ชาวบ้าน เดือด จวกนโยบายบังคับจ่าย 450 บาท เข้า-ออกภูเก็ต ต้องตรวจหาเชื้อโควิด(คลิป)
https://www.matichon.co.th/social/news_2729320
“ชาวบ้าน” เดือด จวกนโยบายบังคับจ่าย 450 บาท เข้า-ออกภูเก็ต ต้องตรวจหาเชื้อโควิด
โลกออนไลน์มีการแชร์คลิปชาวบ้านหลายคน ขณะกำลังเข้าตรวจหาเชื้อโควิดก่อนเข้าภูเก็ต และถูกเรียกเก็บเงิน 450 บาท ต่างตะโกนแสดงความไม่พอใจเจ้าหน้าที่ที่เรียกเก็บเงินดังกล่าว
ชาวบ้านรายหนึ่งตามคลิป ระบุว่า
“มันไม่ควรจะต้องจ่าย ตรวจก็ตรวจ ไม่เป็นไร ไม่ว่ากัน แต่มันไม่ควรจะต้องจ่าย 450 บาท คุณคิดว่าเงิน 450 บาท มันเยอะหรือมันน้อยสำหรับคนหาเช้ากินค่ำ ค่าแรงขั้นต่ำยังไม่ได้เลย ทำอย่างนี้ไม่ถูก ถ้าไม่ให้เข้าผลไม้ก็เน่าหมด มันเป็นหน้าที่ของรัฐบาลต้องไปจ้างบริษัทมาตรวจ มันไม่ควรจะเอาเงินจากชาวบ้านไปจ่ายบริษัท มันใช้ไม่ได้แบบนี้ ถ้าตรวจก็ตรวจ ไม่เป็นไร แต่มันไม่ควรจะเก็บเงิน มันเป็นหน้าที่รัฐบาล ไม่ใช่รัฐบาลไปให้บริษัทมารีดเอากับประชาชนแบบนี้ได้ยังไง ไม่ถูก อะไรที่จะต้องจ่ายมันก็จ่าย แต่อย่างนี้มันไม่ถูก ”
ชายคนดังกล่าว ระบุอีกว่า
“มันไม่ถูก มันไม่ใช่เพียงแค่ว่าคนข้างนอกจะเข้าภูเก็ต คนภูเก็ตเองเข้าออกมาก็ต้องมาเสีย 450 บาท เพื่อที่จะกลับบ้านมันหมายความว่ายังไง มันหมายความว่ายังไงตอบผมหน่อยผู้ว่าฯ มัน… มันใช้ไม่ได้ ผมประชาชนเสียภาษีนะ คุณต้องเอาหน่วยงานของรัฐมาจตรวจ แล้วก็บริการประชาชน คุณจะออกมาตรการอะไรก็ออกไป แต่ไปจ้างบริษัท outsource แล้วมาเก็บเงินชาวบ้านมันไม่ถูก ผมไม่ใช่คนภูเก็ต แต่ผมมาทำธุระภูเก็ตทุกเดือน เดือนที่แล้วก็มา เพื่อนผม สวอปไป ก็ไม่เสียตังค์ แต่เมื่อกี้เขาบอก ต้อง 450 บาท เออ ถ้า 450 บาทเดียวเจอกัน”
จากนั้น ก็มีประชาชนรอบข้างกล่าวขอบคุณชายดังกล่าว ที่เป็นปากเสียงกล้าร้องเรียน ทำให้ชายคนดังกล่าว ระบุว่า
“ไม่ต้องขอบคุณผม เราประชาชน อะไรที่มันไม่ถูก เราต้องพูด แต่ผู้ปฎิบัติงาน เราไม่ว่าเขา เราต้องไปด่าไอ้คนที่มันออกนโยบาย นโยบายเฮงซวยอย่างนี้ ใช้ไม่ได้”
https://twitter.com/Thaikorn1/status/1394472941841043464
ธุรกิจอาหารยังเงียบเหงา เหตุคนกลัวโควิดขยาดการออกจากบ้าน แม้รัฐเปิดให้นั่งทานที่ร้านได้แล้ว
https://www.matichon.co.th/economy/news_2729246
ธุรกิจอาหารยังเงียบเหงา เหตุคนกลัวโควิดขยาดการออกจากบ้าน แม้รัฐเปิดให้นั่งทานที่ร้านได้แล้ว
นาง
ฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย เปิดเผยว่า หลังจากรัฐบาลได้อนุญาตให้นั่งรับประทานอาหารในร้านได้ถึง 21.00 น. จำนวนไม่เกิน 25% และเปิดให้ขายอาหารแบบซื้อกลับบ้านได้ถึง 23.00 น. ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 17 พฤษภาคม เป็นต้นไป เบื้องต้นบรรยากาศยังคงเงียบเหงาอยู่ เนื่องจากคนส่วนใหญ่ยังคงกังวลการระบาดโควิด-19 ที่พบผู้ติดเชื้อรายวันในจำนวนสูงมาก และพบผู้ติดเชื้อกระจายในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ จึงยังงดเว้นการออกจากบ้าน หากไม่มีความจำเป็นจริงๆ โดยสมาคมฯ อยู่ระหว่างให้สมาชิกประเมินผลเชิงบวกอยู่ ว่าการผ่อนปรนของรัฐบาลจะสามารถดึงยอดขายกลับมาได้มากหรือน้อยเท่าใด โดยเบื้องต้นพิจารณาจากสัดส่วนที่รัฐกำหนดให้นั่งทานในร้านได้ 25% จากยอดทั้งหมดแบ่งเป็นยอดขายจากการนั่งทานที่ร้านมีประมาณ 80% ส่วนอีก 20% เป็นการซื้อกลับบ้านบวกกับการขายผ่อนช่องทางออนไลน์ มองว่ายอดขายคงดึงกลับมาได้มากสุด ไม่เกิน 50% จากยอดขายทั้งหมด เทียบกับภาวะปกติ ส่วนจะคิดเป็นเม็ดเงินเท่าใดนั้น ต้องขอประเมินภาพที่ชัดเจนอีกครั้งก่อน
“การที่รัฐบาลอนุญาตให้เปิดนั่งทานที่ร้านได้แล้ว ถือเป็นส่วนช่วยอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่ยังมีความจำเป็นต้องเดินทางออกจากบ้าน อาทิ ทำงาน ทำธุระส่วนตัว หากหิวก็สามารถนั่งทานที่ร้านได้ จากเดิมที่ต้องซื้อกลับบ้านเท่านั้น ซึ่งกระทบกับผู้ที่ต้องทำงานนอกบ้าน เพราะไม่มีพื้นที่สาธารณะในการซื้อกลับไปทานที่อื่นนอกเหนือจากนั่งทานที่ร้านได้ โดยเมื่อเปิดให้นั่งที่ร้านได้ ผู้ประกอบการก็สามารถเปิดร้านได้เต็มที่มากขึ้น ถือเป็นทางออกที่ทำให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้” นาง
ฐนิวรรณ กล่าว
นาง
ฐนิวรรณ กล่าวว่า สิ่งที่ต้องการให้รัฐบาลดำเนินการตอนนี้คือ การฉีดวัคซีนให้กับคนในอุตสาหกรรมอาหาร เพราะมีผู้เกี่ยวข้องในวงกว้าง โดยขณะนี้มีคนในธุรกิจอาหารต้องการรับวัคซีนแล้วกว่า 1 แสนราย และมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงมองว่ารัฐบาลควาบริหารจัดการวัคซีนให้กับธุรกิจร้านอาหารก่อน เบื้องต้นอาจทยอยให้ผ่านการกำหนดจำนวนเป็นระยะๆ เพื่อนำร่องในการเรียกความเชื่อมั่นกลับมา ซึ่งส่วนนี้สมาคมฯ ยินดีเป็นผู้ประสานกับรัฐบาล ในการนำผู้ที่ลงชื่อขอรับวัคซีนไปฉีดวัคซีนในสถานที่ที่รัฐบาลกำหนดไว้ เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและกระจายเชื้อไวรัสลง นอกจากนี้ รัฐบาลได้เตรียมใช้มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายเพิ่มเติม ได้แก่ โครงการคนละครึ่ง เราชนะ และม.33 เรารักกัน ที่รัฐบาลใส่เม็ดเงินเข้าระบบเพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนนี้อยากให้รัฐบาลปลดล็อกให้ร้านอาหารที่เป็นนิติบุคคลสามารถเข้าร่วมโครงการเหล่านี้ได้ด้วย