เชฟไทยไกลบ้าน ประสบการณ์การทำงานร้านอาหารที่ประเทศสวีเดน กลการโกง ตอนที่ 8

สวัสดีครับกลับมาอีกแล้ว  ตอนที่ 8

ตอนที่ 1 ถึงตอนที่ 4 ตามจากลิ้งค์ข้างล่างนี้นะครับ
https://pantip.com/topic/40533846/comment14-2

ตอนที่ 5 ตามจากลิ้งค์ข้างล่างนี้นะครับ
https://pantip.com/topic/40562382

ตอนที่ 6 
https://pantip.com/topic/40570508/comment2-1

ตอนที่ 7
https://pantip.com/topic/40578521

ตอนที่ 8 

            *หลังจากที่เราสองคนได้เจอกับเรื่องที่แย่ๆที่สุดในชีวิตที่เจอะเจอมา เราก็ตั้งสติ ว่าเราจะทำยังไงกันต่อไป เรื่องราวผมสองคนก็เป็นที่เรื่องลือ ในเขตจังหวัดใกล้เคียง มีคนพูดต่อๆกันไปเยอะมาก ทั้งที่บางคนยังไม่เคยที่จะรู้จักกับเราเลย มีทั้งคนที่เชื่อ กับคนที่ไม่เชื่อ คนที่รู้จักเราจริงๆจังๆก็มีอยู๋หลายคนที่พยายามเข้ามาให้คำปรึกษากับเราว่าเราจะทำอะไรต่อดี ตอนนั้นก็ทำงานต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่การทำงานก็เหมือนจะไม่มีใครคุยกัน  ซึ่งเราก็ทำตามหน้าที่ของเรา เรื่องมันก็ไม่เงียบลง มีแต่จะทำให้เรื่องนั้นเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น เนื่องจาก เจ้าของร้านพยายามที่จะทำยังไงก็ได้ให้เราเป็นคนผิดอย่างเดียว และจะไม่ให้เราสองคนได้อะไรติดมือไปเลย ก็คือให้เราลาออกจากร้าน ซึ่งเราก็คิดอยู่แล้วว่า หนทางที่ดีที่สุดคือ เราสองคนก็ต้องออกจากร้านเขา แต่เราก็ยังมีเงินที่เขาจะต้องจ่ายเรา 75000 ที่เขาสัญญาไว้ เราก็เริ่มทวงถามว่า เราจะได้คืนเมื่อไหร่ โดยถามไปทางพี่สาวของเขา ที่อยู่เมืองไทย เพราะว่าพี่สาวของเขาเราได้คุยเรื่องทุกอย่างให้เขาฟังไปทั้งหมดแล้ว เมื่อตอนที่เขามาสวีเดน และตอนที่ไปเจอกันที่เมืองไทย ซึ่งพี่สาวเขาบอกว่า ยังไงก็ต้องคืนให้อยู่แล้ว เราสองคนก็รอว่าเราออกไปแล้วเดี๋ยวคงคืนให้เรา แต่ก็คิดว่าคงไม่มีอะไรมั้ง เราก็ตัดสินใจออกมา โดยมีของตกแต่งร้านที่เป็นของเรา ติดตัวออกมาบ้างไม่กี่ชิ้น สมัยตอนที่เราเป็นเจ้าของร้าน 
 
           *ต่อมา เจ้าของร้านกับพี่สาวเขา ไม่รู้คุยอะไรกันมา พอเราทวงถาม กลายเป็นว่าพี่สาวเขาก็ไม่ตอบ เจ้าของร้านก็ตอบกลับมาว่าคุณสองคนจะไม่ได้อะไรเลยจากร้าน แล้วคุณสองคนก็เป็นหนี้ร้านอีกต่างห่าง แล้วเขาก็ให้คนทำบัญชีของร้าน ส่งเอกสารมาที่บ้านว่า เราสองคนเป็นหนี้ร้านอยู่เท่าไหร่ ซึ่งเขาชี้แจงมาว่า ตั้งแต่ผมสองคนทำงานกับเขามาเป็นเวลาประมาณ 1 ปีกว่าๆ ผมสองคนได้กินอาหารมื้อกลางวันกับเขา เป็นเวลา 1 ปีกว่าๆ คิดเป็นวันทำงานทุกวัน เป็นจำนวนเงิน หลายหมื่นโครน่าสวีเดน ซึ่ง เขามีเงินค้างเราอยู่ 75000 แต่เรากินอาหารเขา เกินกว่าจำนวนเงินที่เขาต้องจ่ายคืนเรา เขาเลยต้องทวงเงินส่วนต่างที่เกินมา กลายเป็นว่า เราเป็นหนี้เขาซะงั้น งงมาก  

