ยึดจิตให้เที่ยง ในธรรม

นรชนในพระศาสนานี้ พึงผูกจิต
ของตนไว้ในอารมณ์ให้มั่นด้วยสติ เหมือน
คนเลี้ยงโค เมื่อจะฝึกกลูกโค พึงผูกมันไว้
ที่หลักฉะนั้น.
เสนาสนะนี้ ย่อมเหมาะแก่การเจริญสติปัฏฐาน
ของภิกษุผู้เจริญสติปัฏฐานนั้น
ด้วยประการฉะนี้.
เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า
คำนี้ เป็นเครื่องแสดงการกำหนดเสนาสนะ
อันเหมาะแก่การเจริญสติปัฏฐาน ของภิกษุนั้น ดังนี้.

เสนาสนะที่เหมาะแก่การเจริญอานาปานสติ
อีกอย่างหนึ่ง
เพราะพระโยคาวจรไม่ละ
ละแวกบ้านอันอื้ออึงด้วยเสียง
หญิงชาย ช้างม้าเป็นต้น
จะบำเพ็ญอานาปานสติกัมมัฏฐาน
อันเป็นยอดในกายานุปัสสนา
เป็นปทัฏฐานแห่งการบรรลุคุณวิเศษ
และธรรมเครื่องอยู่เป็น
สุขในปัจจุบันของพระพุทธเจ้า
พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งปวงนี้ให้สำเร็จ
ไม่ใช่ทำได้ง่าย ๆ เลย
เพราะฌานมีเสียงเป็นข้าศึก
แต่พระโยคาวจร
กำหนดกัมมัฏฐานนี้แล้ว
ให้จตุตถฌาน มีอานาปานสติเป็นอารมณ์ เกิดขึ้น

ทำฌานนั้นนั่นแล ให้เป็นบาท
พิจารณาสังขารทั้งหลาย แล้วบรรลุพระอรหัต

ซึ่งเป็นผลอันยอดจะทำได้ง่าย
ก็แต่ในป่าที่ไม่มีบ้าน ฉะนั้น

พระผู้มีพระภาคเจ้า
เมื่อจะทรงแสดงเสนาสนะอันเหมาะแก่ภิกษุโยคาวจรนั้น
จึงตรัสว่า
อรญฺคโต วา ไปป่าก็ดี เป็นต้น.
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าเปรียบเหมือนอาจารย์ผู้รู้ชัยภูมิ.
อาจารย์ผู้รู้ชัยภูมิ
เห็นพื้นที่ควรสร้างนครแล้ว
ใคร่ครวญถี่ถ้วนแล้ว ก็ชี้ว่า ท่านทั้งหลาย
จงสร้างนครตรงนี้
เมื่อเขาสร้างนครเสร็จ โดยสวัสดีแล้ว
ย่อมได้รับลาภ
สักการะอย่างใหญ่ จากราชสกุล ฉันใด
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ก็ฉันนั้น
ทรงใคร่ครวญถึงเสนาสนะอันเหมาะแก่พระโยคาวจรแล้วทรงชี้ว่า
เสนาสนะตรงนี้
พระโยคาวจรควรประกอบกัมมัฏฐานเนือง ๆ ต่อแต่นั้น
พระโยคีเจริญ
กัมมัฏฐานเนือง ๆ ในเสนาสนะนั้น
ได้บรรลุพระอรหัตตามลำดับย่อมทรงได้
รับสักการะอย่างใหญ่ว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ทรงเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ จริงหนอ.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่