เพราะที่ผ่านมาวิกฤตยังไม่รุนแรงเท่าปัจจุบัน ร้านอาหารที่เป็นนิติบุคคลจึงหลบทางให้ร้านอาหารขนาดเล็ก หรือร้านอาหารริมถนนก่อน เพื่อให้สามารถมีรายได้เลี้ยงชีพได้ แต่ภาวะวิกฤตในปัจจุบันส่งผลกระทบกับร้านอาหารที่มีขนาดใหญ่ หรือนิติบุคคลแล้ว จึงอยากให้รัฐบาลช่วยเหลือไม่แตกต่างกัน
ยอดป่วยพุ่ง! ผู้ว่าฯเผย กทม.ระบาดกระจาย 19 เขต จับตากลุ่มเฝ้าระวังสูงสุด 15 คลัสเตอร์
https://www.matichon.co.th/covid19/news_2729258
ผู้ว่าฯอัศวิน เผยจุดเฝ้าระวังโควิด-19 กทม. หลังพบระบาดกระจาย 19 เขต จับตากลุ่มเฝ้าระวังสูงสุด 15 คลัสเตอร์
วันที่ 18 พฤษภาคม พล.ต.อ.
อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กเพจ
“ผู้ว่าฯ อัศวิน” อัปเดตจุดเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในพื้นที่ กทม. โดยระบุว่า
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ในระลอกเดือนเมษายนนี้ ที่ยังพบผู้ติดเชื้อจำนวนมากในแต่ละวัน มีการระบาดในวงกว้างเกิดคลัสเตอร์หลายแห่ง ส่วนใหญ่มีการติดเชื้อเกิดจากการสัมผัสกันในที่พัก ที่ทำงาน ซึ่งทำกิจกรรมร่วมกันอย่างใกล้ชิด ทำให้มีการแพร่เชื้อสู่ชุมชน ตลาด และสถานที่ทำงาน จนทำให้เกิดกลุ่มก้อนผู้ติดเชื้อหลายแห่งกระจายใน 19 เขต พบมากในพื้นที่กรุงเทพใต้และกรุงเทพกลาง ซึ่งจะต้องเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงต่าง ๆ เพราะหากตรวจพบผู้ติดเชื้อเพิ่มในพื้นที่ได้เร็ว ก็มีโอกาสควบคุมการแพร่ระบาดได้เร็วมากขึ้นด้วย
จากการตรวจค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกและจากระบบเฝ้าระวัง ที่พบผู้ติดเชื้อกระจายอยู่ใน 19 เขต มีทั้งจุดเฝ้าระวังสูงสุด จุดเฝ้าระวัง และจุดที่มีแนวโน้มควบคุมการระบาดได้ และจุดที่พบใหม่ ดังนี้
• กลุ่มเฝ้าระวังสูงสุด 15 คลัสเตอร์ ในพื้นที่เขตดินแดง ราชเทวี บางกะปิ ดุสิต ป้อมปราบศัตรูพ่าย คลองเตย หลักสี่ พระนคร ประเวศ บางรัก สาทร
• กลุ่มเฝ้าระวัง 3 คลัสเตอร์ ในพื้นที่เขตวัฒนา สวนหลวง และจตุจักร
• กลุ่มที่มีแนวโน้มควบคุมการระบาดได้ 8 คลัสเตอร์ ในพื้นที่เขตทวีวัฒนา ปทุมวัน สาทร ป้อมปราศัตรูพ่าย สัมพันธวงศ์ จตุจักร ลาดพร้าว และสวนหลวง
• กลุ่มที่พบใหม่ 2 คลัสเตอร์ ในตลาดพื้นที่บางกอกน้อย และชุมชนในเขตห้วยขวาง
โดยคลัสเตอร์ที่มีอัตราการเพิ่มขึ้นต่อวันของผู้ติดเชื้อสูงที่สุด 5 ลำดับแรก ได้แก่
1.แคมป์ก่อสร้าง เขตหลักสี่
2.แฟลตดินแดง เขตดินแดง
3. ตลาดห้วยขวาง เขตดินแดง
