ลูกเราติดสื่อโซเชียล หรือเปล่า??
อีกหนึ่งปัญหาที่คุณพ่อคุณแม่ยุคดิจิตอลมักจะมาปรึกษากับคุณหมอก็คือ ปัญหาการติดโซเชียลมีเดียของลูกๆ เพราะก็ต้องยอมรับนะครับว่าทุกวันนี้สื่อสังคมออนไลน์เข้ามามีอิทธิพลกับการใช้ชีวิตของเราเป็นอย่างมาก และมีผลทำให้พฤติกรรมของคนในสังคมเปลี่ยนไป สังเกตได้ง่ายๆ จากตัวเราเองว่าสิ่งแรกที่มักจะทำหลังตื่นนอนก็คือ การหยิบโทรศัพท์ 📱 ขึ้นมาเพื่อดูว่าเราพลาดข่าวอะไรไปบ้างหรือเปล่าในช่วงที่นอนหลับ และพี่หมอก็มั่นใจว่าสิ่งสุดท้ายที่คนในยุคนี้มักจะทำก่อนนอนก็คือ การไถหน้าจอดูโน่นดูนี่ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะง่วง หรือบางคนก็ถึงขั้นหลับคาโทรศัพท์เลยก็มี (และมาตื่นอีกทีตอนที่โทรศัพท์หล่นใส่หน้า 😂😂 )
ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้เป็นเฉพาะแค่เด็ก หรือผู้ใหญ่วัยทำงานเท่านั้นนะครับ แม้แต่ผู้อาวุโสหลายๆ บ้านก็เป็น เพราะโซเชียลมีเดียกลายเป็นแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่ที่ช่วยให้เราเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ได้ง่ายขึ้น แถมยังสะดวก รวดเร็ว ตอบโจทย์ชีวิตคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี นี่นับแค่ตัวหลักๆ อย่างเฟซบุ๊ค, ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรมเท่านั้นนะครับ ไม่นับว่ายังมีติ๊กต็อก (TikTok) และอันใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเข้ามาในบ้านเราอย่างคลับเฮ้าส์ (Clubhouse) อีก
แต่การเสพสื่อมากๆ ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะรู้ลึก รู้จริงหรือรู้มากกว่าคนอื่นเสมอไป ดังนั้น ผู้เสพเองก็ต้องมีวิจารณญาณในการรับชมด้วย เพราะสื่อเองก็ต้องทำงานแข่งกับเวลา ทำให้บางครั้งข้อมูลที่นำเสนออกมาอาจจะไม่ได้มีความถูกต้อง 100% เนื่องจากไม่ได้มีระบบเซ็นเซอร์ที่คอยตรวจสอบและคัดกรองเหมือนการนำเสนอในช่องทางอื่นๆ โดยเฉพาะเด็กและวัยรุ่นที่ยังไม่สามารถวิเคราะห์ได้ว่าสิ่งไหนจริงหรือไม่จริง หรือเป็นเพียงเรื่องที่เล่าต่อๆ กันมาเท่านั้น 🗣️ ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่และผู้ปกครองที่ต้องช่วยกันสร้างวินัยในการใช้สื่อออนไลน์ต่างๆ ให้กับเด็กๆ และเพื่อป้องกันไม่ให้ลูกหลานของเราเสพติดหน้าจอมากเกินไปอีกด้วย
สังเกตอย่างไรว่าลูกกำลังเสพติดสื่อโซเชียล
📌 อยู่กับโซเชียลมีเดียนานติดต่อกันหลายชั่วโมง
📌 จ้องโทรศัพท์และเปิดดูเว็บหรือคลิปต่างๆ ทั้งวัน ไม่ว่าจะทำกิจกรรมอะไรก็ตาม
📌 เมื่อไม่ได้ใช้สื่อเหล่านี้จะมีอาการกระวนกระวาย หงุดหงิด โดยเฉพาะเวลาที่ถูกควบคุมหรือจำกัดเวลาในการใช้งาน หรือไม่สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้
