ใครที่ตามโซเชียลอยู่ก็คงจะเห็นเรื่องของคนเป็นภูมิแพ้ที่ใช้ชีวิตกันยากขึ้นในช่วงโควิด-19 กันมาบ้างแล้ว เพราะไม่ว่าคุณจะไอจามแต่ละครั้ง คุณจะกลายเป็นจุดสนใจและสร้างความกังวลใจให้กับคนรอบข้างเสียทุกครั้ง โอเคแหล่ะว่าในออฟฟิศก็อาจจะไม่ค่อยมีปัญหาเพราะเพื่อน ๆ ในแผนกก็รู้กันว่าผมมีโรคประจำตัวเป็นภูมิแพ้ แต่พอออกไปที่สาธารณะ นี่กลายเป็นปัญหาทันทีโดยเฉพาะการเดินทาง เพราะกว่าผมจะเดินทางมาถึงรถไฟฟ้า ก็ไม่รู้ว่าสูดฝุ่นไปเท่าไหร่แล้ว พอถึงสถานีปัญหาไอจามถามหาจน รปภ. มองกันตาค้อนจนแทบจะไม่ให้เข้าทุกที (ดีที่ตรวจอุณหภูมิแล้วปกติ) เคยไอขึ้นมากลางรถไฟฟ้า คือวงแตกของจริง!!! เข้าใจแหล่ะว่าคนอื่นกลัว เขาไม่รู้จักผม สุดท้ายผมเลยตัดความรำคาญ เพื่อความสบายใจของผมเองและคนรอบข้าง หันไปใช้บริการแกร้บคาร์แทน ก็เลยอยากแชร์ประสบการณ์การใช้แกร็บคาร์ช่วงโควิด-19 ให้ฟังสักหน่อย
วิถีชีวิตเปลี่ยนไปเยอะครับ ค่อนข้างสะดวกขึ้น มีเวลาทำอะไรมากขึ้น ไม่ต้องเผื่อเวลาเดินหาวินมอเตอร์ไซค์ หรือรอรถไฟฟ้า คิดเผื่อเวลาแค่ตอนเรียกกับรอเวลาที่รถมารับที่บ้าน (บ้านผมมีรถคันเดียว และผมกับภรรยาไม่ได้ wfh ทั้งคู่ เราทำงานคนละเวลา ช่วงโควิด-19 ผมเลยให้รถภรรยาใช้ เพื่อความสะดวก) น่าจะเป็นเพราะช่วงนี้คนเดินทางค่อนข้างน้อยเพราะฉะนั้นเรียกใช้บริการแกร้บคาร์แล้วมักได้เลยไม่ต้องรอ รอเวลาแค่รถขับมารับเราที่บ้านเท่านั้น แต่สิ่งที่ได้นอกเหนือจากความรู้สึกสบายใจของเราเองที่ไม่สร้างความกังวลให้คนอื่นและความสบายใจของคนอื่น ๆ ที่ไม่ต้องกังวลว่าเราป่วยรึเปล่าเวลาไอหรือจาม ผมยังรู้สึกถึงความสะดวกสบายที่มากขึ้น แต่ก่อนวันไหนเดินออกจากบ้านไม่เจอวินมอเตอร์ไซค์ เดินมาปากซอยสัก 15 นาที เหงื่อก็ออกเต็มเสื้อไม่สบายตัวไปทั้งวัน เทียบกับการที่คุณอยู่บ้านเฉย ๆ มีรถมารับ ไม่ต้องตากแดด ไม่โดนฝุ่นภูมิแพ้ลดลง และที่สำคัญคือที่ผมเพิ่งรู้สึกหลังใช้บริการคือเราเองก็ลดความเสี่ยงที่จะติดโควิด-19 ด้วย เพราะพอเราเดินทางเป็นส่วนตัวมากขึ้น เราพบปะและสัมผัสคนน้อยลง อยู่ในที่ที่คนหนาแน่นน้อยลง ความเสี่ยงก็น้อยตาม พอเป็นแบบนี้เลยรู้สึกลงตัวกับการทำงานมากขึ้น (ยอมรับว่าตอนแรกเป็นกังวลเรื่องออกมาทำงาน เลยพาลนอยด์ ๆ อยาก wfh มากกว่า) สรุปก็กลายเป็นว่า สะดวกสบายขึ้น การจราจรก็ไม่เป็นปัญหาเพราะช่วงนี้รถไม่ติด แถมตัวผมเองและครอบครัวก็สบายใจขึ้นจากความเสี่ยงในการเดินทางที่ลดลงด้วย

(ซอยอย่างลึก เดินทีเหงื่อแตก)
พอใช้แกร้บคาร์เป็นประจำแล้วเห็นข่าวว่าแกร้บคาร์จะถูกกฎหมาย แต่ถูกจำกัดโควตาก็ตกใจนะ แน่ล่ะว่าผมเป็นผู้ใช้บริการประจำ ก็ต้องกลัวว่ารถจะหายากขึ้น เรียกใช้ได้ยากขึ้นต้องเผื่อเวลาเรียกนานขึ้น ซึ่งพอมันกะยากเวลาที่มาไม่แน่นอนก็อาจทำให้เราใช้บริการไม่สะดวก หรือหนักขึ้นก็อาจไม่มีรถให้บริการ (เพราะจากที่อ่านผ่าน ๆ มาโควตาน่าจะหายไปเยอะพอสมควร) ซึ่งสุดท้ายการจำกัดโควตาของภาครัฐ กลับกระทบต่อผู้บริโภคหรือประชาชนโดยตรง โดยมองไม่เห็นถึงประโยชน์ของการจำกัดโควตาเลย ตรงนี้หลายท่านอาจถามว่าทำไมไม่เดินออกไปเรียกรถล่ะ คือมันไม่สะดวกในการออกไปเรียก คือบ้านผมอยู่ซอยลึก แท็กซี่กว่าจะเข้ามาแต่ละคันต้องอาศัยดวงล้วนๆ
