ผมจะบวช 6 พระใหม่เนื้อหอม

กระทู้สนทนา
บทที่ 6.


     เหตุการณ์ผ่านพ้นไปจนกระทั่งถึงวันบวช หลายคืนที่ผ่านมาไม้ไม่ได้พบพานกับเรื่องสยองขวัญที่เกิดจากฝีมือของผีสมภารแก้ว หรือผีตนอื่นๆอีก เขานอนในวิหารได้อย่างสงบไม่มีอะไรมารบ
กวน

     วันนั้นเขาตื่นตั้งแต่ตี 3 เพราะต้องเตรียมตัวหลายอย่าง ชาวบ้านในหมู่บ้านต่างมาช่วยงานบวชเขาอย่างไม่มีการออมแรง เพราะงานนี้ถือเป็นงานบวชครั้งแรกในรอบ 10กว่าปี ก็ว่าได้ มีเสียงพูดคุยหยอกล้อกันสนุกสนานเฮฮาดังมาเป็นระยะ

     ฝ้าย เพื่อนสาวของเขาเองก็มาช่วยงานด้วย เธอหยิบนู่นจับนี่วิ่งวนจัดข้าวของไม่มีหยุดพัก สีหน้าบ่งบอกถึงความสุข

     "โห..ทำไมหัวฟูแบบนี้ล่ะ ไม่สวยเลย" ไม้พูดพลางเอามือลูบหัวเพื่อนสาวเพื่อจัดทรงผมให้ดูดีขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ทำได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นก็ต้องหยุดมือเมื่อฝ้ายหันมาทำตาแป๋ว

     ทั้งคู่ยืนจ้องตากันไม่พูดจา ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้มันคืออะไร ทำไมไม้ใจเต้นแบบนี้ นี่ฝ้ายน่ารักขนาดนี้เชียวหรือ ทำไมแต่ก่อนไม่เห็นรู้สึก

     ฝ่ายฝ้ายนั้นก็หน้าแดงเรื่อขึ้นมาทันที ใบหน้าร้อนผ่าวเหมือนเอาหน้าไปอังกับเตาผิงที่ถูกจุดขึ้นในฤดูร้อน ใจเต้นโครมครามราวกับจะทะลุออกมานอกเสื้อ สองหนุ่มสาวยืนหันหลังให้กันทันทีเพื่อหลบตาอีกฝ่าย ต่างคนต่างไม่เอ่ยคำใดออกมา

     หากมีกล้องตรวจจับความร้อน จะมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าบริเวณรอบตัวของทั้งสอง มีรังสีความร้อนแผ่ออกมาจนน่าพิศวง หากแต่ความร้อนนั้นมันมีสีชมพู....

     เคร้ง!! เสียงหนึ่งดังขึ้นกระชากทั้งคู่ขึ้นมาจากแม่น้ำแห่งความสับสนว้าวุ่นใจในความรู้สึกอย่างไม่ใยดี ภาพที่เห็นคือเจ้าบาสเด็กวัด นอนหมอบอยู่กับพื้นใกล้ๆ ถ้วยถังกะละมังหม้อ หล่นกระจายเกลื่อนพื้น ไม้ยืนดูด้วยความสงสัย

     "โอ้ย...เอ้าจะมัวยืนจ้องอยู่ทำไมล่ะครับพี่ไม้ ช่วยผมหน่อย" เจ้าบาสร้องขึ้น ไม้ได้สติพยักหน้าแล้วหันไปบอกแก่ฝ้ายทำตาหวานเยิ้ม "ไปก่อนนะ"
"อืม..ระวังตัวด้วยนะ" ฝ้ายหันกลับมากล่าวยังคงหน้าแดง

     "ระวังตัว? ระวังตัวอะไรพี่ฝ้าย แค่มาช่วยผมเก็บของแค่เนี๊ยะ ไม่ได้ให้วิ่งลงทะเลตอนมีพายุซักหน่อย" เจ้าบาสพูดขึ้น สงสัยในพฤติกรรมของทั้งคู่