        * ปกติการทำงานร้านอาหารที่สวีเดน ถ้าตกลงการทำงาน ทางร้านจะแจ้งว่า เงินเดือนรวมค่าอาหารแล้ว แต่บางร้านจะแยกออกว่า เงินเดือนไม่รวมค่าอาหารกลางวัน แต่ถ้าไม่ต้องการกินอาหารที่ร้าน ถ้าร้านนั้นหักค่าอาหาร ก็เอาอาหารมากินเองได้ ซึ่งร้านนี้ที่เราเคยเป็นเจ้าของร้าน และต่อมาเป็นลูกจ้าง ก็ทำแบบนี้มาตลอดว่า การทำงานที่นี่จะรวมค่าอาหารแล้ว เพราะว่าเราจะกินอาหารที่เหลือจาก บุฟเฟ่ที่ลูกค้ากินเหลือแล้ว ไม่เคยทำอาหารพิเศษกินเอง แล้วถ้าเจ้าของร้านจะคิดค่าอาหารต่างหาก ก็ต้องแจ้งกับพนักงานและทำหนังสือเป็นรายลักษณ์อักษร ถึงจะถูกต้อง ดูสิ คนมันจะโกงเรา มันก็ทำทุกวิถีทางที่จะทำ โดยให้คนทำบัญชีที่รู้เรื่องกฎหมาย พยายามบีบเรา ซึ่งเขารู้ว่าเราสองคนไม่มีใคร เพราะเราเป็นคนไทย พูดภาษาก็ไม่ค่อยได้ ส่วนเขามีสามีเป็นคนสวีเดน แล้วยังมีคนทำบัญชีรู้เรื่องกฎหมายอีกด้วย แล้วเราจะเอาอะไรไปสู้กับเขา ซึ่งเราสองคนรู้สึกว่า เราจะไปหาความยุติธรรมที่ไหน แล้วใครจะมาช่วยเหลือเรา ซึ่งเจ้าของคนแรกที่เราเป็นหุ้นส่วน เขาก็ยังตามติดเรื่องของเราและพยายามเหยียบเราให้จมดินอยู่แล้ว และคอยสมน้ำหน้าเรา แล้วยังจะมาร่วมมือกับเจ้าของใหม่ ที่จะทำให้เราสองคนอยู่ต่อไม่ได้ กลายเป็นว่า เจ้าของเก่าที่เคยเป็นหุ้นส่วนกับเรากับเจ้าของใหม่ร่วมมือกันผูกมิตรกันไปเลย ตอนนี้ เราโดยรุมเลยครับ ไม่คิดเลยว่าเราไปทำอะไรกับเขาไว้ เขาจึงทำกับเราถึงแบบนี้ เขาคิดว่าถ้าทำยังไงก็ได้ให้เราไม่มีวีซ่าต่อแล้วเราก็ต้องกลับไปไทย เรื่องมันก็จะจบ เพราะว่าเราไม่สามารถที่จะกลับมาดำเนินเรื่องอะไรต่อได้ ถ้าเรากลับไปเมืองไทยแล้ว เขาก็เลยรวมหัวกันทำยังไงก็ได้ให้เราต้องกลับไปไทย 
          *ซึ่งปกติแล้ว ถ้าเราถือวีซ่าทำงานอยู่กับร้าน ถ้าเราไม่ได้ทำงานทีร้านเดิมแล้ว เราจะต้องหางานที่ร้านใหม่หรือหางานอะไรก็ได้ ที่เจ้าของร้านรับรองเราต่อให้ได้ วีซ่าทำงานต่อ ต้องหาให้ได้ภายใน 45 วัน มิฉะนั้นวีซ่าก็จะหมดแล้วก็ต่อไม่ได้ เดินทางกลับบ้านสถานเดียว อยู่ต่อไม่ได้ถือว่าผิดกฎหมาย ถายใน 45 วัน ไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายเลย ที่เราสองคนจะได้วีซ่า ซึ่งเป็นอะไรที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้เลย

          * ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่สุดๆ ถึงกับนั่งกันอยู่สองคนแล้วน้ำตามันก็ไหลออกมา เราจะทำกันยังไงดี มันก็มีข้อดีอีกอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นคือ ผลจากการข่าวที่คนไทยเอาเรื่องของเราไปร่ำลือกันให้ทั่ว มันจึงรู้ไปถึงหูคนไทยที่เป็นเจ้าของร้านอาหารที่อยู่เมืองใกล้ๆ ซึ่งเราไม่เคยรู้จักกันเลย ไม่เคยที่จะเห็นหน้ากัน เขาได้แค่ได้ยินคนไทยเอาเรื่องมาเล่าให้ฟังแค่นั้น แล้วรู้สึกว่าสงสาร หรือสมเพสเราก็ไม่รู้นะครับ เขาเลยฝากบอกกับคนไทยมาเป็นทอดๆว่า เขาอยากที่จะคุยกับเราสองคน เขาได้ฟังข่าวแล้วเขาสงสารเรามาก ซึ่งเราสองคนก็แปลกใจว่า เขารู้สึกแบบนั้นจริงๆใช่มั้ย ไม่ใช่ 18 มงกุฏมาอีกแล้วหรือ แต่ตอนนั้นเราสองคนก็คิดว่า อะไรที่จะทำให้เราอยู่ต่อได้ ไม่ว่าจะเป็นอะไรทั้งสิ้น เราก็ต้องลองดูทุกๆอย่าง เขาจึงนัดเราให้เข้าไปเจอกับเขาที่ร้านอาหาร ซึ่งเป็นร้านอาหารไทยที่เปิดมานานมาก แล้วเป็นที่รู้จักของคนในเมืองนั้น ที่มีชื่อเสียงระดับหนึ่ง
 
         * เราสองคนแทบจะไม่ต้องเล่าให้เขาฟังเลยว่าข่าวที่เขาได้ยินมาเป็นยังไง แต่เราก็เล่าในมุมของเรา ที่ออกจากปากเราเอง ซึ่งเราก็เล่าตามความเป็นจริงทั้งหมด ตามที่เขาอยากจะรู้อะไร ซึ่งเราสองคนบอกว่า คุณจะรับเราทั้งสองคนเลยใช่มั้ย เขาตอบว่าตกลง ซึ่งน้องเจ้าของร้านคนนี้เป็นผู้หญิงไทย แต่มีหุ้นส่วนอีกคนเป็นคนสวีเดน แต่เขาก็บอกว่าเดี๋ยวเขาจะไปบอกหุ้นส่วนอีกทีที่เป็นคนสวีเดน แต่ไม่น่าจะมีปัญหา หลังจากนั้นเราก็กลับมาบ้าน แล้วน้องเจ้าของร้านก็โทรมาบอกว่า คุยกับหุ้นส่วนแล้ว เขายินดีที่จะรับเรา และรับรองวีซ่าเราทั้งสองคนให้ทำงานต่อเลย ซึ่งพอบอกว่าเราเคยเป็นหุ้นส่วนร้านอาหารที่เราเดินทางมาตอนแรก แล้วบอกชื่อสามีเจ้าของคนแรกให้ฟังซึ่งเขาเป็นคนดูแลเรื่องการเงินเอง ฝรั่งที่เป็นหุ้นส่วนคนนี้เขาก็พูดคำว่า อ๋อ เลยทีเดียว ว่า สามีของเจ้าของที่เรามาเป็นหุ้นส่วนด้วยคนนี้ เขาเคยได้ยินชื่อเสียงมานานแล้วว่า เป็นคนที่เก่งทางด้านเรื่องเงินๆทองๆแล้วก็เป็นคนขี้โกงด้วย เป็นคนพูดจาดีดูน่านับถือ แต่เป็นคนที่ซิกแซกเก่ง ซึ่งทำงานเกี่ยวกับการเป็น เซล ขายเครื่องจักรกลให้กับบริษัทด้วย ทำให้เรารู้ไม่ทันกลโกงของพวกนี้หรอก เพราะเขาเก่งอยู่แล้ว แล้วยิ่งเป็นของประเทศเขาเอง เราทำไม่ได้หรอก แล้วตอนนี้ยิ่งมาร่วมมือกับเจ้าของใหม่ เราจะยิ่งแพ้ทางเขาเป็นแน่เลย งั้นต่อไปนี้เราสองคนจะทำยังไง เราจะได้เงินคืนมั้ย แต่เรื่องงานใหม่ก็คือสบายใจได้แล้ว ยังไงได้รับรองวีซ่าต่อแน่นอน ซึ่งเขาก็ทำเรื่องให้เราสองคนอย่างรวดเร็ว ยื่นวีซ่าเป็นที่เรียบร้อย แต่เรื่องเก่ายังไม่จบ ต้องตามกันต่อ