📌 ชอบใช้โซเชียลมีเดียเพื่อระบายความเครียด
📌 สำหรับเด็กวัยเรียนหรือวัยรุ่น มักจะชอบเก็บตัวอยู่แต่ในห้องเป็นวันๆ ไม่สุงสิงกับใคร บางคนอาจจะพูดโกหก เพื่อให้ตัวเองมีเวลาได้เล่นโซเชียลมีเดียมากขึ้น เช่น โกหกว่าเข้านอนหรือทำการบ้านแล้ว
สัญญาณเหล่านี้เป็นการเตือนให้รู้ว่าลูกหลานของเรากำลังใช้เวลากับสื่อสังคมออนไลน์มากเกินไป จนเริ่มส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อเนื่องไปถึงการเรียน การทำงาน หรือเกิดปัญหากับคนในครอบครัวและเพื่อนๆได้ นอกจากนี้
การเสพติดสื่อออนไลน์ยังก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจได้อีกด้วยนะครับ เช่น
· ปัญหาด้านสายตา 👁️ เช่น ตาแห้ง เคืองตา ตาพร่ามัว สายตาสั้นหรือเอียง เพราะเกิดจากการเพ่งดูหน้าจอมากเกินไป รวมถึงยังอาจทำให้ลูกมีอาการปลายประสาทอ่อนแรงได้อีกด้วย
· โรคอ้วน เพราะเด็กบางคนก็ไม่ยอมขยับตัวไปทำกิจกรรมอื่นๆ เลย นอกจากการนั่ง กิน นอน และดูโทรศัพท์เท่านั้น
· ภาวะซึมเศร้าและโรคเครียด 😔 เป็นปัญหาใหญ่ของเด็กและเยาวชนทั่วโลก ซึ่งส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากการหมกมุ่นอยู่กับหน้าจอมากเกินไป จนแยกแยะไม่ได้ว่าอันไหนโลกจริงหรือโลกเสมือนจริง
· สมาธิสั้นหรือขาดสมาธิ สำหรับเด็กโต อาจส่งผลให้เด็กขาดความรับผิดชอบในการเรียนหรือการทำหน้าที่ของตัวเองตามที่ได้รับมอบหมาย เพราะไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เป็นเวลานานๆ ส่วนเด็กเล็ก แสงและภาพเคลื่อนไหวหน้าจอ มีผลโดยตรงต่อพัฒนาการของเด็ก โดยเฉพาะพัฒนาการทางด้านภาษาและสังคมที่อาจจะช้ากว่าเด็กทั่วไป เพราะไม่มีโอกาสได้ฝึกพูดหรือโต้ตอบกับคนอื่นๆ
· ปัญหาความรุนแรงต่างๆ 😡 เช่น การกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ (Cyberbullying) เรื่องเพศ การก่ออาชญากรรม เพราะเมื่อใช้เวลากับหน้าจอมากขึ้นก็มีโอกาสที่จะเห็นเนื้อหาที่รุนแรงได้ง่ายขึ้น
วิธีป้องกันปัญหาการเสพติดสื่อสังคมออนไลน์
📌 ตั้งกฎ กติกาในการใช้โซเชียลมีเดียร่วมกัน เช่น ต้องทำการบ้านหรืองานบ้านที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จก่อนถึงจะเล่นโทรศัพท์ได้ ห้ามตอบแชทระหว่างรับประทานอาหารทั้งที่บ้านและในร้านอาหาร
📌 พยายามลดหรือควบคุมเวลาในการใช้โซเชียลมีเดีย หรือกำหนดเวลาให้ใช้ต่อวันสำหรับเด็กโต แต่ไม่ควรนานเกิน 1-2 ชม.ต่อวัน ส่วนเด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ ห้ามให้ดูโทรศัพท์หรือหน้าจอใดๆ เด็ดขาด ซึ่งตรงนี้คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องพยายามเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกๆ ด้วยนะครับ
