อาการแบบนี้…ท้องผูกหรือลำไส้อุดตัน!!
ในห้องนี้มีใครท้องผูกบ่อยๆ บ้างมั้ยครับ? 💩💩💩
ท้องผูก เป็นอาการที่เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แต่มักพบในผู้สูงอายุและพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายถึง 2 เท่า โดยท้องผูกเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งเดี๋ยวพี่หมอจะมาไล่เรียงให้ฟังว่ามีอะไรบ้าง ส่วนลำไส้อุดตัน คือภาวะที่การบีบตัวของลำไส้ถูกรบกวนหรือมีสิ่งอุดตัน ทำให้อาหารและของเหลวไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ตามปกติ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการปวดท้อง ท้องอืด
ซึ่งแม้ว่าอาการท้องผูกจะไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ถ้าเป็นขึ้นมาเมื่อไหร่ก็สร้างความทุกข์ทรมานในการเข้าห้องน้ำ 🚽 ให้กับเราได้ทุกที นอกจากนี้ อาการท้องผูกยังอาจทำให้รู้สึกเครียด เบื่ออาหาร ไม่สดชื่นกระปรี้กระเปร่า และอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมาด้วย เช่น ริดสีดวงทวาร มีแผลที่ทวารหนักหรือลำไส้ ในขณะที่ลำไส้อุดตันนั้นอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ถ้าปล่อยทิ้งไว้และไม่รีบรักษา
แล้ว ‘ท้องผูก’ กับ ‘ลำไส้อุดตัน’ เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร จะรู้ได้ยังไงว่าไอ้ที่เราเป็นอยู่คือแค่ท้องผูกธรรมดาหรือลำไส้อุดตัน วันนี้พี่หมอจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ 2 อาการนี้กันครับ 👇
🚩 ท้องผูก (Constipation)
คือภาวะขับถ่ายยาก ต้องใช้เวลาเบ่งถ่ายนาน และขับถ่ายได้ครั้งละไม่มาก เพราะอุจจาระมีลักษณะเป็นก้อนแข็ง ทำให้รู้สึกอึดอัดแน่นท้องและขับถ่ายได้ไม่สุด ซึ่งถ้าปล่อยทิ้งไว้นานกว่า 6 เดือน ก็อาจส่งผลให้อาการรุนแรงขึ้น จนกลายเป็นท้องผูกเรื้อรังได้
อาการ
· อุจจาระเป็นก้อนแข็ง 💩
· รู้สึกว่าขับถ่ายได้ไม่สุด หรือมีสิ่งอุดกั้นบริเวณทวารหนัก
· ต้องใช้ตัวช่วยเพื่อทำให้อุจจาระออกมา
· ต้องใช้แรงและเวลาในการเบ่งถ่ายมากกว่าปกติ 😣
สาเหตุแบ่งได้เป็น 2 สาเหตุหลักๆ คือ
· ระบบขับถ่ายมีปัญหาโดยตรง ซึ่งเกิดจากลำไส้ใหญ่ทำงานผิดปกติ ทำให้ลำไส้ใหญ่บีบตัวน้อยลง ส่งผลให้อุจจาระเคลื่อนลงมาช้ากว่าปกติ ซึ่งพบได้เพียง 5-6 % ของจำนวนผู้ป่วยเท่านั้น
· ปัจจัยอื่นๆ เช่น การรับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย ดื่มน้ำไม่เพียงพอและไม่ออกกำลังกาย การใช้ยาหรืออาหารเสริมบางชนิด รวมถึงเกิดจากผลกระทบของโรคต่อมไร้ท่อและโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร
การรักษา
· เริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น หันมารับประทานผักผลไม้ 🥗 หรืออาหารที่มีกากใยเพิ่มมากขึ้น ดื่มน้ำให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการใช้ยาระบายร่วมด้วย