    "พูดมากนะเอ็ง เดี๋ยวจะโดนมะเหงก" ไม้พูดด้วยท่าทีเขินๆ ทางฝ้ายเองก็เช่นกันหากไม่เป็นการฝืนกฏธรรมชาติเกินไปนัก ตัวเธอคงบิดเป็นเกลียวราวขนมมาร์ชเมลโล่แบบม้วนด้วยความเขินอาย

     ในขณะที่ฝ้ายกำลังยืนยิ้มมองดูไม้ช่วยเจ้าบาสเก็บของ พลันก็แว่วเสียงปริศนาขึ้นข้างหูราวมีคนมากระซิบอย่างโกรธแค้นชิงชัง

"เลว!!"

     ฝ้ายตกใจรีบหันซ้ายแลขวาหาที่มาของเสียง แต่ก็ไม่พบใครที่จะอยู่ใกล้เธอจนสามารถเป็นต้นกำเนิดเสียงนั้นได้ จู่ๆขนทั่วร่างก็พร้อมใจกันลุกชูชันขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ

     พิธีการต่างๆดำเนินไปตั้งแต่เช้าตรู่ไปสิ้นสุดเอาในตอนเย็นย่ำ พระไม้ก้าวเดินออกจากอุโบสถอย่างสง่าผ่าเผย ที่หน้าประตูมีญาติโยมนั่งพนมมือรอรับพระตั้งแต่หัวบันไดยาวไปจนสุดทางเดิน

     เมื่อพระไม้เดินผ่าน ผู้คนที่มีจิตศรัทธาเหล่านั้นก็นำปัจจัยที่ตนเตรียมมายกขึ้นเหนือหัวแล้วใส่ลงไปในย่าม มันเป็นภาพที่สะท้อนให้เห็นว่าถึงแม้สังคมจะเปลี่ยนแปลงไปกี่ยุคกี่สมัย ความเจริญเข้ามารุกล้ำกล้ำกลายเบียดบังเอาวัฒนธรรมที่เป็นรากเหง้าเหล่าเดิมจนแทบสูญหายไปเพียงใด แต่ประเพณีแบบนี้ที่มีมาแต่โบราณยังคงมีผู้สืบทอดและปฏิบัติอยู่อย่างเหนียวแน่น

     ป้าละไม นั่งพับเพียบพนมมือมองลูกชายเพียงคนเดียว จากเด็กน้อยตัวมอมแมมร้องไห้ขี้มูกย้อย
ค่อยๆเติบโตเป็นวัยรุ่นแสนแก่นแก้ว เป็นเด็กมหาลัยที่ตั้งอกตั้งใจเรียนไม่เคยทำให้ตนผิดหวัง กลายเป็นผู้ใหญ่วัยทำงานที่มุมานะเพื่อสร้างอนาคต และตอนนี้ เขาได้ก้าวเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์เป็นพระหนุ่มรูปงามดูน่าเลื่อมใส พลันดวงตาก็เอ่อล้นไปด้วยน้ำตาแห่งความยินดี

     พระไม้มองสบตาผู้เป็นมารดา รู้สึกยินดีเป็นที่สุดที่วันนี้ตนได้ทำหน้าที่ลูกชายให้กับผู้เป็นแม่ได้ภูมิใจ ความรู้สึกเศร้าเสียใจที่เคยมีในช่วงก่อนหน้านี้ มลายหายไปหมดสิ้นเพียงแค่เขาได้เห็นมารดาที่เลี้ยงดูเขามาด้วยตัวคนเดียวยิ้มอย่างมีความสุข ดวงตาของเขาเริ่มร้อนผ่าวน้อยๆ