📌 กำหนดให้ 1 ชม.ก่อนนอนเป็นช่วงเวลาปลอดหน้าจอสำหรับทุกคนในบ้าน เพื่อป้องกันปัญหาการนอนไม่หลับ เพราะการใช้หน้าจอมากเกินไปก็สามารถส่งผลกระทบต่อคุณภาพการนอนและสุขภาพจิตได้
📌 นอกจากการควบคุมเรื่องเวลาแล้ว คุณพ่อคุณแม่ก็ยังต้องดูแลเนื้อหาให้เหมาะสมด้วย โดยไม่ควรให้ลูกใช้โทรศัพท์เวลาอยู่คนเดียว แต่ควรมีพ่อแม่หรือผู้ปกครองคอยให้คำแนะนำอยู่ด้วย
📌 หากิจกรรมหรืองานอดิเรกที่ลูกชอบทำ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากการดูหน้าจอ เช่น เล่นกีฬา เล่นดนตรี ออกกำลังกาย ทำอาหาร ทำสวน ปลูกต้นไม้ ร่วมกัน
📌 จัดสรรเวลาเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว เพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง และพยายามงดดูหน้าจอในขณะที่ทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสุขเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันโดยที่ไม่ต้องมีโทรศัพท์
ที่สำคัญ คุณพ่อคุณแม่ควรให้กำลังใจหรือให้รางวัลเวลาที่ลูกทำตามกติกาที่เรากำหนดไว้ได้ด้วยนะครับ หรือถ้าลูกทำไม่ได้ ก็ไม่ควรดุด่าหรือลงโทษด้วยความรุนแรง แต่ควรหันหน้ามาคุยกันด้วยเหตุผล เพื่อชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องมีกฎระเบียบในการอยู่ร่วมกัน แต่ถ้ารู้สึกว่าปัญหาเริ่มรุนแรงจนรับมือไม่ไหวก็สามารถพาลูกมาปรึกษาจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น เพื่อช่วยหาทางออกได้นะครับ 💝💝💝
ลูกเราติดสื่อโซเชียล หรือเปล่า??
อีกหนึ่งปัญหาที่คุณพ่อคุณแม่ยุคดิจิตอลมักจะมาปรึกษากับคุณหมอก็คือ ปัญหาการติดโซเชียลมีเดียของลูกๆ เพราะก็ต้องยอมรับนะครับว่าทุกวันนี้สื่อสังคมออนไลน์เข้ามามีอิทธิพลกับการใช้ชีวิตของเราเป็นอย่างมาก และมีผลทำให้พฤติกรรมของคนในสังคมเปลี่ยนไป สังเกตได้ง่ายๆ จากตัวเราเองว่าสิ่งแรกที่มักจะทำหลังตื่นนอนก็คือ การหยิบโทรศัพท์ 📱 ขึ้นมาเพื่อดูว่าเราพลาดข่าวอะไรไปบ้างหรือเปล่าในช่วงที่นอนหลับ และพี่หมอก็มั่นใจว่าสิ่งสุดท้ายที่คนในยุคนี้มักจะทำก่อนนอนก็คือ การไถหน้าจอดูโน่นดูนี่ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะง่วง หรือบางคนก็ถึงขั้นหลับคาโทรศัพท์เลยก็มี (และมาตื่นอีกทีตอนที่โทรศัพท์หล่นใส่หน้า 😂😂 )
ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้เป็นเฉพาะแค่เด็ก หรือผู้ใหญ่วัยทำงานเท่านั้นนะครับ แม้แต่ผู้อาวุโสหลายๆ บ้านก็เป็น เพราะโซเชียลมีเดียกลายเป็นแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่ที่ช่วยให้เราเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ได้ง่ายขึ้น แถมยังสะดวก รวดเร็ว ตอบโจทย์ชีวิตคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี นี่นับแค่ตัวหลักๆ อย่างเฟซบุ๊ค, ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรมเท่านั้นนะครับ ไม่นับว่ายังมีติ๊กต็อก (TikTok) และอันใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเข้ามาในบ้านเราอย่างคลับเฮ้าส์ (Clubhouse) อีก