          *ระหว่างที่เราสองคนกำลังจะไปเริ่มงานใหม่ ก็มีพี่ๆ คนไทยหลายๆคนที่พยายามจะช่วยเรา แล้วก็มีอีกกลุ่มคนอีกประเภทหนึ่งที่ติดตามข่าวแล้วพยายามจะเหยียบเรา เนื่องจากรู้ข้อมูลข่าวสารมาอีกทางหนึ่ง ส่วนเจ้าของทั้งสองร้านที่ร่วมมือกันในการที่จะไม่จ่ายเงินส่วนที่เหลือ และมีทนายส่งจดหมายหาเราสองคนให้เราจ่ายเงินส่วนต่างที่เขาคิดค่าอาหารเราสองคน ทวงหนี้เราไม่เว้นแต่ละวัน ตอนนี้เขาเล่นเราสองคนด้วยกฎหมาย แล้วเราสองคนจะไปรู้เรื่องกฎหมายของประเทศนี้ได้ยังไงล่ะ แค่ภาษางูๆปลาๆเรายังไม่ได้เลย แล้วก็ทวงตลอดเวลาอีกด้วย แล้วเราจะมีปัญญาไปจ้างทนายเหรอ เงินก็ไม่มี มีแค่กินอยู่ไปเป็นเดือนต่อเดือน แล้วก็หยุดงานอีกต่างหาก เพิ่งจะได้เริ่มงานใหม่ เงินเดือนก็ยังไม่ได้ 

          * เรื่องของการจ้างทนายที่สวีเดน การจ้างทนายต้องมีเงินเก็บพอสมควร แล้วเราก็ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเราจะแพ้หรือชนะ แล้วการเข้าการปรึกษากับทนายก็คิดเป็นชั่วโมง เสียเป็นรายชั่วโมงเลย แค่คุยกันก็คิด การทำสำนวนเขาก็คิด เรื่องเอกสารเขาก็คิด ละเอียดยิบย่อยมาก ต้องมั่นใจในตัวเองเท่านั้นว่าเรามีสิทธิ์ที่จะชนะ เราจึงจะคิดจ้างทนาย แล้วถ้าใช้ทนายแล้ว หลังจากศาลตัดสิน ถ้าเราเป็นฝ่ายแพ้คดี เราจะต้องจ่ายค่าทนายให้กับฝั่งตรงข้ามด้วย และก็ค่าใช้จ่ายทั้งหมด รวมดอกเบี้ยด้วย ทุกคนที่คิดจะจ้างทนายทำอะไรสักอย่างต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดี ไม่อย่างนั้นจะเสียมากกว่าได้ 

          * ไม่รู้จะไปทางไหนดีล่ะทีนี้ เรื่องที่เจ้าของเดิมกินยานอนหลับ ไป 30 เม็ด ก็กลายเป็นว่า เป็นข่าวลือไปทั่วว่าเราสองคนเป็นคนทำ ส่วนคนที่รู้จากปากเราสองคน และคนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็จะเข้าใจเรา ส่วนคนที่รับร็จากปากต่อปากก็จะเชื่อไปอีกแบบนึง ซึ่งเราไม่สามารถไปห้ามความคิดของแต่ละคนได้ หลังจากนี้เราต้องเริ่มที่จะทำอะไรตอบโต้บ้างแล้ว ซึ่งเราก็มีหลักฐานในส่วนของที่เราเก็บไว้บ้าง ก็มีการแช็ดคุยกับพี่สาวเจ้าของร้านเรื่องที่เขาจะคืนเงินเรา เพื่อยืนยันกับน้องของเขา  แต่ก็แค่เป็นภาษาไทย เอามาใช้ที่สวีเดนไม่ได้ ส่วนอื่นๆ เราก็พยายามเก็บข้อมูลไว้ให้มากที่สุด เงินเข้าบัญชีที่โชว์ในธนาคาร เราก็เก็บเอาไว้ เพราะเขาหักภาษีเราไป แต่เขาส่งภาษีให้กับรัฐบาลน้อยกว่ามาตราฐาน เรื่องจดหมายข่มขู่เราก็เก็บเอาไว้ เอกสารเก่าๆที่สามารถจะเป็นข้อมูลได้เราเก็บไว้ทั้งหมด 

          * ในครั้งต่อไปจะมาเล่าต่อนะครับว่า เหตุการณ์หลายๆอย่างที่เราเจอ เอกสารหลักฐานทั้งหมด จะได้เอาไปใช้งานได้มั้ย จะมีคนมาช่วยเราจริงๆจังๆได้มั้ย ขอกลับไปเรียบเรียงต่อนะครับ แล้วจะกลับมาเล่าให้เร็วที่สุดนะครับ ในเรื่องร้ายๆ ก็มีสิ่งดีๆเข้ามาเหมือนกันครับ บุญกุศลที่เราเคยทำ ยังไงฟ้าและเบื้องบนก็ต้องรับทราบบ้างแหละครับ 

          ขอบคุณมากๆนะครับที่ติดตามอ่าน พยายามจะเล่าให้ละเอียด ให้มากที่สุด อย่าเพิ่งเบื่อกันก่อนนะครับ 
นานาเรียน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่