ในฐานะคนใช้บริการก็อยากเป็นเสียงหนึ่งในการสนับสนุนแกร้บคาร์ให้ถูกกฎหมายและไม่จำกัดโควตา เพราะยิ่งสถานการณ์ปัจจุบันที่ความเสี่ยงอยู่รอบตัวเรา การเดินทางแบบส่วนตัวแบบนี้ก็มีความจำเป็นอย่างมากในชีวิตประจำวันและอาจถือว่ามันเป็น New Normal ของการเดินทางด้วยซ้ำ
ชีวิตใช้ยากของคนเป็นภูมิแพ้ที่ไม่ wfh กับการเดินทางในแต่ละวัน
วิถีชีวิตเปลี่ยนไปเยอะครับ ค่อนข้างสะดวกขึ้น มีเวลาทำอะไรมากขึ้น ไม่ต้องเผื่อเวลาเดินหาวินมอเตอร์ไซค์ หรือรอรถไฟฟ้า คิดเผื่อเวลาแค่ตอนเรียกกับรอเวลาที่รถมารับที่บ้าน (บ้านผมมีรถคันเดียว และผมกับภรรยาไม่ได้ wfh ทั้งคู่ เราทำงานคนละเวลา ช่วงโควิด-19 ผมเลยให้รถภรรยาใช้ เพื่อความสะดวก) น่าจะเป็นเพราะช่วงนี้คนเดินทางค่อนข้างน้อยเพราะฉะนั้นเรียกใช้บริการแกร้บคาร์แล้วมักได้เลยไม่ต้องรอ รอเวลาแค่รถขับมารับเราที่บ้านเท่านั้น แต่สิ่งที่ได้นอกเหนือจากความรู้สึกสบายใจของเราเองที่ไม่สร้างความกังวลให้คนอื่นและความสบายใจของคนอื่น ๆ ที่ไม่ต้องกังวลว่าเราป่วยรึเปล่าเวลาไอหรือจาม ผมยังรู้สึกถึงความสะดวกสบายที่มากขึ้น แต่ก่อนวันไหนเดินออกจากบ้านไม่เจอวินมอเตอร์ไซค์ เดินมาปากซอยสัก 15 นาที เหงื่อก็ออกเต็มเสื้อไม่สบายตัวไปทั้งวัน เทียบกับการที่คุณอยู่บ้านเฉย ๆ มีรถมารับ ไม่ต้องตากแดด ไม่โดนฝุ่นภูมิแพ้ลดลง และที่สำคัญคือที่ผมเพิ่งรู้สึกหลังใช้บริการคือเราเองก็ลดความเสี่ยงที่จะติดโควิด-19 ด้วย เพราะพอเราเดินทางเป็นส่วนตัวมากขึ้น เราพบปะและสัมผัสคนน้อยลง อยู่ในที่ที่คนหนาแน่นน้อยลง ความเสี่ยงก็น้อยตาม พอเป็นแบบนี้เลยรู้สึกลงตัวกับการทำงานมากขึ้น (ยอมรับว่าตอนแรกเป็นกังวลเรื่องออกมาทำงาน เลยพาลนอยด์ ๆ อยาก wfh มากกว่า) สรุปก็กลายเป็นว่า สะดวกสบายขึ้น การจราจรก็ไม่เป็นปัญหาเพราะช่วงนี้รถไม่ติด แถมตัวผมเองและครอบครัวก็สบายใจขึ้นจากความเสี่ยงในการเดินทางที่ลดลงด้วย
(ซอยอย่างลึก เดินทีเหงื่อแตก)
พอใช้แกร้บคาร์เป็นประจำแล้วเห็นข่าวว่าแกร้บคาร์จะถูกกฎหมาย แต่ถูกจำกัดโควตาก็ตกใจนะ แน่ล่ะว่าผมเป็นผู้ใช้บริการประจำ ก็ต้องกลัวว่ารถจะหายากขึ้น เรียกใช้ได้ยากขึ้นต้องเผื่อเวลาเรียกนานขึ้น ซึ่งพอมันกะยากเวลาที่มาไม่แน่นอนก็อาจทำให้เราใช้บริการไม่สะดวก หรือหนักขึ้นก็อาจไม่มีรถให้บริการ (เพราะจากที่อ่านผ่าน ๆ มาโควตาน่าจะหายไปเยอะพอสมควร) ซึ่งสุดท้ายการจำกัดโควตาของภาครัฐ กลับกระทบต่อผู้บริโภคหรือประชาชนโดยตรง โดยมองไม่เห็นถึงประโยชน์ของการจำกัดโควตาเลย ตรงนี้หลายท่านอาจถามว่าทำไมไม่เดินออกไปเรียกรถล่ะ คือมันไม่สะดวกในการออกไปเรียก คือบ้านผมอยู่ซอยลึก แท็กซี่กว่าจะเข้ามาแต่ละคันต้องอาศัยดวงล้วนๆ
ในฐานะคนใช้บริการก็อยากเป็นเสียงหนึ่งในการสนับสนุนแกร้บคาร์ให้ถูกกฎหมายและไม่จำกัดโควตา เพราะยิ่งสถานการณ์ปัจจุบันที่ความเสี่ยงอยู่รอบตัวเรา การเดินทางแบบส่วนตัวแบบนี้ก็มีความจำเป็นอย่างมากในชีวิตประจำวันและอาจถือว่ามันเป็น New Normal ของการเดินทางด้วยซ้ำ