ตอนที่ ๖ : หนุ่มสวรรคโลก

Chapter 6 

อาคารทรงตึกฝรั่ง ๒ ชั้น ดูแปลกตา เด่นสง่าท่ามกลางแมกไม้ร่มครึ้มใน อาณา “วัดกลาง” ริมน้ำยม อย่างที่ชาวบ้านเรียกกัน หากชื่อทางการคือ วัดสวรรคาราม ชายหนุ่มผิวคร้ามแดดจดจ่ออยู่ที่ “แบบศาลาการเปรียญ” 

“โยมกรัน อาตมาขอโทษทีต้องรอกันนาน พอดีว่าญาติโยมเชิญไปฉันเพล ชวนคุยนั่นคุยนี่ จะปลีกตัวออกมาก็เกรงใจ” ท่านเจ้าอาวาส ทัก 

“มิได้ครับ พระคุณเจ้า ผมวิ่งเล่นแถวนี้มาแต่เด็ก ได้กลับมาทำงานถวายหลวงพ่อ ก็ดีใจมากแล้ว สวรรคโลกบ้านเรา จะได้มีสีสัน” กรันเอ่ยตอบอย่างถ่อมตน สถาปนิกหนุ่มเลือดศรีสัชนาลัย หรือ สวรรคโลก แท้ คร่ำหวอดในวงการออกแบบอาคารต่างๆ ระดับประเทศมามากมาย กลับเบื่อหน่ายชีวิตเมือง จนนำไปสู่ ความร้าวฉานในครอบครัว ที่สุด คือ แตกหัก กรัน เลิกกับภรรยาสาวสวย โดดเด่นในวงการอสังหาริมทรัพย์  “ศิริน” เธอ “งามตา” แต่ ไม่ “งามใจ” การบ้านการเรือน แทบไม่หยิบจับ ลูกสาวคนเดียว แก้วตาดวงใจ ของ กรัน “คุณรับลูกไปด้วยนะ ฉันคงไม่มีเวลาดูแล แต่สัญญาว่าจะพาไปเที่ยวต่างประเทศปีละครั้ง” ศิรินไม่ต้องการภาระที่เป็นอุปสรรคในการงานของเธอ 

กรัน ตัดสินใจพาลูกสาวคนเดียวกลับมา “บ้าน” สวรรคโลก ท่านกลางความล้ำสมัย กรันกลับไม่ต้องการให้ลูกเติบโตแบบบ้าวัตถุ “ว่าแต่โยมไม่เสียใจเอาทีหลังนะ พาลูกมาอยู่ห่างไกลความเจริญแบบนี้” ท่านเจ้าอาวาสเอ่ย 

“ไม่ขอรับ เขาชอบธรรมชาติ ที่นี่ โรงเรียนภาษาจีน อังกฤษก็มี ผมอยากให้เขาเติบโตมาเป็นคนสวรรคโลก ไม่อยากให้เขาเป็นฝรั่งหน้าไทย บ้านเรามีอะไรดีๆ อีกมาก โตแล้วค่อยว่ากันขอรับ” กรันตอบ 

แปลนร่างศาลาการเปรียญหลังใหญ่วางอยู่ต่อหน้าท่านเจ้าอาวาส กรันตั้งใจจะสร้างศาลาการเปรียญหลังนี้ ไว้ฝั่งพิพิธภัณฑ์สวรรควรนายก เพียงข้ามถนนไปก็ถึง ด้วยพื้นที่ฝั่งพิพิธภัณฑ์กว้างขวางกว่า เมื่อเสร็จสมบูรณ์ ศาลาการเปรียญนี้ คงช่วยให้พิพิธภัณฑ์มีชีวิตชีวากว่าเดิม  ตัวอาคารเป็น ศาลาเปิดโล่ง ไม่ก่อผนังทึบ มีเสาเว้นระยะรับโครงสร้างหลังคาลาดต่ำ เกือบจรดพื้น ซ้อนกัน ๒ ชั้น ลดหลั่นกัน เน้นความงามของเนื้อไม้ “ไม่ทิ้งลาย ลูกหลานตระกูลช่างไม้นะ โยม” ท่านเจ้าอาวาสเอ่ย ขณะฟังกรันบรรยายแบบแปลน 

“เสาไม้นี่ ของเก่าพอมีที่พ่อเก็บไว้บ้างครับ แต่คิดว่าคงไม่พอ อาจจะต้องสั่งจากฝั่งพม่าบ้าง คงต้องทอดผ้าป่ากันอีกหลายครั้ง” กรันหยอกท่านเจ้าอาวาส 