· ฝึกใช้กล้ามเนื้อที่ใช้ในการเบ่งถ่าย โดยคุณหมอจะสอนให้ผู้ป่วยขับถ่ายอย่างถูกวิธีด้วยเครื่องมือที่แสดงการทำงานของกล้ามเนื้อที่ใช้ในการควบคุมการขับถ่าย ซึ่งจะใช้เฉพาะในกรณีที่พบว่าอาการท้องผูกเกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของลำไส้ใหญ่ หรือมีสาเหตุมาจากการเบ่งถ่ายที่ผิดวิธี โดยผู้ป่วยหลายคนที่ขมิบหรือไม่ยอมคลายหูรูดทวารหนักระหว่างการเบ่งถ่าย ทำให้ไม่สามารถเบ่งอุจจาระออกมาได้ตามปกติ
· แต่ถ้าผู้ป่วยมีอาการท้องผูกร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น น้ำหนักลด ถ่ายเป็นเลือด ท้องผูกสลับท้องเสีย คลำแล้วมีก้อน หรือมีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ รวมถึงเริ่มมีอาการท้องผูกตอนอายุมากกว่า 45 ปีขึ้นไป พี่หมอแนะนำ 👉 ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจอย่างละเอียดทันทีนะครับ
คราวนี้มาดูในส่วนของ “ลำไส้อุดตัน” กันบ้างนะครับ
🚩 ลำไส้อุดตัน (Intestinal Obstruction)
คือภาวะที่การบีบตัวของลำไส้ถูกรบกวนหรือมีสิ่งอุดตัน ทำให้อาหารและของเหลวในลำไส้ไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ตามปกติ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการปวดท้อง ท้องอืด คลื่นไส้ อาเจียน โดยอาการที่เป็นจะบอกถึงตำแหน่งที่เกิดการอุดตันของลำไส้ ซึ่งอาจเกิดในลำไส้บางส่วนหรือทั้งหมดก็ได้ ภาวะนี้ถ้าปล่อยทิ้งไว้อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
อาการของลำไส้อุดตันขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่มีการอุดตัน
📍 ลำไส้เล็ก 📍 กดแล้วเจ็บบริเวณท้อง ปวดท้องรุนแรงเป็นๆหายๆบริเวณสะดือหรือใต้ซี่โครง อาจพบชีพจรเต้นเร็วกว่าปกติร่วมด้วยท้องอืด แน่นท้อง ไม่สามารถผายลมได้ คลื่นไส้ อาเจียน
📍 ลำไส้ใหญ่ 📍 ท้องอืด แน่นท้อง ท้องผูก ปวดท้องรุนแรง เลือดออกทางทวารหนัก อุจจาระมีเลือดปน
สาเหตุแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
· ลำไส้ตีบตัน (Mechanical Obstructions) เกิดจากมีสิ่งอุดตันในทางเดินของลำไส้ ซึ่งส่วนใหญ่มีที่มาจากพังผืดในลำไส้ซึ่งมักเกิดขึ้นหลังการผ่าตัดในช่องท้อง รวมถึงภาวะอื่นๆ เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ เนื้องอกในลำไส้เล็ก นิ่วในถุงน้ำดี ไส้เลื่อน และความผิดปกติของลำไส้ในทารกแรกเกิด นอกจากนี้ ยังอาจเกิดจากภาวะลำไส้อักเสบ เช่น โรคโครห์น เป็นต้น
· ภาวะลำไส้อืด (Nonmechanical Obstructions) เกิดจากลำไส้ไม่สามารถบีบตัวและเคลื่อนที่ได้ตามปกติ ส่งผลให้ระบบขับถ่ายมีปัญหา โดยมีสาเหตุมาจากการผ่าตัดในช่องท้องหรืออุ้งเชิงกราน การติดเชื้อ การใช้ยาบางชนิด รวมถึงความผิดปกติที่เกี่ยวกับกล้ามเนื้อและระบบประสาท เช่น โรคพาร์คินสันและโรคเบาหวาน เป็นต้น
การรักษา ขึ้นอยู่กับสาเหตุและอาการ
✅ การรักษาลำไส้อุดตันบางส่วน ในระยะแรกอาจรักษาด้วยการรับประทานอาหารเหลว ซึ่งถ้าผู้ป่วยอาการดีขึ้น คุณหมออาจแนะนำให้รับประทานอาหารที่มีกากใยน้อยในระยะยาว แต่ถ้าไม่ดีขึ้น ก็อาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัด
