นิยาย เปลวไฟแห่งอุดมการณ์ :)

ในค่ำคืนอันหนาวเย็นของกรุงออสโล ห้องโถงอันโอ่อ่าถูกประดับด้วยแสงไฟอันอบอุ่นจากโคมระย้า คณะกรรมการโนเบลยืนขึ้นด้วยท่วงท่าสง่างาม ขณะที่ชื่อของมาเรีย โครินา มาชาโด ผู้นำฝ่ายค้านชาวเวเนซุเอลา ถูกประกาศเป็นผู้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพประจำปี 2025 เสียงปรบมือดังกระหึ่มราวกับพายุแห่งความหวัง ผู้คนทั่วโลกจับตาดูหญิงสาวผู้ยืนหยัดต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในดินแดนที่ถูกกดขี่ เธอคือสัญลักษณ์แห่งความกล้า ดวงไฟที่ลุกโชนท่ามกลางความมืดมิดของระบอบเผด็จการ

ห่างออกไปใน มาร์อะลาโก รัฐฟลอริดา โดนัลด์ ทรัมป์นั่งตัวแข็งทื่อในห้องทำงานที่เต็มไปด้วยของที่ระลึกจากสมัยบริหารประเทศ ดวงตาของเขาจ้องมองจอโทรทัศน์ที่ถ่ายทอดการประกาศรางวัล ความคาดหวังที่เขาเคยป่าวประกาศต่อสาธารณชน ว่าเขาคือผู้สมควรได้รับรางวัลนี้จากความพยายามในการคลายความตึงเครียดในโคโซโว-เซอร์เบีย คองโก-รวันดา และตะวันออกกลาง พังทลายลงอย่างสิ้นเชิง เขาเคยกล่าวกับสื่อฝรั่งเศสด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “หากฉันไม่ได้รางวัลนี้ มันคือการดูหมิ่นสหรัฐอเมริกา” แต่คืนนี้ คำพูดนั้นกลายเป็นเพียงเสียงที่ไร้พลัง

ทรัมป์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เปิดแอปทรูโซเชียล และเห็นวิดีโอที่ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินกำลังวิจารณ์คณะกรรมการโนเบลอย่างดุเดือดจากทาจิกิสถาน ปูตินกล่าวว่า “รางวัลนี้ถูกมอบให้คนที่ไม่ได้ทำอะไรเพื่อสันติภาพเลย ทรัมป์กำลังจัดการวิกฤตการณ์ที่ซับซ้อนทั่วโลก การตัดสินครั้งนี้ทำลายชื่อเสียงของรางวัลโนเบล” ทรัมป์ยิ้มมุมปาก ก่อนพิมพ์ข้อความสั้นๆ ว่า “ขอบคุณ วลาดิเมียร์!” พร้อมฝังวิดีโอของปูตินลงในโพสต์ โพสต์นั้นกลายเป็นกระแสทันที โลกโซเชียลแตกตื่นด้วยความเห็นที่แตกแยก

ในกรุงการากัส มาเรีย โครินา มาชาโดยืนอยู่บนดาดฟ้าของบ้านพักลับ เธอมองออกไปยังเมืองที่เงียบสงบแต่เต็มไปด้วยความตึงเครียด โทรศัพท์ในมือสั่นจากข้อความแสดงความยินดีจากทั่วทุกมุมโลก เธอรู้ว่ารางวัลนี้ไม่ใช่แค่เกียรติยศส่วนตัว แต่เป็นแสงสว่างที่ส่องให้ชาวเวเนซุเอลาเห็นถึงความหวัง เธอเปิดทรูโซเชียลและเขียนข้อความด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยพลัง:

“รางวัลนี้ขอมอบให้ประชาชนชาวเวเนซุเอลาที่ต่อสู้เพื่อเสรีภาพ และแด่ประธานาธิบดีทรัมป์ ผู้สนับสนุนภารกิจของเรา เราใกล้ถึงธรณีประตูแห่งชัยชนะ และสหรัฐคือพันธมิตรสำคัญของเรา”

ข้อความของเธอสร้างความงุนงงให้กับหลายฝ่าย ผู้เชี่ยวชาญที่มองว่าทรัมป์บ่อนทำลายระเบียบโลกไม่อาจเข้าใจได้ว่าเหตุใดมาเรียถึงเอ่ยชื่อเขาในแง่บวก แต่สำหรับเธอ การสนับสนุนจากสหรัฐ โดยเฉพาะจากทรัมป์ คือพลังสำคัญที่อาจเปลี่ยนเกมในเวเนซุเอลา