ศาลาการเปรียญเรียบง่าย เน้นความโปร่งสบาย มีโคมไฟสังคโลก ดินเผาออกสีเขียวไข่กาประดับเป็นระยะ ความรักบ้านเกิด หลงใหลในความเป็นศรีสัชนาลัยของกรันแทรกซึมในทุกส่วนของชีวิต ผลงานการวิเคราะห์รูปแบบสถาปัตยกรรมอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย สร้างความตื่นเต้นในวงวิชาการสถาปัตยกรรมไทยไม่น้อยทีเดียว 

บ่ายคล้อยจัด จันนวลเดินเล่นอยู่ในสวน พลางเดินไปสำรวจเรือนริมน้ำ ที่ยายอ่อนเล่าไว้ วันธรรมดา คลองชักพระสงบ งาม แม้น้ำจะดูขุ่นอยู่บ้าง แต่ก็ไหลเรื่อย ไม่เน่าเสีย ปลาออกชุกชุม หน้าเรือนมีชานกว้าง ประตูบานเฟี้ยม ลายลูกฟัก เปิดออก ๒ ข้าง เห็นคลองตรงหน้าเป็นมุมกว้าง ‘สบายตาจริง’ จันนวลนึก 

“สมัยก่อน คุณท่านเคยเปิดเป็นร้านขายส่ง มะพร้าว กะท้อน ทุเรียน กำปั่น ทองย้อย สวนบ้านเรานี้ดังไปถึงแถบเมืองนนท์ ไม่แพ้บ้านยายจ่าง คลองบางกอกน้อย นั่นเทียว” ยายอ่อนเล่า 

“ยังพอมีอยู่ไหมคะ ยายอ่อน ทุเรียน กะท้อน?” จันนวลเอ่ยถาม 

“ในสวนบางระมาดยังเหลืออยู่บ้าง แต่ก็ไม่ค่อยติดค่ะ ทุเรียนเลี้ยงยาก ต้องกั้นน้ำเค็ม พ่อไอ้ศุข นั่น มือหนึ่งเลย ไอ้ศุขก็ทำได้ เห็นห่อกะท้อนนี่ ดีทุกลูก ไม่มีร่วง ปีๆ ก็ได้เงินโขนะคะ แล้วก็ส่งขึ้นไปให้ ทางบ้านที่สวรรคโลกด้วย” ยายอ่อนเล่าเพลิน 

“หนูอยากลงมาอยู่ที่เรือนนี้คะ ชอบคลอง ค่ำลงคงสงบ เช้าๆ บรรยากาศคงดีทีเดียว” จันนวลเอ่ย 

“ไม่ดีมังคะ คุณหนู บ้านเมืองเดี๋ยวนี้ไม่เหมือนสมัยก่อน ผู้ร้ายก็มาก หากจะลงมาค้าง ต้องให้ไอ้ศุขมานอนเฝ้า ฉวยเกิดอะไร จะไม่คุ้มเสีย” ยายอ่อนทัดทาน 

“นะคะ ช่วยดูห้องข้างบนให้ที อยากนั่งอ่านหนังสือทำงานที่เรือนริมคลองนี่” จันนวลรบเร้ายายอ่อน 

‘ป่านนี้ ที่เวียนนาอากาศคงเย็นแล้ว’ จันนวลนึกพลาง ตั้งแต่ ไฮน์ริช จากไป เธอก็ไม่กล้า ไม่อยาก เห็นรถแข่งอีกเลย ทุกครั้งเขาออกไปแข่งรถ จันนวลใจคอไม่เคยอยู่กับตัว ‘สมองได้รับการกระเทือนมาก แม้จะผ่าตัด ก็คงไมฟื้นอีก’ นายแพทย์ซึ่งนับว่า “เก่ง เชี่ยวชาญ” ที่สุดในแถบบาวาเรีย ก็ไม่สามารถยื้อชีวิต ไฮน์ริช ไว้ 

“ผมอยากไปเมืองไทยกับคุณ ผมว่าง คุณก็ไม่ว่าง คุณว่าง ผมก็ติดงาน เราจะได้แต่งงานกันตามประเพณีเสียที จะ 10 ปีแล้วนะ ที่เราอยู่ด้วยกันมา” ไฮน์ริช เอ่ย 