แต่การเสพสื่อมากๆ ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะรู้ลึก รู้จริงหรือรู้มากกว่าคนอื่นเสมอไป ดังนั้น ผู้เสพเองก็ต้องมีวิจารณญาณในการรับชมด้วย เพราะสื่อเองก็ต้องทำงานแข่งกับเวลา ทำให้บางครั้งข้อมูลที่นำเสนออกมาอาจจะไม่ได้มีความถูกต้อง 100% เนื่องจากไม่ได้มีระบบเซ็นเซอร์ที่คอยตรวจสอบและคัดกรองเหมือนการนำเสนอในช่องทางอื่นๆ โดยเฉพาะเด็กและวัยรุ่นที่ยังไม่สามารถวิเคราะห์ได้ว่าสิ่งไหนจริงหรือไม่จริง หรือเป็นเพียงเรื่องที่เล่าต่อๆ กันมาเท่านั้น 🗣️ ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่และผู้ปกครองที่ต้องช่วยกันสร้างวินัยในการใช้สื่อออนไลน์ต่างๆ ให้กับเด็กๆ และเพื่อป้องกันไม่ให้ลูกหลานของเราเสพติดหน้าจอมากเกินไปอีกด้วย
📌 อยู่กับโซเชียลมีเดียนานติดต่อกันหลายชั่วโมง
📌 จ้องโทรศัพท์และเปิดดูเว็บหรือคลิปต่างๆ ทั้งวัน ไม่ว่าจะทำกิจกรรมอะไรก็ตาม
📌 เมื่อไม่ได้ใช้สื่อเหล่านี้จะมีอาการกระวนกระวาย หงุดหงิด โดยเฉพาะเวลาที่ถูกควบคุมหรือจำกัดเวลาในการใช้งาน หรือไม่สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้
📌 ชอบใช้โซเชียลมีเดียเพื่อระบายความเครียด
📌 สำหรับเด็กวัยเรียนหรือวัยรุ่น มักจะชอบเก็บตัวอยู่แต่ในห้องเป็นวันๆ ไม่สุงสิงกับใคร บางคนอาจจะพูดโกหก เพื่อให้ตัวเองมีเวลาได้เล่นโซเชียลมีเดียมากขึ้น เช่น โกหกว่าเข้านอนหรือทำการบ้านแล้ว
สัญญาณเหล่านี้เป็นการเตือนให้รู้ว่าลูกหลานของเรากำลังใช้เวลากับสื่อสังคมออนไลน์มากเกินไป จนเริ่มส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อเนื่องไปถึงการเรียน การทำงาน หรือเกิดปัญหากับคนในครอบครัวและเพื่อนๆได้ นอกจากนี้ การเสพติดสื่อออนไลน์ยังก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจได้อีกด้วยนะครับ เช่น
· ปัญหาด้านสายตา 👁️ เช่น ตาแห้ง เคืองตา ตาพร่ามัว สายตาสั้นหรือเอียง เพราะเกิดจากการเพ่งดูหน้าจอมากเกินไป รวมถึงยังอาจทำให้ลูกมีอาการปลายประสาทอ่อนแรงได้อีกด้วย
· โรคอ้วน เพราะเด็กบางคนก็ไม่ยอมขยับตัวไปทำกิจกรรมอื่นๆ เลย นอกจากการนั่ง กิน นอน และดูโทรศัพท์เท่านั้น
· ภาวะซึมเศร้าและโรคเครียด 😔 เป็นปัญหาใหญ่ของเด็กและเยาวชนทั่วโลก ซึ่งส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากการหมกมุ่นอยู่กับหน้าจอมากเกินไป จนแยกแยะไม่ได้ว่าอันไหนโลกจริงหรือโลกเสมือนจริง