ที่กรุงเทพฯ นิกรเดช โฆษกกระทรวงการต่างประเทศไทย ถูกนักข่าวรุมถามถึงผลกระทบของรางวัลนี้ต่อความสนใจของสหรัฐในสันติภาพไทย-กัมพูชา เขาตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ความหวังดีของสหรัฐต่อสันติภาพในภูมิภาคนี้ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงเพียงเพราะรางวัล” พร้อมย้ำเงื่อนไขสี่ข้อของไทย ถอนกำลังทหาร เก็บกู้ทุ่นระเบิด ปราบคอร์รัปชัน และบริหารจัดการชายแดน ที่ยังต้องการการสนับสนุนจากมหาอำนาจ

เมื่อเวลาผ่านไป มาเรีย โครินา มาชาโดใช้รางวัลนี้เป็นเครื่องมือในการรวมพลังประชาชน เธอเดินทางไปยังสหรัฐเพื่อพบปะทรัมป์ที่มาร์อะลาโก งานเลี้ยงสุดหรูถูกจัดขึ้นเพื่อต้อนรับเธอ และทั้งสองหารือถึงแผนการผลักดันประชาธิปไตยในเวเนซุเอลา สหรัฐเริ่มให้การสนับสนุนทั้งด้านการเงินและการทูต โลกเริ่มมองเห็นแสงแห่งความหวังในดินแดนที่เคยถูกกดขี่ ทรัมป์เองก็เริ่มวาดฝันถึงมรดกในฐานะผู้อยู่เบื้องหลังชัยชนะครั้งประวัติศาสตร์

ในคืนที่การเลือกตั้งครั้งใหม่ของเวเนซุเอลาสิ้นสุดลง มาเรียยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่โห่ร้องด้วยชัยชนะ เธอคือผู้นำที่นำพาประชาชนสู่เสรีภาพ แต่แล้ว อีเมลลับจากแหล่งข่าวนิรนามถูกส่งถึงเธอ เอกสารในนั้นเปิดเผยความจริงที่ทำให้หัวใจของเธอหยุดเต้น การสนับสนุนของทรัมป์ไม่ใช่เพื่อประชาธิปไตย แต่เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงลับกับปูตินเพื่อควบคุมแหล่งน้ำมันของเวเนซุเอลา โดยแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์ในตะวันออกกลาง มาเรียรู้ในทันทีว่าเธอถูกใช้เป็นหมากในเกมการเมืองระดับโลก

ด้วยความเด็ดเดี่ยว เธอตัดสินใจเปิดเผยเอกสารนี้ต่อสาธารณะในวันรุ่งขึ้น พร้อมประกาศว่า “เสรีภาพที่แท้จริงจะไม่ถูกซื้อด้วยผลประโยชน์ของมหาอำนาจ” เธอเรียกร้องให้ประชาชนเวเนซุเอลาลุกขึ้นต่อสู้ด้วยพลังของตัวเอง โดยไม่พึ่งพาการสนับสนุนจากภายนอกอีกต่อไป เปลวไฟแห่งอุดมการณ์ของเธอลุกโชนยิ่งกว่าเดิม ท่ามกลางโลกที่ตื่นตระหนกกับความจริงที่ถูกเปิดเผย


แสงจันทร์สาดส่องลงบนถนนในกรุงการากัสที่เต็มไปด้วยผู้คนที่โห่ร้องด้วยความยินดี ชัยชนะจากการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ทำให้มาเรีย โครินา มาชาโดกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังของชาวเวเนซุเอลา เธอยืนบนเวทีชั่วคราวที่ตั้งขึ้นใจกลางเมือง มือกำไมโครโฟนแน่น ดวงตาเต็มไปด้วยไฟแห่งความมุ่งมั่น เธอเพิ่งเปิดเผยเอกสารลับที่ฉายแสงให้เห็นถึงแผนการของโดนัลด์ ทรัมป์และวลาดิเมียร์ ปูติน ข้อตกลงลับที่หวังใช้การเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยของเวเนซุเอลาเป็นเครื่องมือในการควบคุมทรัพยากรน้ำมันของชาติ ฝูงชนเงียบลงเมื่อเธอเริ่มพูด น้ำเสียงของเธอสั่นสะเทือนด้วยพลัง

“พี่น้องชาวเวเนซุเอลา เสรีภาพของเราไม่ใช่ของเล่นในเกมของมหาอำนาจ! รางวัลที่ฉันได้รับคือของพวกเราทุกคน และเราจะปกป้องมันด้วยมือของเราเอง!”