จันนวลบ่ายเบี่ยงการแต่งงานมาตลอด เพราะรักอิสรภาพ ไม่ใช่ไม่รัก 

‘กับคุณ มันเกินคำว่า “รัก”คุณคือคนที่ฉันไว้ใจ ภาระคุณมากเกินกว่าที่ฉันอยากจะรู้ บริษัทรถยนต์ เรือ ขนส่ง’ 

ใครต่อใคร ต่างคิดว่า จันนวล โง่ มหาเศรษฐีแห่งแคว้นบาวาเรีย แต่กลับบ่ายเบี่ยง ทว่า ในสายตาจันนวล ไฮน์ริช คือ ชายหนุ่มที่ดื้อรั้น ชอบรถ เรือ เครื่องบิน และไร่ไวน์ 

‘ไม่สิ ทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว เราต้องอยู่กับปัจจุบัน’ ภวังค์ หากตกลงไปบ่อยๆ จะทำให้เราขาดสติ จันนวลมักเตือนตัวเองเสมอ 

คืนเดือนหงาย จันทร์ดวงกลมโต ปลายเดือนกันยายน ส่องแสงนวลตา พลางนึกถึงคำแม่ ‘ไม่ใช่ลูก ชื่อของหนู คือ จัน ลูกจัน’ จันนวลมักคิดว่า ชื่อตนคือ พระจันทร์ 

‘ตอนแม่ใกล้คลอดหนู ลูกจันออกลูกเต็มต้น ที่บ้านสวรรคโลก เดือนมิถุนายนต้นจันจะออกลูกสะพรั่ง หอมฟุ้งไปทั่ว ลูกกลมลูกแป้น เหลืองนวล กลิ่นนวล หอมนวล ไม่ฉุน ทั้งที่แม่แพ้อะไรต่อมิอะไร แต่ลูกจันกลับหอม’ 

“บ้านสวรรคโลก” นึกชื่อนี้ขึ้นมาคราวใด ก็ไพล่นึกถึง รูปหล่อฤาษีบนหอพระเรือนคุณทวดทุกครั้งไป 

แสงจันทร์สาดเข้าช่องหน้าต่างลูกกรงอย่างโบราณ นายศุขสุมเปลือกส้มแห้งกันยุงไว้ให้ แล้วลาไปนอนชั้นล่าง แสงไฟจากโคมที่ปากคลองตลิ่งชัน วาวแวม แข่งแสงจันทร์ จันนวลลงมือ ร่างแผนงานที่จะต้องไปคุยกับ เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย ตามที่ได้รับมอบหมายจากคณะทำงานมรดกโลกเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

“สถานที่ต่างๆ ที่เป็นมรดกแห่งอารยธรรมของมนุษย์ ยังคงขาดสิ่งหนึ่งไป คือ มนุษย์ นั่นเอง เรามักปฏิบัติต่อ มรดกโลกในเชิงการท่องเที่ยว พร้อมข้อมูลประกอบ แต่ในการ ‘หวนเยือน’ (The World Heritage Revisited) ครั้งนี้ เราจะใช้ มนุษย์เป็นแกนนำ มนุษย์ผู้สร้าง อารยธรรม ความงาม และประวัติศาสตร์... ” 

‘จันทร์กระจ่างตา เป็นแบบนี้เอง’ ค่ำมากแล้ว หนุ่มใหญ่เชื้อสายสกุลช่างไม้เอก กรัน ยังคงขมักเขม้นจดจ่อ หน้าเตาเผาที่สร้างเลียนแบบของเก่า นอกจากงานไม้แล้ว กรันหลงใหลความงามของเครื่องสังคโลก ลองผิดลองถูก เลียนแบบ สร้างเตาเผาสังคโลกอย่างโบราณ 

‘เตาที่เกาะน้อยนี่เก่าแก่กว่าที่ไหนๆ เลยนะ ไอ้กรัน เตาแต่ละเตาใช้เผาถ้วยชาม หม้อไห ต่างกันไป ดินศรีสัชนาลัยบ้านเรา ปั้นอะไรก็งาม เผาแล้วไม่แตกง่าย’ เสียงตาช้างสหายเก่าแก่ของพ่อ ผู้คร่ำหวอดในงานสังคโลกจนหมดลม ยังสะท้อนในหัวกรันเสมอมา ‘เอาน่า วันนี้ไม่สำเร็จ วันหน้ายังมี’ กรันยังคงสนใจเตาปทุนที่ต้อง มุดเข้าไปเรียงถ้วยชามก่อนเผาด้วยความร้อนสูง ศาลาการเปรียญหลังใหม่ กรัน ตั้งใจ ใช้วัสดุทุกอย่างในสวรรคโลก ศรีสัชนาลัยเท่านั้นชุดบัวหัวเสา ตั้งใจใช้ สังคโลก ประกอบซ้อนเข้ากับไม้สัก 