4. คลองถมเซ็นเตอร์และวงเวียน 22 ก.ค. เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย
และ 5. แคมป์คนงาน เขตวัฒนา
กทม. ได้เร่งตรวจหาเชื้อเชิงรุกในพื้นที่ระบาด และสถานที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อคัดแยกผู้ป่วยออกจากกลุ่มเสี่ยง และนำผู้ป่วยติดเชื้อเข้ารับการรักษาพยาบาลเร็วที่สุด และเร่งฉีดวัคซีนในชุมชนและสถานที่ต่าง ๆ ที่มีผู้ติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อน เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดให้ได้มากที่สุด และจะฉีดวัคซีนให้กับประชาชนได้มากขึ้นและเร็วที่สุดเมื่อได้รับจัดสรรมา เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับพี่น้องประชาชน ขอความร่วมมือทุกๆ คน ช่วยกันดูแลป้องกันตนเอง เพื่อให้คนที่ใกล้ชิด คนในครอบครัว เพื่อนร่วมงาน และคนอื่นๆ ปลอดภัยจากการติดเชื้อโควิด-19
ทั้งนี้ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 รายงานยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 วันนี้ (18 พ.ค.) รวม 2,473 ราย จำแนกเป็น ติดเชื้อใหม่ 1,793 ราย ติดเชื้อภายในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 680 ราย หายป่วยกลับบ้าน 2,718 ราย ผู้ป่วยสะสม 84,692 ราย เสียชีวิต 35 ราย
JJNY : จวกบังคับจ่าย 450 เข้า-ออกภูเก็ต│ธุรกิจอาหารยังเงียบเหงา│กทม.ระบาดกระจาย19เขต│'บางกอกแอร์เวย์ส'ไตรมาสแรกขาดทุน
https://www.matichon.co.th/social/news_2729320
“ชาวบ้าน” เดือด จวกนโยบายบังคับจ่าย 450 บาท เข้า-ออกภูเก็ต ต้องตรวจหาเชื้อโควิด
โลกออนไลน์มีการแชร์คลิปชาวบ้านหลายคน ขณะกำลังเข้าตรวจหาเชื้อโควิดก่อนเข้าภูเก็ต และถูกเรียกเก็บเงิน 450 บาท ต่างตะโกนแสดงความไม่พอใจเจ้าหน้าที่ที่เรียกเก็บเงินดังกล่าว
ชาวบ้านรายหนึ่งตามคลิป ระบุว่า “มันไม่ควรจะต้องจ่าย ตรวจก็ตรวจ ไม่เป็นไร ไม่ว่ากัน แต่มันไม่ควรจะต้องจ่าย 450 บาท คุณคิดว่าเงิน 450 บาท มันเยอะหรือมันน้อยสำหรับคนหาเช้ากินค่ำ ค่าแรงขั้นต่ำยังไม่ได้เลย ทำอย่างนี้ไม่ถูก ถ้าไม่ให้เข้าผลไม้ก็เน่าหมด มันเป็นหน้าที่ของรัฐบาลต้องไปจ้างบริษัทมาตรวจ มันไม่ควรจะเอาเงินจากชาวบ้านไปจ่ายบริษัท มันใช้ไม่ได้แบบนี้ ถ้าตรวจก็ตรวจ ไม่เป็นไร แต่มันไม่ควรจะเก็บเงิน มันเป็นหน้าที่รัฐบาล ไม่ใช่รัฐบาลไปให้บริษัทมารีดเอากับประชาชนแบบนี้ได้ยังไง ไม่ถูก อะไรที่จะต้องจ่ายมันก็จ่าย แต่อย่างนี้มันไม่ถูก ”
