🔴มาลาริน/6 ก.พ.พบโควิด 490ราย รักษาหาย 943ราย รักษาอยู่ 6,781ราย/แอสตราเซเนกาป้องกันได้ 100%/แจ้งอาการผู้ว่าฯสมุทรสาคร

เพี้ยนแคปเจอร์โควิดวันนี้ หมอบุ๋มแถลงไทยพบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 490 ราย รวมติดเชื้อสะสม 23,134 ราย



วันนี้ (6 ก.พ.)  เมื่อเวลา 11.30 น. แพทย์หญิงพรรณประภา ยงค์ตระกูล ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ผู้ช่วยโฆษก ศบค.) แถลงถึงสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทย จากศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ว่า....🔻

ล่าสุด สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) หรือ โควิด-19 ในไทยวันนี้ พบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 490 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 23,134  ราย หายป่วยแล้ว 16,274 ราย ยังรักษาใน รพ. 6,781 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมยอดเสียชีวิตสะสม 79 ราย

รายละเอียดผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่ วันที่ 6 ก.พ. 2564 จำนวน 490 ราย มีดังนี้
1.ติดเชื้อในประเทศ 479 ราย
1.1 ผู้ป่วยรายใหม่ จากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการฯ 67 ราย
1.2 ค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในชุมชน 412 ราย

2.ติดเชื้อจากต่างประเทศ 11 ราย
2.1 ผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าสถานกักกันโรค (State Quarantine) 10 ราย
ฝรั่งเศส 1 ราย
โปรตุเกส 2 ราย
เยอรมนี 1 ราย
สหรัฐอเมริกา 2 ราย
ไนจีเรีย 1 ราย
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1 ราย
ยูเครน 1 ราย
สหราชอาณาจักร 1 ราย

2.2 ผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ (เข้าทางช่องทางธรรมชาติ) มาเลเซีย 1 ราย

https://www.sanook.com/news/8347054/

เพี้ยนปักหมุดวันนี้ยอดลด! ศบค.เผยติดเชื้อโควิดรายใหม่ 490 ราย รักษาหายอีก 943 คน
วันที่ 06 ก.พ. 2564 เวลา 11:39 น.



https://www.posttoday.com/social/general/644664

เพี้ยนแคปเจอร์ผลทดลองยืนยัน วัคซีนโควิด “แอสตราเซเนกา” ป้องกันอาการติดเชื้อรุนแรงและเสียชีวิตได้ 100%


ผลการทดลองทางคลินิกระยะ 3 ยืนยันวัคซีนโควิด-19 ของแอสตราเซเนกา สามารถป้องกันอาการติดเชื้อรุนแรงและการเสียชีวิตจากโควิด-19 ได้ 100% ลดการแพร่กระจายเชื้อได้ถึง 67% สามารถป้องกันโรคได้มากกว่า 70% ตั้งแต่ 22 วันนับจากฉีดวัคซีนโดสแรก และจะยิ่งมีประสิทธิผลสูงขึ้นเมื่อยืดระยะเวลาระหว่างการฉีดโดสแรกและโดสที่ 2 ให้นานขึ้น
บทความที่เผยแพร่ในวารสารการแพทย์ เดอะ แลนเซต (Preprints with The Lancet) เมื่อเร็วๆ นี้ ได้รายงานผลวิเคราะห์เบื้องต้นการทดลองคลินิกระยะที่ 3 จากกลุ่มวิจัยในสหราชอาณาจักร บราซิล และแอฟริกาใต้ ยืนยันวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตราเซเนกาปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคโควิด-19 โดยไม่พบผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงและต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหลังจาก 22 วันนับตั้งแต่ได้รับวัคซีนเข็มแรก
 
ผลการวิเคราะห์ระบุว่า หลังจากได้รับโดสแรก วัคซีนปรากฏประสิทธิผลเฉลี่ย 76% (ดัชนีค่าประสิทธิผลอยู่ระหว่าง 59% ถึง 86%) และมีประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อได้ยาวนานจนถึงการฉีดวัคซีนโดสที่ 2 โดยวัคซีนจะมีประสิทธิผลสูงถึง 82% (ดัชนีค่าประสิทธิผลอยู่ระหว่าง 63% ถึง 92%) เมื่อเว้นระยะเวลาระหว่างการฉีดวัคซีนโดสแรกและโดสที่ 2 เป็นเวลา 12 สัปดาห์ขึ้นไป
 
ผลวิเคราะห์จากการตรวจหาผู้ติดเชื้อในกลุ่มอาสาสมัครที่เข้าร่วมทดลองในอังกฤษ ยังได้แสดงให้เห็นว่าวัคซีนสามารถลดการติดเชื้อไวรัสที่ไม่แสดงอาการได้ ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าหลังจากได้รับวัคซีนโดสแรกแล้ว อัตราตรวจพบการติดเชื้อ (ตามเทคนิค PCR) ลดลง 67% (ค่าดัชนีระหว่าง 49% ถึง 78%) และภายหลังได้รับวัคซีนครบสองโดส อัตราตรวจพบการติดเชื้อลดลงเหลือ 50% (ค่าดัชนีระหว่าง 38% ถึง 59%) ตอกย้ำว่าวัคซีนมีผลในการลดการแพร่เชื้อโควิด-19 อย่างมาก
 