บนโต๊ะทำงาน จดหมายเชิญเข้าร่วมประชุมความร่วมมือระหว่างกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรมและ UNESCO ยังวางนิ่ง ‘รำคาญ นี่คงหาทางพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวอีก เอาคนเข้ามา เอาเงินเข้ามา แล้วทิ้งขยะไว้’ 

“อย่าขวางนักเลย พ่อสถาปนิกมือเอก กูกราบล่ะ มาหน่อยเถอะ บรรดาสถาปนิกงานไทย ที่รู้เรื่อง เมืองเหนือ UPPER SIAM ดีที่สุดก็นั่นล่ะ เอาสมอง เอางานที่ได้รางวัลจาก Florence  มาอวดชาวโลกเขาหน่อย” นัยน์ เพื่อนสนิท ร่วมสถาบันทั้งเรียนและทำงาน ส่งเสียงตามสาย มาขอร้องแกมบังคับ เมื่อ 2-3 วันก่อน 

“กูขอคิดดูก่อน ห่วงลูก หากเข้ากรุงเทพ ก็ต้องเอาลูกไปด้วย จริงๆ ก็ดีเหมือนกัน ตายายเขาก็อยากเจอหลาน” กรันประวิงคำตอบ 

ลมชื้นพัดเรื่อย น้ำแม่ยมขึ้นสูงเมื่อเข้าหน้าฝน ไอชื้นเย็นจับพื้นไม้ชานหน้าห้อง กรัน มักออกมายืนรับลม พร้อมชาจีนอย่างดี ยอดพระธาตุงามราวจับวางเมื่อต้องแสงจันทร์ ดูสอาดอ่อนหวาน พลางมองไปยังเรือน พระยาสวรรครักษราชโยธิน ภาพหญิงสูงโปร่ง มั่นใจสูง สง่า อย่างสูงศักดิ 

‘หรือเราจะตาฝาดไปเอง’ กรันนึกพลาง เมื่อแรกเห็นจันนวล ลงจากรถ เข้ายังเรือนท่านพระยาฯ แต่กลับเห็นภาพซ้อน หญิงสูงศักดินางหนึ่ง นั่งบนหลังช้าง ผมเกล้ามวยต่ำระต้นคอ ประดับเครื่องทองงาม พร้อมข้าทาส 

‘แวบเดียวเท่านั้น แวบเดียวจริงๆ’ 

แต่เด็กมา กรันมักเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น และน้อยคนนัก จะรู้ว่า กรัน มีญาณรับพิเศษ ตรงนี้ หลายครั้งเมื่อกรันลงมือร่างแบบ ซึ่งหาหลักฐานประวัติศาสตรไม่ได้ กรัน มักจะรฤกถึง ครูบาอาจารย์ ‘พระร่วงจ้าว’ ขอปัญญาแก่ลูกด้วยเถิด 

ไม่ช้านาน กรัน ก็จะร่างแบบออกมาได้อย่างงามวิเศษ รวมทั้ง งานออกแบบ ประติมากรรม ‘ปทุมาสัชชนาไลย’ ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศจากเมือง Florence มาแล้ว 

‘ผ้านุ่งอย่างอย่างขอมโบราณยาวกรมเท้า ระพื้น คงไม่ใช้ชาวบ้านธรรมดา’ 

 ‘จันนวลคือใคร’

นานๆ ครั้งจะได้ยินเสียงฝีพายวาดน้ำกว้างๆสักครั้ง นำ้ขึ้นแบบนี้ คงมีพวกงมกุ้งอยู่ตามรายคลองไป ‘ผ่านมากี่ปี คลองชักพระไม่เคยเปลี่ยน’ 

เมื่อยังเด็ก จันนวลมักวิ่งมาดูคนงมกุ้งตอนค่ำๆ แน่นอน กุ้งแม่น้ำตัวโตจะกลายเป็นกับข้าวในวันต่อมา 

