7 ขั้นตอนในการทำตามเป้าหมายให้ได้ เกือบ 100% ตามหลักชีววิทยาของมนุษย์

ความเดิมในโพสต์ที่แล้ว: ศิลปะการตั้งเป้าหมายตามชีววิทยาของมนุษย์ - Pantip

หลังจากที่เราเข้าใจถึงการตั้งเป้าหมายตามหลักชีววิทยาของมนุษย์ ไปในครั้งที่แล้ว วันนี้เราจะมาคุยกันถึงเรื่องวิธีการทำตามเป้าหมาย เนื่องจากสมองของเรามักวอกแวกจากเป้าหมายเราจึงต้องมีวิธีการที่ชัดเจน เพื่อทำให้เป้าหมายสัมฤทธิ์ผล ถ้าจะให้อธิบายถึงการทำงานของสมองก็คงจะต้องยกถึงงานวิจัยทางด้านสมองที่เกี่ยวข้องกับการตั้งเป้าหมาย ที่พบว่าระบบสมอง Limbic ที่มีผลต่ออารมณ์ความรู้สึกจะตอบสนองต่อการให้รางวัลทันทีทันใด แต่ส่วนที่ตอบสนองต่อรางวัลในอนาคตนั้นคือ NeoCortex ดังนั้น ถ้าเราจะลดน้ำหนัก NeoCortex นั้นรู้ว่ามันเป็นผลดีในระยะยาว แต่ Limbic System จะบอกคุณว่ากินเค้กชิ้นนั้นสิคุณจะอร่อยเดี๋ยวนี้ อย่างที่เราได้คุยกันในตอนที่แล้วว่า ถ้าไม่มีเครื่องมือในการควบคุมอย่างเป็นระบบ อารมณ์จะชนะเหตุผลเสมอ
 

แต่ก่อนที่จะเริ่มกัน ผมอยากจะให้ พวกเรา เข้าใจ ก่อนว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ ดังนั้นการทำตามเป้าหมายโดยทั่วไปแล้ว คือการเสียสละสิ่งที่เรามีอยู่มาก เพื่อสิ่งที่เราต้องการแต่ยังมีไม่ถึงจุดที่เราตั้งใจไว้ เราอาจจะต้องเสียเวลา เพื่อให้ได้ความรู้ หรือเงินที่เพิ่มมากขึ้น, เราอาจจะต้องเสียเงิน เพื่อให้ได้ความรู้ หรือเวลา, หรือเราอาจจะต้องแลกความรู้และเวลา เพื่อให้ได้เงิน ถ้าเข้าใจเรื่องนี้และ ผมจะขอเสนอเจ็ดขั้นตอนที่จะทำให้สมองของคุณพาคุณไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ 

 
1.       หาวิธีการที่เหมาะสม – การหาวิธีการที่เหมาะสมมีอยู่หลายวิธี แต่สำหรับเป้าหมายส่วนใหญ่ของเราทุกคนนั้นวิธีการที่ดีที่สุดที่จะประสบความสำเร็จในการทำเป้าหมายทั่วไป คือการหาตัวอย่างเพื่อทำตาม (Role Model) ถ้าตัวอย่างมีความใกล้เคียงกับคุณมากเท่าไหร่ สมองส่วน Basal Ganglia ที่อยู่ใน Mid Brain จะปล่อยมันเข้าสู่ความเชื่อของเราโดยอัตโนมัติ เช่น คุณอยากจะลดน้ำหนัก 20 กิโลกรัม และคุณเอาเพื่อนสมัยเด็กของคุณ ที่เคยลดน้ำหนัก 25 กิโลกรัม สำเร็จมาเป็นตัวอย่างสมองของคุณจะเปิดรับความเป็นไปได้นั้น เมื่อเราได้ตัวอย่างแล้ว สิ่งที่เราจะทำคือการศึกษาพฤติกรรมเพื่อปรับใช้กับสถานการณ์ของเรา อย่างที่ได้ยกตัวอย่างไปในโพสต์ก่อนหน้า ตัวผมเองเคยตั้งเป้าหมาย และใช้เพื่อนของพี่สาวมาเป็นตัวอย่างของความสำเร็จ และผมก็คุยกับเขาถึงขั้นตอนที่เขาทำเช่น เขาทำเกรดให้ได้ 2.80 และเขาต้องไปสอบ TOEFL ให้ได้ 620 คะแนน แต่เนื่องจากตอนนั้นยังไม่เข้าใจเรื่องนี้ทำให้ผมเสียเวลาอยู่หลายปีถึงจะไปสู่เป้าหมายนั้นได้ ถ้าผมเข้าใจผมจะถามเขาว่าเค้าอ่านหนังสือยังไง เขาใช้เวลากับอะไรบ้าง แล้วนำมาปรับใช้กับสถานการณ์ของผม การไปถึงเป้าหมายของผมจะเร็วกว่านี้มาก