· สมาธิสั้นหรือขาดสมาธิ สำหรับเด็กโต อาจส่งผลให้เด็กขาดความรับผิดชอบในการเรียนหรือการทำหน้าที่ของตัวเองตามที่ได้รับมอบหมาย เพราะไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เป็นเวลานานๆ ส่วนเด็กเล็ก แสงและภาพเคลื่อนไหวหน้าจอ มีผลโดยตรงต่อพัฒนาการของเด็ก โดยเฉพาะพัฒนาการทางด้านภาษาและสังคมที่อาจจะช้ากว่าเด็กทั่วไป เพราะไม่มีโอกาสได้ฝึกพูดหรือโต้ตอบกับคนอื่นๆ
· ปัญหาความรุนแรงต่างๆ 😡 เช่น การกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ (Cyberbullying) เรื่องเพศ การก่ออาชญากรรม เพราะเมื่อใช้เวลากับหน้าจอมากขึ้นก็มีโอกาสที่จะเห็นเนื้อหาที่รุนแรงได้ง่ายขึ้น
📌 ตั้งกฎ กติกาในการใช้โซเชียลมีเดียร่วมกัน เช่น ต้องทำการบ้านหรืองานบ้านที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จก่อนถึงจะเล่นโทรศัพท์ได้ ห้ามตอบแชทระหว่างรับประทานอาหารทั้งที่บ้านและในร้านอาหาร
📌 พยายามลดหรือควบคุมเวลาในการใช้โซเชียลมีเดีย หรือกำหนดเวลาให้ใช้ต่อวันสำหรับเด็กโต แต่ไม่ควรนานเกิน 1-2 ชม.ต่อวัน ส่วนเด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ ห้ามให้ดูโทรศัพท์หรือหน้าจอใดๆ เด็ดขาด ซึ่งตรงนี้คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องพยายามเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกๆ ด้วยนะครับ
📌 กำหนดให้ 1 ชม.ก่อนนอนเป็นช่วงเวลาปลอดหน้าจอสำหรับทุกคนในบ้าน เพื่อป้องกันปัญหาการนอนไม่หลับ เพราะการใช้หน้าจอมากเกินไปก็สามารถส่งผลกระทบต่อคุณภาพการนอนและสุขภาพจิตได้
📌 นอกจากการควบคุมเรื่องเวลาแล้ว คุณพ่อคุณแม่ก็ยังต้องดูแลเนื้อหาให้เหมาะสมด้วย โดยไม่ควรให้ลูกใช้โทรศัพท์เวลาอยู่คนเดียว แต่ควรมีพ่อแม่หรือผู้ปกครองคอยให้คำแนะนำอยู่ด้วย
📌 หากิจกรรมหรืองานอดิเรกที่ลูกชอบทำ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากการดูหน้าจอ เช่น เล่นกีฬา เล่นดนตรี ออกกำลังกาย ทำอาหาร ทำสวน ปลูกต้นไม้ ร่วมกัน
📌 จัดสรรเวลาเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว เพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง และพยายามงดดูหน้าจอในขณะที่ทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสุขเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันโดยที่ไม่ต้องมีโทรศัพท์
ที่สำคัญ คุณพ่อคุณแม่ควรให้กำลังใจหรือให้รางวัลเวลาที่ลูกทำตามกติกาที่เรากำหนดไว้ได้ด้วยนะครับ หรือถ้าลูกทำไม่ได้ ก็ไม่ควรดุด่าหรือลงโทษด้วยความรุนแรง แต่ควรหันหน้ามาคุยกันด้วยเหตุผล เพื่อชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องมีกฎระเบียบในการอยู่ร่วมกัน แต่ถ้ารู้สึกว่าปัญหาเริ่มรุนแรงจนรับมือไม่ไหวก็สามารถพาลูกมาปรึกษาจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น เพื่อช่วยหาทางออกได้นะครับ 💝💝💝