พลางอ่านบันทึกต่อ 

แรม ๒ ค่ำ เดือน ๒ รศ. ๑๒๐
ที่ตำหนักสมเดจเจ้าประคุณนี่ ฉันได้พบแม่พรรณ เปนครั้งแรก แม่พรรณ ไม่เหมือนหญิงอื่น ตรงที่ กล้าพูดกล้ายิ้ม กับคนโดยทั่ว หล่อนเปนเพื่อนกับลูกพระน้ำพระยา พ่อของแม่พรรณนี่เปนชาวสวน มีอันจะกินอยู่ทางบางกอกน้อย อีกฟากของแม่น้ำ ท่านเจ้าคุณผู้ใหญ่ท่านเอ็นดู เอาตัวมาเลี้ยงเป็นเพื่อนคุณหนู ลูกสาวท่าน ดูมีสง่าราศรี ไว้ตัว แม่พรรณพลอยได้เรียนโรงเรียนแหม่มโคลไปด้วย ทั้งยังไปสมาคมกับกลุ่มเมียฝรั่ง ชวนกันอ่านหนังสือ เรียนภาษา แม่พรรณจึงต่างจากหญิงอื่น งานบ้านงานเรือนก็ดี หนังสือหนังหาก็รู้ เสาะรู้เปนที่หนึ่ง ใครได้คุยด้วยก็จะเอนดู แต่ฉันก็เจียมตัวเสมอว่าเปนคนหัวเมืองบ้านป่า จนไปฝึกทหารนี่ จึ่งห่างกันไป เมื่อต้องไปเมืองฝรั่ง ก็ทำใจแล้วว่าคงไม่มีวาสนาได้พบกันอีก ต่อกลับถึงพระนคร ฉันนี้ใจเต้นได้พบ แม่พรรณ อีก จึ่งได้พูดคุยกันมากขึ้น วันหนึ่ง สมเดจเจ้าประคุณเรียกฉันไปพบ ถามว่าชอบพอแม่พรรณฤา ฉันไม่กล้าแม้จะคิด แต่ท่านไม่ว่ากระไร เหนว่า ฉันโตพอจะมีเหย้าเรือนได้แล้ว รับราชการมั่นคง ก็สมควรมีเหย้าเรือน ท่านจะทาบทามให้ ท่านเสนาบดีเปนผู้ใหญ่ให้ 

ขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๔ รศ. ๑๒๐ 

กลับมาได้สักพักท่านเสนาบดีเรียกตัวฉันไปว่า จะให้ประจำการที่ มณฑลพิษณุโลกย ด้วยเหตุหัวเมืองเหนือไม่น่าวางใจนัก คนงานในบังคับอังกฤษมักระหองระแหงกับชาวสยามอยู่เสมอ ข้ามเขาขึ้นไปทางหัวเมือง พายัพนั่น พวกป่าไม้มีเรื่องกันมิได้ขาด แลหลวงท่านเตรียมจะสร้างทางรถไฟแน่แล้ว สายเหนือนี่ดูจะเร่งกันมาก ด้วยเกรงอำนาจอังกฤษบริเตน เหนท่าจะเอาเชียงไหม่เสียให้ได้ เมืองระแหงไปทางแม่สอดนี่ ก็วางใจไม่ได้นัก ด้วยใกล้มะละแหม่งเสียเหลือเกิน ได้ยินผู้ใหญ่คุยกันว่า บริเตนหยากขอสร้างทางรถไฟเอง จากเมืองมะละแหม่ง ผ่านเมืองระแหง พาดสวรรคโลก พิชัย ออกไปทางเมืองลาว เส้นทางนี้ จะเข้าถึงยูนนาน สิบสองปันนา โดยง่าย ดูท่า ฝรั่งเศสจะไม่เอาแน่นอน ไหนว่า ตกลงให้เราเป็น กันชน แต่พอเผลอไผล ก็จะล่วงเข้ามาแผ่นดินเรา เสมอ ฉันจึ่งเข้าสังกัดมณฑลพิษณุโลกย ขึ้นล่องพระนครไม่ได้ขาด ที่จริงก็ดีใจอยู่เพราะ ใกล้บ้าน จากเมืองพิชัย นั่งเกวียน ขี่ม้าก็ถึงสวรรคโลกแล้ว

ดึกโขแล้ว จันนวลเริ่มง่วงงุน ยายอ่อนเอามุ้งลงให้แต่หัวคำ่แล้วจึงลาไปนอน 
จันนวลหลับตาลง พลันภาพ พระฤาษี ที่เรือนคุณทวดก็ปรากฏขึ้น ท่านแลดูใจดี จันนวลหลับไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่