     ฝ้าย มองสบตากับพระไม้อย่างไม่ได้ตั้งใจ เธอหลุบตาต่ำทันที แต่ภายใต้ใบหน้าที่ก้มต่ำมองพื้นปูนที่เต็มไปด้วยฝุ่นละอองและรอยร้าวเนื่องจากกาลเวลานั้น มีรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสุข สุขเมื่อได้เห็นเพื่อนสนิทในวัยเด็กที่เคยกอดคอเที่ยวเล่นด้วยกัน เรียนที่เดียวกันจนจบมหาลัย แม้แต่ที่ทำงานก็ยังเป็นที่เดียวกัน และไม่กี่วันก่อนเขาคนนั้นยังร้องไห้ฟูมฟาย ปล่อยตัวตามอารมณ์บ่นเพียงอยากตาย แต่บัดนี้ ชายคนนั้นอยู่ภายใต้จีวรอันศักดิ์สิทธิ์ เขากลายเป็นพระสงฆ์ที่ทุกคนเคารพกราบไหว้ด้วยความศรัทธา
เธอยิ้มทั้งน้ำตา และแน่นอนน้ำตานั้นเป็นน้ำตาแห่งความยินดีเปี่ยมสุขยิ่ง

     "ฝากโยมแม่ด้วยนะ" พระไม้กล่าวเบาๆกับฝ้ายพลางยิ้มอ่อนให้ ฝ้ายเงยหน้าขึ้นสบตา ยิ้มให้เช่นกันแล้วเอ่ยตอบ
"เจ้าค่ะ"

     คืนนี้พระไม้ได้ย้ายไปจำวัดที่กุฏิไม้หลังที่ติดกับของหลวงพี่สมพรและหลวงพี่ถวิล คืนนั้นทั้ง 3 นั่งสนทนากันจะประมาณ 4 ทุ่มก็แยกย้ายเพื่อพักผ่อน
"เอ้อใช่สิ..หลวงพี่ไม้ ยังไงก่อนจำวัดก็อย่าลืมแผ่เมตตาด้วยนะ พระใหม่น่ะเนื้อหอม"
หลวงพี่ถวิลกล่าวยิ้มๆ

     พระไม้ได้ฟังก็แปลกใจในคำพูด เขาก้มลงสูดดมตามเนื้อตัวก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นสบู่นกแก้วที่แพร่กระจายความหอมอบอวลผ่านสายลมเท่านั้น
"ก็แน่ล่ะสิครับ ผมเพิ่งอาบน้ำมาก็ต้องหอมสิ" พระไม้กล่าว หลวงพี่ถวิลและหลวงพี่สมพรหันไปสบตากันแล้วยิ้มน้อยๆ

     "เอาน่า เนื้อหอมกับตัวหอมมันคนละอย่างกัน เดี๋ยวคืนนี้หลวงพี่ก็รู้เองแหละ อย่าลืมล่ะแผ่เมตตาก่อนนอนด้วย เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน" หลวงพี่ถวิลกล่าวยิ้มๆอย่างเจ้าเล่ห์แล้วหันหลังเดินขึ้นกุฏิไป

     เดี๋ยวก็รู้เอง เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน ใครกันที่เป็นคนต้นคิดบัญญัติประโยคชวนสับสนจนพาให้จิตเสื่อมถอยแบบนี้ขึ้น แน่นอนว่ามันให้ความรู้สึกคล้ายๆกับคำว่า แต่ว่า นั่นแหละ คือเหตุการณ์ใดก็ตามที่จะเกิดขึ้นหลังจากมีการเอื้อนเอ่ยประโยคเหล่านี้ขึ้น มักจะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่สู้ดีนัก อาจนำพาซึ่งความเลวร้าย หวาดผวา อย่างเลี่ยงไม่พ้นมาให้แก่ผู้ที่ได้รับฟังทุกครั้งไป

     พระไม้ก้าวขึ้นกุฏิไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ บ่นกับตนเองเบาๆ
"เดี๋ยวก็รู้เอง รู้อะไร? เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน แล้วจะเตือนเราเรื่องอะไร? พูดแต่ละอย่างนี่ชวนให้ขนหัวตั้งอย่างไร้ที่มาซะจริงพระรูปนี้"

     พระไม้สวดมนต์แผ่เมตตาตามคำเตือนของหลวงพี่ถวิล จากนั้นก็ล้มตัวลงนอนด้วยความเหนื่อยอ่อนและหลับไหลเพียงเวลาไม่นาน

(มีต่อนะครับ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่