ่มกลับมารักษาอุณหภูมิได้แล้ว  โอกาสเป็นหวัดก็จะน้อยลงค่ะ

3. รับเชื้อเต็มๆ ขณะภูมิตก = เป็นหวัดได้  อันนี้เข้าใจถูกต้องค่ะ

4. เชื้อมาจากคนค่ะ หวัดนี่อยู่ในคนนะ บางคนไม่มีอาการแต่แพร่เชื้อได้แล้วก็เยอะแยะไป บางทีเราคุยกับเพื่อนนี่ เรารับเชื้อมาเต็มๆโดยไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ  ยิ่งตอนกินข้าวนี่คือรับไปเต็มๆได้เลย  อาจจะมีบางคนที่รับมาจากไวรัสที่ลอยในอากาศ เช่นเวลาเดินห้าง เดินสวนกับคนเป็นหวัด ก็รับเชื้อได้  อยู่ในลิฟท์ บันไดเลื่อน ตามรถสาธารณะที่อากาศไม่ถ่ายเทดีพอ พวกนี้ก็รับเชื้อได้ รวมถึงการปนเปื้อนจากสัมผัสเช่น ในห้องน้ำ ประตู หรือแม้แต่สิ่งของที่คนที่เป็นหวัดก่อนหน้าสัมผัสไว้ เอามาแตะหน้า มือจับหน้ากากขยับก็ปนเปื้อนล่ะ  สรุปคือมันมีหลายช่องทางที่ติดต่อได้ ไม่ใช่แค่ ทางอากาศอย่างเดียวค่ะ  อย่าไปยึดติดกับเรื่องฝนอย่างเดียว เพราะโอกาสติดจากการตากฝนนี่ % น้อยมากเมื่อเทียบกับติดจากช่องทางอื่นๆ

5. จากอธิบายข้อ 4 เลยค่ะ ใส่หน้ากากอนามัยช่วยลดโอกาสติดได้จริง แต่ไม่ได้ป้องกัน 100% เพราะมันมีโอกาสติดเชื้อจากทางอื่นๆได้อีกมากมายอักโขเลยค่ะ คิดภาพนะ  ไปเข้าห้องน้ำที่ทำงาน แล้วผลักประตูจะออก มือก็รับเชื้อมาล่ะ  เอามือไปขยับหน้ากาก หน้ากากก็มีเชื้อล่ะ  ขึ้นรถ เอาแอลกอฮอล์ฉีด อ่ะมือสะอาดล่ะ  แล้วก็ขับถึงบ้าน เอามือหยิบหน้ากากท้ิ้ง มือก็กลับมาเปื้อนล่ะ แล้วก็เอาไปจับมือถือเช็คไลน์ต่อ มือถือก็เปื้อนล่ะ แล้วก็เข้าบ้าน ล้างมือ มือสะอาด แล้วก็จับมือถือต่อ มือก็เปื้อนล่ะ แล้วก็ไปจับลูกบิดที่บ้าน   แค่นี้แหล่ะ   คนในบ้านก็พร้อมติดเชื้อต่อจากคุณเรียบร้อยแล้วค่ะ  ง่ายๆแบบนี้เลย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่