 
2.       ร่างเป็นแผนงาน – เนื่องจากการจดจ่อของจิตสำนึกของมนุษย์นั้นจะทำได้ทีละอย่างเดียวเท่านั้น ส่วนที่เหลือจะทำงานโดยระบบอัตโนมัติ ดังนั้นเพื่อให้จิตสำนึกของเราสามารถจดจ่อต่อสิ่งที่เราต้องการ การวางแผนงานประจำสัปดาห์นั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่ง สำหรับตัวผม ผมจะใช้เวลาช่วงตีสามถึงเจ็ดโมงครึ่งตอนเช้า และเวลาว่างในวันเสาร์อาทิตย์เพื่อทำสิ่งต่างๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายสำคัญ อย่างในปีนี้ผมจะใช้เวลาช่วงตีสามถึงตีห้า ในการเขียนบทความ ตัดต่อวีดิโอ หกโมงถึงเจ็ดโมงเช้าเรียนภาษาจีนกับครูต่างชาติออนไลน์ ส่วนเป้าหมายรองๆ จะพยายามทำมันในชีวิตประจำวันจนเป็นระบบอัตโนมัติ ที่สำคัญแผนของคุณต้องมีความแน่นอนระดับนึงเพื่อให้สมองสามารถสร้างการเชื่อมต่อของ Neuron Axon ในการทำ Synaptogenesis ซึ่งตามการวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ดนั้นพบว่าโดยเฉลี่ยจะต้องใช้เวลาประมาณ 21 วันในการเปลี่ยนพฤติกรรม

 
3.       ทำตามแผนที่วางไว้ – เมื่อเราได้แผนการแล้วสิ่งที่ต้องทำถัดไปคือการ ทำตามแผนและตารางที่วางไว้ แน่นอนว่าในช่วงแรกๆ คุณจะลำบากมากซึ่งเป็นเรื่องปกติของการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพราะว่าโดยเฉลี่ยแล้วคุณจะใช้เวลาแค่ประมาณ 20 ชั่วโมงเท่านั้นที่คุณจะสามารถทำอะไรบางอย่างได้ดีเพียงพอ อย่างวีดิโอด้านล่างนี้ ผมใช้เวลาเพียงแค่ 20 ชั่วโมงในการเรียนรู้และหาข้อมูลเพื่อทำมันเท่านั้นเอง ข้อสำคัญคือคุณต้องดำดิ่งไปกับมัน (Deep Dive หรือ Immersing) ทำมันจนคุณเข้า Zone หรือ Flow State คุณจะสามารถทำสิ่งนั้นโดยไม่หยุดหย่อนด้วยโปรแกรมอัตโนมัติของสมอง และเมื่อคุณทำมันนับร้อย นับพันชั่วโมง คุณจะสามารถสังเกตดูว่าคุณจะสามารถทำมันโดยไม่ต้องคิด (ยกตัวอย่างเช่น การเดิน การนั่ง การกิน การขับรถ) และถ้าคุณทำมันนับหมื่นชั่วโมงคุณจะเริ่มเป็นระดับโปร ของเรื่องนั้นๆ แล้วครับ  

 
4.       ตรวจสอบตัวเองเป็นระยะๆ – การตรวจสอบตัวเองตามช่วงเวลาที่กำหนดแน่นอนเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะว่าการตรวจสอบนั้นจะทำให้เรารู้ว่า จุดที่เราเป็นตอนนี้ มันใกล้จุดหมายของเรามากขึ้นหรือไม่ เมื่อเทียบกับการตรวจสอบครั้งก่อน ซึ่งถ้าเราไกลจุดหมายมากกว่าเดิมซักสองสามการวัดต่อเนื่องกัน แสดงว่ามันต้องมีความผิดปกติ สักอย่างในการกระทำของเรา เช่น เราอาจจะเข้าใจสถานการณ์ผิด เราอาจจะเลือกวิธีการที่ไม่เหมาะกับสถานการณ์ หรือ เราอาจจะมีความชำนาญไม่มากเพียงพอ ในกรณีที่คุณยังทำได้ตามเป้าให้ใช้วิธีจินตนาการถึงภาพความสำเร็จในอนาคต เพื่อให้สมองคุณสร้างเส้นทางสมอง (Synapses) สู่ความสำเร็จได้ ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีการที่เรียกว่า Envision Success ที่ใช้กันมากในวงการกีฬาและได้ผลมาเป็นระยะเวลาหลายสิบปี แต่เรื่องนี้ต้องระวังอย่างมากนะครับอย่า Envision อะไรที่มัน Extreme เกินไป อย่างตัวผมตอนจบปริญญาตรีนี่ผมอ้วนมากหนักประมาณ 92 กิโลกรัม และแฟนก็บอกเลิกไป ผมเลยตั้งใจว่าจะลดน้ำหนักเหลือ 65 ให้ได้ในหนึ่งปี โดย Envision ว่าจะมีสาวๆ มาห้อมล้อมตลอดเวลา ซึ่งผมทำสำเร็จจริงๆ จนน้ำหนักลงมาต่ำสุดเหลือแค่ 63 กิโลกรัม แต่ผลพวงที่ได้มาต่อจากนั้นคือในบางช่วงเวลาผมเดทกับสาวๆ พร้อมกันถึง 12 คน ทำให้เสียเวลาในการทำเรื่องอื่นๆ ที่จำเป็นต่อเป้าหมายอื่นๆ ของผมเป็นอย่างมาก