ชายคนดังกล่าว ระบุอีกว่า “มันไม่ถูก มันไม่ใช่เพียงแค่ว่าคนข้างนอกจะเข้าภูเก็ต คนภูเก็ตเองเข้าออกมาก็ต้องมาเสีย 450 บาท เพื่อที่จะกลับบ้านมันหมายความว่ายังไง มันหมายความว่ายังไงตอบผมหน่อยผู้ว่าฯ มัน… มันใช้ไม่ได้ ผมประชาชนเสียภาษีนะ คุณต้องเอาหน่วยงานของรัฐมาจตรวจ แล้วก็บริการประชาชน คุณจะออกมาตรการอะไรก็ออกไป แต่ไปจ้างบริษัท outsource แล้วมาเก็บเงินชาวบ้านมันไม่ถูก ผมไม่ใช่คนภูเก็ต แต่ผมมาทำธุระภูเก็ตทุกเดือน เดือนที่แล้วก็มา เพื่อนผม สวอปไป ก็ไม่เสียตังค์ แต่เมื่อกี้เขาบอก ต้อง 450 บาท เออ ถ้า 450 บาทเดียวเจอกัน”
จากนั้น ก็มีประชาชนรอบข้างกล่าวขอบคุณชายดังกล่าว ที่เป็นปากเสียงกล้าร้องเรียน ทำให้ชายคนดังกล่าว ระบุว่า “ไม่ต้องขอบคุณผม เราประชาชน อะไรที่มันไม่ถูก เราต้องพูด แต่ผู้ปฎิบัติงาน เราไม่ว่าเขา เราต้องไปด่าไอ้คนที่มันออกนโยบาย นโยบายเฮงซวยอย่างนี้ ใช้ไม่ได้”
https://twitter.com/Thaikorn1/status/1394472941841043464
ธุรกิจอาหารยังเงียบเหงา เหตุคนกลัวโควิดขยาดการออกจากบ้าน แม้รัฐเปิดให้นั่งทานที่ร้านได้แล้ว
https://www.matichon.co.th/economy/news_2729246
ธุรกิจอาหารยังเงียบเหงา เหตุคนกลัวโควิดขยาดการออกจากบ้าน แม้รัฐเปิดให้นั่งทานที่ร้านได้แล้ว
นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย เปิดเผยว่า หลังจากรัฐบาลได้อนุญาตให้นั่งรับประทานอาหารในร้านได้ถึง 21.00 น. จำนวนไม่เกิน 25% และเปิดให้ขายอาหารแบบซื้อกลับบ้านได้ถึง 23.00 น. ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 17 พฤษภาคม เป็นต้นไป เบื้องต้นบรรยากาศยังคงเงียบเหงาอยู่ เนื่องจากคนส่วนใหญ่ยังคงกังวลการระบาดโควิด-19 ที่พบผู้ติดเชื้อรายวันในจำนวนสูงมาก และพบผู้ติดเชื้อกระจายในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ จึงยังงดเว้นการออกจากบ้าน หากไม่มีความจำเป็นจริงๆ โดยสมาคมฯ อยู่ระหว่างให้สมาชิกประเมินผลเชิงบวกอยู่ ว่าการผ่อนปรนของรัฐบาลจะสามารถดึงยอดขายกลับมาได้มากหรือน้อยเท่าใด โดยเบื้องต้นพิจารณาจากสัดส่วนที่รัฐกำหนดให้นั่งทานในร้านได้ 25% จากยอดทั้งหมดแบ่งเป็นยอดขายจากการนั่งทานที่ร้านมีประมาณ 80% ส่วนอีก 20% เป็นการซื้อกลับบ้านบวกกับการขายผ่อนช่องทางออนไลน์ มองว่ายอดขายคงดึงกลับมาได้มากสุด ไม่เกิน 50% จากยอดขายทั้งหมด เทียบกับภาวะปกติ ส่วนจะคิดเป็นเม็ดเงินเท่าใดนั้น ต้องขอประเมินภาพที่ชัดเจนอีกครั้งก่อน