✅ การรักษาลำไส้อุดตันทั้งหมด ต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเท่านั้น เพื่อนำสิ่งอุดตันออกจากลำไส้ หรือผ่าตัดลำไส้ส่วนที่เสียหายออก
✅ การรักษาภาวะลำไส้อืด รักษาได้ด้วยการให้อาหารทางสายยางเพื่อป้องกันภาวะขาดสารอาหาร ซึ่งถ้าอาการไม่ดีขึ้นก็อาจต้องใช้ยาเพื่อช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ หรือผ่าตัดลำไส้ส่วนที่เสียหายออก กรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะลำไส้ขยายตัว แพทย์จะรักษาด้วยการบีบไล่อุจจาระร่วมกับการส่องกล้อง
จะเห็นได้ว่าทั้งท้องผูกและลำไส้อุดตันมีอาการหลายอย่างที่คล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะเรื่องอาการปวดท้องและการขับถ่าย แต่การรักษาท้องผูกนั้นทำได้ง่ายกว่าและไม่ซับซ้อนเท่าลำไส้อุดตัน เช่นเดียวกับการป้องกัน เพราะเพียงแค่เราปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการใช้ชีวิต โดยการหันมารับประทานอาหารที่มีประโยชน์ งดการสูบบุหรี่ และออกกำลังเป็นประจำสม่ำเสมอ เพียงเท่านี้ก็สามารถช่วยลดปัจจัยเสี่ยงของทั้งสองอาการได้แล้ว
ที่สำคัญ ควรหมั่นสังเกตตัวเอง ถ้ารู้สึกว่ามีปัญหาก็ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษา และสำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป อย่าลืมไปตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้เป็นประจำทุกปีด้วยนะครับ พี่หมอเป็นห่วง😘😘😘
อาการแบบนี้…ท้องผูกหรือลำไส้อุดตัน!!
ในห้องนี้มีใครท้องผูกบ่อยๆ บ้างมั้ยครับ? 💩💩💩
ท้องผูก เป็นอาการที่เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แต่มักพบในผู้สูงอายุและพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายถึง 2 เท่า โดยท้องผูกเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งเดี๋ยวพี่หมอจะมาไล่เรียงให้ฟังว่ามีอะไรบ้าง ส่วนลำไส้อุดตัน คือภาวะที่การบีบตัวของลำไส้ถูกรบกวนหรือมีสิ่งอุดตัน ทำให้อาหารและของเหลวไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ตามปกติ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการปวดท้อง ท้องอืด
ซึ่งแม้ว่าอาการท้องผูกจะไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ถ้าเป็นขึ้นมาเมื่อไหร่ก็สร้างความทุกข์ทรมานในการเข้าห้องน้ำ 🚽 ให้กับเราได้ทุกที นอกจากนี้ อาการท้องผูกยังอาจทำให้รู้สึกเครียด เบื่ออาหาร ไม่สดชื่นกระปรี้กระเปร่า และอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมาด้วย เช่น ริดสีดวงทวาร มีแผลที่ทวารหนักหรือลำไส้ ในขณะที่ลำไส้อุดตันนั้นอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ถ้าปล่อยทิ้งไว้และไม่รีบรักษา
แล้ว ‘ท้องผูก’ กับ ‘ลำไส้อุดตัน’ เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร จะรู้ได้ยังไงว่าไอ้ที่เราเป็นอยู่คือแค่ท้องผูกธรรมดาหรือลำไส้อุดตัน วันนี้พี่หมอจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ 2 อาการนี้กันครับ 👇