ข้อมูลการวิเคราะห์การทดลองคลินิกระยะที่ 3 โดยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และแอสตราเซเนกา มาจากการศึกษาจากกลุ่มอาสาสมัครจำนวน 17,177 ราย โดย 332 รายจากจำนวนดังกล่าวเป็นผู้ป่วยโควิด-19 ที่ร่วมกลุ่มการวิจัยระยะสามในสหราชอาณาจักร (กลุ่ม COV002) บราซิล (กลุ่ม COV003) และแอฟริกาใต้ (กลุ่ม COV003) นับเป็นจำนวนผู้ป่วยซึ่งเพิ่มขึ้นจากรายงานครั้งก่อน 201 ราย



เซอร์ เมเน่ แพนกาลอส รองประธานบริหารวิจัยและพัฒนาชีวเภสัชภัณฑ์ กล่าวว่า “ผลการวิเคราะห์เบื้องต้นยืนยันว่าวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตราเซเนกามีประสิทธิภาพในการป้องกันอาการติดเชื้ออย่างรุนแรงและช่วยลดอัตราผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล นอกจากนี้ การยืดระยะเวลาระหว่างการให้วัคซีนโดสแรก และโดสที่ 2 ไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิผลของวัคซีนเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มให้ประชาชนอีกส่วนหนึ่งสามารถได้รับวัคซีนอีกด้วย อีกทั้งผลวิเคราะห์ล่าสุดยังระบุว่าวัคซีนสามารถลดการแพร่เชื้อ เราจึงเชื่อว่าวัคซีนนี้จะมีผลสกัดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้อย่างแท้จริง”

ศาสตราจารย์ แอนดรูว์ โพลลาร์ด หัวหน้าผู้ตรวจสอบการวิจัยวัคซีนออกซ์ฟอร์ด และผู้ร่วมเขียนรายงานวิจัยกล่าวว่า “ผลการวิเคราะห์ชุดใหม่ช่วยยืนยันผลการทดลองขั้นต้นที่รายงานไปก่อนหน้านี้และยังช่วยให้หน่วยงานกำกับดูแลการอนุมัติใช้วัคซีน อาทิ สำนักงานควบคุมยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ (MHRA) ในสหราชอาณาจักรและหน่วยงานกำกับดูแลอื่นๆ ทั่วโลกสามารถอนุมัติการใช้วัคซีนในภาวะฉุกเฉิน นอกจากนี้ ยังสนับสนุนข้อเสนอด้านนโยบายการให้วัคซีนโดยคณะกรรมการร่วมว่าด้วยการฉีดวัคซีนและการสร้างภูมิคุ้มกัน (JCVI) ที่เสนอให้ระยะเวลาระหว่างการให้วัคซีนโดสแรก และโดสที่ 2 ห่างกัน 12 สัปดาห์ ซึ่งคณะกรรมการดังกล่าวเห็นพ้องว่าเป็นรูปแบบการให้วัคซีนที่เหมาะสมที่สุดและสามารถป้องกันโรคโควิด-19 ได้ตั้งแต่ 22 วันหลังการฉีดวัคซีนโดสแรก”

การวิเคราะห์และนำเสนอข้อมูลเพิ่มเติมแก่หน่วยงานกำกับดูทั่วโลกจะยังคงดำเนินขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อประกอบการพิจารณาการอนุมัติขึ้นทะเบียนวัคซีนในภาวะฉุกเฉินหรือการรับรองอย่างมีเงื่อนไขในช่วงเกิดวิกฤตการระบาด แอสตราเซเนกายังรอการพิจารณาจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ให้ขึ้นทะเบียนวัคซีนสำหรับการใช้ฉุกเฉิน เพื่อเร่งกระบวนการจัดส่งวัคซีนไปยังประเทศที่มีรายได้ต่ำ

วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตราเซเนกาสามารถเก็บและจัดส่งที่อุณหภูมิเครื่องแช่เย็นทั่วไปที่มีใช้อยู่แล้วในระบบสาธารณสุข (อุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส) ได้นานอย่างน้อย 6 เดือนบรรจุภัณฑ์ทางการแพทย์ที่มีอยู่

แอสตราเซเนกายังคงทำงานร่วมกับภาครัฐ องค์กรระหว่างประเทศและหน่วยงานต่างๆ ทั่วโลกอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สนับสนุนให้ประชาชนจำนวนมากในประเทศต่างๆ สามารถเข้าถึงวัคซีนได้อย่างเท่าเทียมกันในราคาต้นทุนและไม่แสวงหาผลกำไรในช่วงวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19