คำพูดของเธอจุดประกายความโกรธและความหวังในใจของผู้คน โลกโซเชียลเดือดพล่านด้วยแฮชแท็ก #LibertadSinJuegos เสรีภาพไร้เกมการเมือง ข้อความของมาเรียแพร่กระจายราวไฟป่า สื่อทั่วโลกพาดหัวข่าวถึงการเปิดโปงครั้งใหญ่ที่เขย่าความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและเวเนซุเอลา

ที่มาร์อะลาโก ทรัมป์นั่งอยู่ในห้องทำงาน มือกำโทรศัพท์แน่น ขณะที่ทีมงานของเขาวิ่งวุ่นเพื่อควบคุมความเสียหายจากข่าวที่รั่วไหล เขาโพสต์ข้อความบนทรูโซเชียลทันที “ข่าวปลอม! ฉันสนับสนุนมาเรียและประชาธิปไตยของเวเนซุเอลาด้วยใจบริสุทธิ์ พวกสื่อซ้ายจัดพยายามทำลายฉัน!” แต่คำแก้ตัวของเขาดูเหมือนจะยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง ผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกเริ่มตั้งคำถามถึงเจตนาที่แท้จริงของเขา ขณะที่ปูติน ซึ่งนั่งอยู่ในเครมลิน ออกแถลงการณ์สั้นๆ ด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ผมไม่แปลกใจที่สหรัฐพยายามปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง นี่คือการเมืองโลก”

ในกรุงเทพฯ ข่าวการเปิดโปงของมาเรียส่งผลกระทบถึงการเจรจาสันติภาพไทย-กัมพูชา นิกรเดช โฆษกกระทรวงการต่างประเทศไทย ถูกเรียกตัวไปประชุมฉุกเฉินกับคณะนักการทูต เขาย้ำต่อสื่อว่า “ความหวังดีของสหรัฐต่อสันติภาพในภูมิภาคนี้ยังคงเป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญ แต่เราจะระมัดระวังมากขึ้นในการพึ่งพามหาอำนาจ” เงื่อนไขสี่ข้อของไทย ถอนกำลังทหาร เก็บกู้ทุ่นระเบิด ปราบคอร์รัปชัน และบริหารจัดการชายแดน ถูกนำกลับมาทบทวนอย่างเข้มข้น โดยไทยเริ่มมองหาพันธมิตรใหม่ เช่น สหภาพยุโรปและญี่ปุ่น เพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐที่กำลังเผชิญวิกฤตความน่าเชื่อถือ

ในเวเนซุเอลา มาเรียเริ่มรณรงค์ครั้งใหม่ เธอเดินทางไปยังชุมชนต่างๆ ทั่วประเทศ พูดคุยกับประชาชนที่ยากจนและถูกกดขี่ เธอปฏิเสธเงินสนับสนุนจากต่างชาติทั้งหมด และหันไปใช้ทรัพยากรภายในประเทศ รวมถึงเงินรางวัลโนเบล 37 ล้านบาท เพื่อตั้งกองทุน “ไฟแห่งเสรีภาพ” สำหรับการศึกษาและการพัฒนาชุมชน เธอกลายเป็นผู้นำที่ไม่เพียงต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แต่ยังเพื่อความยั่งยืนและอิสรภาพที่แท้จริงของชาติ

หลายเดือนต่อมา ขณะที่เวเนซุเอลาเริ่มฟื้นตัวจากการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย มาเรียได้รับจดหมายนิรนามอีกฉบับหนึ่ง คราวนี้ไม่ใช่เอกสารลับ แต่เป็นคำสารภาพจากอดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลสหรัฐ ผู้เปิดเผยว่า การรั่วไหลของเอกสารเกี่ยวกับทรัมป์และปูตินไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นแผนที่มาเรียวางไว้เอง เธอจงใจร่วมมือกับกลุ่มนักข่าวอิสระเพื่อปล่อยเอกสารนั้นในจังหวะที่เหมาะสม เพื่อตัดขาดอิทธิพลของมหาอำนาจจากเวเนซุเอลา และสร้างความชอบธรรมให้กับการเคลื่อนไหวของเธอในสายตานานาชาติ

มาเรียยิ้มขณะอ่านจดหมายนั้น เธอรู้ตั้งแต่แรกว่าการต่อสู้เพื่อเสรีภาพต้องมากับกลยุทธ์ที่เฉียบแหลม เธอใช้รางวัลโนเบลและความสนใจของโลกเป็นเครื่องมือในการหักหอกลับใส่ผู้ที่หวังครอบงำประเทศของเธอ “บางครั้ง” เธอกระซิบกับตัวเอง “เปลวไฟต้องหลอกให้ทุกคนเชื่อว่ามันอ่อนแอ เพื่อเผาผลาญศัตรูให้มอดไหม้”

ในขณะที่โลกยังคงถกเถียงถึงเจตนาของทรัมป์และปูติน มาเรีย โครินา มาชาโดได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำที่ไม่เพียงเปลี่ยนแปลงเวเนซุเอลา แต่ยังเขียนบทใหม่ให้กับการเมืองโลก บทที่พิสูจน์ว่า แม้ในเกมของมหาอำนาจ ผู้ที่ดูเหมือนอ่อนแอก็สามารถควบคุมกระดานได้ด้วยสติปัญญาและความกล้า
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่