คือภาวะขับถ่ายยาก ต้องใช้เวลาเบ่งถ่ายนาน และขับถ่ายได้ครั้งละไม่มาก เพราะอุจจาระมีลักษณะเป็นก้อนแข็ง ทำให้รู้สึกอึดอัดแน่นท้องและขับถ่ายได้ไม่สุด ซึ่งถ้าปล่อยทิ้งไว้นานกว่า 6 เดือน ก็อาจส่งผลให้อาการรุนแรงขึ้น จนกลายเป็นท้องผูกเรื้อรังได้
อาการ
· อุจจาระเป็นก้อนแข็ง 💩
· รู้สึกว่าขับถ่ายได้ไม่สุด หรือมีสิ่งอุดกั้นบริเวณทวารหนัก
· ต้องใช้ตัวช่วยเพื่อทำให้อุจจาระออกมา
· ต้องใช้แรงและเวลาในการเบ่งถ่ายมากกว่าปกติ 😣
สาเหตุแบ่งได้เป็น 2 สาเหตุหลักๆ คือ
· ระบบขับถ่ายมีปัญหาโดยตรง ซึ่งเกิดจากลำไส้ใหญ่ทำงานผิดปกติ ทำให้ลำไส้ใหญ่บีบตัวน้อยลง ส่งผลให้อุจจาระเคลื่อนลงมาช้ากว่าปกติ ซึ่งพบได้เพียง 5-6 % ของจำนวนผู้ป่วยเท่านั้น
· ปัจจัยอื่นๆ เช่น การรับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย ดื่มน้ำไม่เพียงพอและไม่ออกกำลังกาย การใช้ยาหรืออาหารเสริมบางชนิด รวมถึงเกิดจากผลกระทบของโรคต่อมไร้ท่อและโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร
การรักษา
· เริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น หันมารับประทานผักผลไม้ 🥗 หรืออาหารที่มีกากใยเพิ่มมากขึ้น ดื่มน้ำให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการใช้ยาระบายร่วมด้วย
· ฝึกใช้กล้ามเนื้อที่ใช้ในการเบ่งถ่าย โดยคุณหมอจะสอนให้ผู้ป่วยขับถ่ายอย่างถูกวิธีด้วยเครื่องมือที่แสดงการทำงานของกล้ามเนื้อที่ใช้ในการควบคุมการขับถ่าย ซึ่งจะใช้เฉพาะในกรณีที่พบว่าอาการท้องผูกเกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของลำไส้ใหญ่ หรือมีสาเหตุมาจากการเบ่งถ่ายที่ผิดวิธี โดยผู้ป่วยหลายคนที่ขมิบหรือไม่ยอมคลายหูรูดทวารหนักระหว่างการเบ่งถ่าย ทำให้ไม่สามารถเบ่งอุจจาระออกมาได้ตามปกติ
· แต่ถ้าผู้ป่วยมีอาการท้องผูกร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น น้ำหนักลด ถ่ายเป็นเลือด ท้องผูกสลับท้องเสีย คลำแล้วมีก้อน หรือมีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ รวมถึงเริ่มมีอาการท้องผูกตอนอายุมากกว่า 45 ปีขึ้นไป พี่หมอแนะนำ 👉 ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจอย่างละเอียดทันทีนะครับ
คราวนี้มาดูในส่วนของ “ลำไส้อุดตัน” กันบ้างนะครับ
คือภาวะที่การบีบตัวของลำไส้ถูกรบกวนหรือมีสิ่งอุดตัน ทำให้อาหารและของเหลวในลำไส้ไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ตามปกติ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการปวดท้อง ท้องอืด คลื่นไส้ อาเจียน โดยอาการที่เป็นจะบอกถึงตำแหน่งที่เกิดการอุดตันของลำไส้ ซึ่งอาจเกิดในลำไส้บางส่วนหรือทั้งหมดก็ได้ ภาวะนี้ถ้าปล่อยทิ้งไว้อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
อาการของลำไส้อุดตันขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่มีการอุดตัน