“การที่รัฐบาลอนุญาตให้เปิดนั่งทานที่ร้านได้แล้ว ถือเป็นส่วนช่วยอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่ยังมีความจำเป็นต้องเดินทางออกจากบ้าน อาทิ ทำงาน ทำธุระส่วนตัว หากหิวก็สามารถนั่งทานที่ร้านได้ จากเดิมที่ต้องซื้อกลับบ้านเท่านั้น ซึ่งกระทบกับผู้ที่ต้องทำงานนอกบ้าน เพราะไม่มีพื้นที่สาธารณะในการซื้อกลับไปทานที่อื่นนอกเหนือจากนั่งทานที่ร้านได้ โดยเมื่อเปิดให้นั่งที่ร้านได้ ผู้ประกอบการก็สามารถเปิดร้านได้เต็มที่มากขึ้น ถือเป็นทางออกที่ทำให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้” นางฐนิวรรณ กล่าว
นางฐนิวรรณ กล่าวว่า สิ่งที่ต้องการให้รัฐบาลดำเนินการตอนนี้คือ การฉีดวัคซีนให้กับคนในอุตสาหกรรมอาหาร เพราะมีผู้เกี่ยวข้องในวงกว้าง โดยขณะนี้มีคนในธุรกิจอาหารต้องการรับวัคซีนแล้วกว่า 1 แสนราย และมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงมองว่ารัฐบาลควาบริหารจัดการวัคซีนให้กับธุรกิจร้านอาหารก่อน เบื้องต้นอาจทยอยให้ผ่านการกำหนดจำนวนเป็นระยะๆ เพื่อนำร่องในการเรียกความเชื่อมั่นกลับมา ซึ่งส่วนนี้สมาคมฯ ยินดีเป็นผู้ประสานกับรัฐบาล ในการนำผู้ที่ลงชื่อขอรับวัคซีนไปฉีดวัคซีนในสถานที่ที่รัฐบาลกำหนดไว้ เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและกระจายเชื้อไวรัสลง นอกจากนี้ รัฐบาลได้เตรียมใช้มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายเพิ่มเติม ได้แก่ โครงการคนละครึ่ง เราชนะ และม.33 เรารักกัน ที่รัฐบาลใส่เม็ดเงินเข้าระบบเพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนนี้อยากให้รัฐบาลปลดล็อกให้ร้านอาหารที่เป็นนิติบุคคลสามารถเข้าร่วมโครงการเหล่านี้ได้ด้วย เพราะที่ผ่านมาวิกฤตยังไม่รุนแรงเท่าปัจจุบัน ร้านอาหารที่เป็นนิติบุคคลจึงหลบทางให้ร้านอาหารขนาดเล็ก หรือร้านอาหารริมถนนก่อน เพื่อให้สามารถมีรายได้เลี้ยงชีพได้ แต่ภาวะวิกฤตในปัจจุบันส่งผลกระทบกับร้านอาหารที่มีขนาดใหญ่ หรือนิติบุคคลแล้ว จึงอยากให้รัฐบาลช่วยเหลือไม่แตกต่างกัน
ยอดป่วยพุ่ง! ผู้ว่าฯเผย กทม.ระบาดกระจาย 19 เขต จับตากลุ่มเฝ้าระวังสูงสุด 15 คลัสเตอร์
https://www.matichon.co.th/covid19/news_2729258
ผู้ว่าฯอัศวิน เผยจุดเฝ้าระวังโควิด-19 กทม. หลังพบระบาดกระจาย 19 เขต จับตากลุ่มเฝ้าระวังสูงสุด 15 คลัสเตอร์
วันที่ 18 พฤษภาคม พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กเพจ “ผู้ว่าฯ อัศวิน” อัปเดตจุดเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในพื้นที่ กทม. โดยระบุว่า
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ในระลอกเดือนเมษายนนี้ ที่ยังพบผู้ติดเชื้อจำนวนมากในแต่ละวัน มีการระบาดในวงกว้างเกิดคลัสเตอร์หลายแห่ง ส่วนใหญ่มีการติดเชื้อเกิดจากการสัมผัสกันในที่พัก ที่ทำงาน ซึ่งทำกิจกรรมร่วมกันอย่างใกล้ชิด ทำให้มีการแพร่เชื้อสู่ชุมชน ตลาด และสถานที่ทำงาน จนทำให้เกิดกลุ่มก้อนผู้ติดเชื้อหลายแห่งกระจายใน 19 เขต พบมากในพื้นที่กรุงเทพใต้และกรุงเทพกลาง ซึ่งจะต้องเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงต่าง ๆ เพราะหากตรวจพบผู้ติดเชื้อเพิ่มในพื้นที่ได้เร็ว ก็มีโอกาสควบคุมการแพร่ระบาดได้เร็วมากขึ้นด้วย