 
5.       ปรับปรุงวิธีการ – เป็นเรื่องปกติมากเมื่อเราได้รับข้อมูลชุดใหม่ (Feedback) ที่บอกว่าวิธีการของเราเริ่มมีความผิดปกติ ซึ่งในกรณีนี้คือ เราเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นที่ทำให้เราห่างเป้าหมายมากขึ้น หรือ มีความเร็วที่จะไปถึงจุดหมายได้ช้าลง เราต้องกลับมาดูวิธีการที่เรากำลังทำอยู่ว่ามันถูกต้องหรือไม่ ถ้าไม่ถูกต้องเราจะต้องกลับไปเริ่มทำข้อหนึ่งใหม่ แต่จำไว้ว่าจงปรับปรุงเฉพาะวิธีการ ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงเป้าหมายให้ต่ำลง เพราะการทำแบบนั้นสมองของคุณจะเริ่มเห็นความเป็นไปได้ ที่จะลดเป้าหมายลง และถ้าคุณทำแบบนี้บ่อยๆ สมองจะใส่มันไปยังโปรแกรมอัตโนมัติ จะทำให้โอกาสจะไปถึงเป้าหมายใดๆ จะลดลงชั่วชีวิตของคุณ

 
6.       ใช้เครื่องเตือนใจ (Commitment Device) – เครื่องเตือนใจ คือ ระบบการให้รางวัลตัวเองเมื่อทำสำเร็จ และลงโทษตัวเองถ้าทำไม่สำเร็จ ตามปกติแล้วการลงโทษจะมีผลมากกว่าการให้รางวัลอย่างน้อยสองเท่าเสมอ ซึ่งผมจะใช้เพียงแค่สองแบบเท่านั้น คือ การลงโทษ หรือ ไม่สำเร็จคือลงโทษ และสำเร็จจะได้รางวัล ยกตัวอย่างเช่น ถ้าผมอยากเรียนภาษาจีนในระดับที่อ่านออกพูดได้ ภายในระยะเวลาสามเดือน ผมก็จะจ่ายเงินจ้างครูไปก่อนเลยเป็นระยะเวลา 3 เดือน และทำการจองตารางเรียนไปก่อนล่วงหน้าเป็นเดือน ถ้าผมไม่เข้าเรียนด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม ผมก็จะเสียเงินฟรีๆ ไปทุกครั้งที่ผมไม่เข้าเรียน หรือ ถ้าผมอยากจะลดน้ำหนัก 20 กิโลกรัมผมก็จะพนันกับภรรยาถ้าผมลดได้ผมจะได้แสนนึง ถ้าเธอลดได้สิบกิโลกรัมก่อนผม ผมก็จะเสียให้เธอแสนนึง หรืออย่างตอนเรียน ถ้าผมอยากจะได้เกรดดีๆ ก็อาจจะพนันกับพ่อไว้ว่าถ้าผมได้ 3.6 ผมจะได้เงินหมื่นห้า ถ้าไม่ได้ผมจะเสียหมื่นนึงให้พ่อ จากการวิจัยพบว่าการใช้เครื่องเตือนใจนี้อย่างพอเหมาะจะช่วยเค้นประสิทธิภาพของคุณมากขึ้นถึง 40% 

 
7.       ขี้โม้ให้คนอื่นฟัง (Social Pressure) – การขี้โม้ให้คนอื่นฟังจะเป็นการเพิ่มโอกาสของความสำเร็จของคุณมากขึ้น เพราะสมองของมนุษย์ถูกสร้างให้เราเป็นสัตว์สังคม (Social Animal) จึงทำให้แรงกดดัน หรือความคาดหวังของคนที่อยู่ในสังคมของเรามีผลกับเราอย่างมาก แน่นอนว่าเรื่องนี้มีผลที่ทำให้เกิดปัญหาอย่างมากถ้าเราถูกคนอื่นใช้กับเรา แต่ถ้าเราใช้มันด้วยตัวเอง มันจะเป็นประโยชน์อย่างมากๆ เลยครับ การที่เราป่าวประกาศให้คนอื่นรู้อย่างสม่ำเสมอถึงผล ณ ปัจจุบันของเรา เป็นวิธีนึงที่ทำให้สมองเราสั่งให้เราทำพฤติกรรมนั้นต่อเนื่องตามงานวิจัยของต่างประเทศจำนวนมาก ซึ่งจะทำให้โอกาสประสบความสำเร็จในเป้าหมายนั้นๆ สูงขึ้น 50-75% เลยทีเดียวครับ

เพียงแค่คุณทำ 7 ขั้นตอนนี้ คุณก็สามารถมุ่งไปสู่เป้าหมายด้วยความสำเร็จ เกือบๆ ร้อย% แล้วครับ 

ติดตามได้ที่ https://www.facebook.com/hidden.door.success
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่