📍 ลำไส้เล็ก 📍 กดแล้วเจ็บบริเวณท้อง ปวดท้องรุนแรงเป็นๆหายๆบริเวณสะดือหรือใต้ซี่โครง อาจพบชีพจรเต้นเร็วกว่าปกติร่วมด้วยท้องอืด แน่นท้อง ไม่สามารถผายลมได้ คลื่นไส้ อาเจียน
📍 ลำไส้ใหญ่ 📍 ท้องอืด แน่นท้อง ท้องผูก ปวดท้องรุนแรง เลือดออกทางทวารหนัก อุจจาระมีเลือดปน
สาเหตุแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
· ลำไส้ตีบตัน (Mechanical Obstructions) เกิดจากมีสิ่งอุดตันในทางเดินของลำไส้ ซึ่งส่วนใหญ่มีที่มาจากพังผืดในลำไส้ซึ่งมักเกิดขึ้นหลังการผ่าตัดในช่องท้อง รวมถึงภาวะอื่นๆ เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ เนื้องอกในลำไส้เล็ก นิ่วในถุงน้ำดี ไส้เลื่อน และความผิดปกติของลำไส้ในทารกแรกเกิด นอกจากนี้ ยังอาจเกิดจากภาวะลำไส้อักเสบ เช่น โรคโครห์น เป็นต้น
· ภาวะลำไส้อืด (Nonmechanical Obstructions) เกิดจากลำไส้ไม่สามารถบีบตัวและเคลื่อนที่ได้ตามปกติ ส่งผลให้ระบบขับถ่ายมีปัญหา โดยมีสาเหตุมาจากการผ่าตัดในช่องท้องหรืออุ้งเชิงกราน การติดเชื้อ การใช้ยาบางชนิด รวมถึงความผิดปกติที่เกี่ยวกับกล้ามเนื้อและระบบประสาท เช่น โรคพาร์คินสันและโรคเบาหวาน เป็นต้น
การรักษา ขึ้นอยู่กับสาเหตุและอาการ
✅ การรักษาลำไส้อุดตันบางส่วน ในระยะแรกอาจรักษาด้วยการรับประทานอาหารเหลว ซึ่งถ้าผู้ป่วยอาการดีขึ้น คุณหมออาจแนะนำให้รับประทานอาหารที่มีกากใยน้อยในระยะยาว แต่ถ้าไม่ดีขึ้น ก็อาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัด
✅ การรักษาลำไส้อุดตันทั้งหมด ต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเท่านั้น เพื่อนำสิ่งอุดตันออกจากลำไส้ หรือผ่าตัดลำไส้ส่วนที่เสียหายออก
✅ การรักษาภาวะลำไส้อืด รักษาได้ด้วยการให้อาหารทางสายยางเพื่อป้องกันภาวะขาดสารอาหาร ซึ่งถ้าอาการไม่ดีขึ้นก็อาจต้องใช้ยาเพื่อช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ หรือผ่าตัดลำไส้ส่วนที่เสียหายออก กรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะลำไส้ขยายตัว แพทย์จะรักษาด้วยการบีบไล่อุจจาระร่วมกับการส่องกล้อง
จะเห็นได้ว่าทั้งท้องผูกและลำไส้อุดตันมีอาการหลายอย่างที่คล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะเรื่องอาการปวดท้องและการขับถ่าย แต่การรักษาท้องผูกนั้นทำได้ง่ายกว่าและไม่ซับซ้อนเท่าลำไส้อุดตัน เช่นเดียวกับการป้องกัน เพราะเพียงแค่เราปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการใช้ชีวิต โดยการหันมารับประทานอาหารที่มีประโยชน์ งดการสูบบุหรี่ และออกกำลังเป็นประจำสม่ำเสมอ เพียงเท่านี้ก็สามารถช่วยลดปัจจัยเสี่ยงของทั้งสองอาการได้แล้ว
ที่สำคัญ ควรหมั่นสังเกตตัวเอง ถ้ารู้สึกว่ามีปัญหาก็ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษา และสำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป อย่าลืมไปตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้เป็นประจำทุกปีด้วยนะครับ พี่หมอเป็นห่วง😘😘😘