จากการตรวจค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกและจากระบบเฝ้าระวัง ที่พบผู้ติดเชื้อกระจายอยู่ใน 19 เขต มีทั้งจุดเฝ้าระวังสูงสุด จุดเฝ้าระวัง และจุดที่มีแนวโน้มควบคุมการระบาดได้ และจุดที่พบใหม่ ดังนี้
• กลุ่มเฝ้าระวังสูงสุด 15 คลัสเตอร์ ในพื้นที่เขตดินแดง ราชเทวี บางกะปิ ดุสิต ป้อมปราบศัตรูพ่าย คลองเตย หลักสี่ พระนคร ประเวศ บางรัก สาทร
• กลุ่มเฝ้าระวัง 3 คลัสเตอร์ ในพื้นที่เขตวัฒนา สวนหลวง และจตุจักร
• กลุ่มที่มีแนวโน้มควบคุมการระบาดได้ 8 คลัสเตอร์ ในพื้นที่เขตทวีวัฒนา ปทุมวัน สาทร ป้อมปราศัตรูพ่าย สัมพันธวงศ์ จตุจักร ลาดพร้าว และสวนหลวง
• กลุ่มที่พบใหม่ 2 คลัสเตอร์ ในตลาดพื้นที่บางกอกน้อย และชุมชนในเขตห้วยขวาง
โดยคลัสเตอร์ที่มีอัตราการเพิ่มขึ้นต่อวันของผู้ติดเชื้อสูงที่สุด 5 ลำดับแรก ได้แก่
1.แคมป์ก่อสร้าง เขตหลักสี่
2.แฟลตดินแดง เขตดินแดง
3. ตลาดห้วยขวาง เขตดินแดง
4. คลองถมเซ็นเตอร์และวงเวียน 22 ก.ค. เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย
และ 5. แคมป์คนงาน เขตวัฒนา
กทม. ได้เร่งตรวจหาเชื้อเชิงรุกในพื้นที่ระบาด และสถานที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อคัดแยกผู้ป่วยออกจากกลุ่มเสี่ยง และนำผู้ป่วยติดเชื้อเข้ารับการรักษาพยาบาลเร็วที่สุด และเร่งฉีดวัคซีนในชุมชนและสถานที่ต่าง ๆ ที่มีผู้ติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อน เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดให้ได้มากที่สุด และจะฉีดวัคซีนให้กับประชาชนได้มากขึ้นและเร็วที่สุดเมื่อได้รับจัดสรรมา เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับพี่น้องประชาชน ขอความร่วมมือทุกๆ คน ช่วยกันดูแลป้องกันตนเอง เพื่อให้คนที่ใกล้ชิด คนในครอบครัว เพื่อนร่วมงาน และคนอื่นๆ ปลอดภัยจากการติดเชื้อโควิด-19
ทั้งนี้ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 รายงานยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 วันนี้ (18 พ.ค.) รวม 2,473 ราย จำแนกเป็น ติดเชื้อใหม่ 1,793 ราย ติดเชื้อภายในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 680 ราย หายป่วยกลับบ้าน 2,718 ราย ผู้ป่วยสะสม 84,692 ราย เสียชีวิต 35 ราย