นอกเหนือจากการวิจัยซึ่งนำโดยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดแล้ว แอสตราเซเนกายังได้ทำศึกษาจากกลุ่มการวิจัยขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลกอีกด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และแอสตราเซเนกาตั้งเป้าจำนวนอาสาสมัครจากทั่วโลกเข้าร่วมการวิจัยมากกว่า 60,000 รายจากทั่วโลก

วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตราเซเนกาได้รับอนุมัติให้ใช้ในกรณีฉุกเฉินในประเทศต่างๆ เกือบ 50 ประเทศทั่วโลก ครอบคลุม 4 ทวีป รวมถึงกลุ่มสหภาพยุโรป กลุ่มละตินอเมริกา อินเดีย โมร็อกโก และสหราชอาณาจักร

https://mgronline.com/qol/detail/9640000012024

เพี้ยนชอบหมอศิริราชเผย'ผู้ว่าฯสมุครสาคร'ปอดดีขึ้น90%



วันที่ 5 ก.พ.64 นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เผยว่า ผู้ว่าฯสมุทรสาคร อาการเริ่มดีขึ้นทุกวัน สามารถสื่อสารโต้ตอบได้ในช่วงเวลาตื่น ซึ่งมีอาการต้านเครื่องช่วยหายใจเล็กน้อย แต่ไม่น่าเป็นห่วง ซึ่งขณะนี้ประสิทธิภาพปอดของท่านผู้ว่าฯ มีการวัดผลอยู่ 2 วิธี 1. ภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ จากการเอกซเรย์ปอดธรรมดามีอาการดีขึ้นมาก เพราะฉะนั้นตอนนี้คิดว่าปลอดภัยจนสามารถนำไปเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ 2. ดูระดับแก๊สในกระแสเลือด หากส่งแก๊สเข้ากระแสเลือดแล้วได้ปริมาณที่ต้องการก็แสดงว่าปอดสามารถทำงานได้ดีพอ ดังนั้นปอดของท่านผู้ว่าฯ ต้องดีพอ จึงจะสามารถไม่ใช้เครื่องช่วยหายใจ ในช่วงนี้เป็นการค่อย ๆ เริ่มถอดเครื่องช่วยหายใจเป็นอีกหนึ่งวิธีในการฝึกหายใจด้วยตนเอง ซึ่งเครื่องช่วยหายใจของศิริราชนับว่าเป็นเครื่องที่มีประสิทธิภาพสูง เครื่องจะมีการปรับโหมดและสามารถตรวจวัดระดับได้ว่าคนไข้เป็นผู้ที่สามารถหายใจได้ด้วยตัวเอง โดยตอนนี้ได้มีการปรับระดับโหมดเองไปเรื่อยๆ เครื่องจะเป็นตัวกระตุ้นให้น้อยลง ให้ท่านผู้ว่าฯ เป็นคนกระตุ้นเครื่องด้วยตนเองมากขึ้น ซึ่งในอดีตเครื่องช่วยหายใจเป็นการกำหนดการหายใจเป็นจำนวนครั้ง ซึ่งต่างจากปัจจุบันเรียกได้ว่าเป็นโหมดสนับสนุนการหายใจ
 
"ในช่วงแรกของการเอกซเรย์ปอด พบว่าปอดมีสีขาว ซึ่งปกติแล้วปอดต้องเป็นสีดำเพราะเป็นลม ปอดของท่านผู้ว่าฯ เป็นสีขาว เนื่องจากในปอดมีน้ำทำให้อากาศเข้าไปในปอดไม่ได้ แต่ขณะนี้กลับมาใกล้เคียงปกติ ดีขึ้น 90% เมื่อเทียบกับของเดิม ทั้งนี้ในส่วนของการเจาะคอที่มีการดูดเสมหะ เมื่อมีการหายใจได้ด้วยตนเองและสามารถขับเสมหะเองได้ สามารถนำท่อที่บริเวณเจาะคอออกได้ ระยะเวลาไม่เกิน 2 สัปดาห์ แผลจะปิดเองดังเดิม ซึ่งการเจาะคอเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้สภาวะทุกอย่างดีขึ้น เป็นการแก้การติดเชื้อ เมื่อนำออกแล้วการออกเสียงต่าง ๆ จะค่อย ๆ มีการปรับตัวเนื่องจากในช่วงแรกลมจะมาออกที่บริเวณคอ แต่สุดท้ายก็จะกลับมาปกติได้ตามเดิม" นพ.ประสิทธิ์ กล่าว

https://siamrath.co.th/n/217797

ขอส่งพลังใจ แด่ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครค่ะ....💕

มอบกำลังใจแด่แพทย์ พยาบาล และ เจ้าหน้าที่ทุกท่านนะคะ

ตั้งการ์ดไว้อย่าให้ตกค่ะ  เอาชนะโควิดไปด้วยกัน

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่