หนี
“หนีใครอยู่เหรอ”
ฉันตกใจนิดหน่อยที่จู่ๆ ก็มีใครมาพูดอยู่ข้างๆ กาย ในระยะประชิด เป็นน้ำเสียงเล็กใสเจือความออดอ้อนน่ารักไว้ในนั้น แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกดีอะไรสักนิด
ท่ามกลางความมืดมิดที่กำลังรายล้อม ฉันนั่งกอดเข่าขังตัวเองไว้ในอ้อมกอดอย่างแน่นหนา แผ่นหลังที่กำลังพิงเสาต้นใหญ่อยู่พยายามเบียดแทรก ราวกับต้องการจะหลอมรวมทั้งร่างเข้าไปกับความเย็นชืดไร้ชีวิตชีวานั้น
ถ้าทำอย่างนั้นได้ก็คงจะดี เพราะจะได้ไม่มีใคร หรืออะไรก็ตาม ตามตัวฉันพบ
มองไปทางต้นเสียง เงาร่างเล็กของใครคนหนึ่งยืนอยู่ น่าแปลกว่า แม้ไม่ชัดเจนแต่กลับรับรู้ได้ว่าเจ้าของร่างนั้นเป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักน่าชังคนหนึ่ง
แต่ที่น่าแปลกยิ่งกว่าก็คือ ทั้งๆ ที่สถานที่นี้มืดสนิท แต่ไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงมองเห็นอะไรต่อมิอะไรได้
“หนีอะไรอยู่เหรอ”
“ไม่รู้” เสียงตอบของตัวเองแผ่วเบาราวคนเลอะเลือน คล้ายต้องการให้คำตอบนั้นฟุ้งกระจายล่องลอยอยู่ในอณูอากาศ
ไม่ใช่ว่าไม่อยากคุยด้วย แต่เป็นเพราะไม่รู้ว่าจะหาคำตอบใดที่ดีไปกว่านี้ได้ต่างหาก
“แล้วหนีทำไมเหรอ”
“ไม่รู้ ฉันไม่รู้” ฉันตอบซ้ำๆ แบบเดิม
เสียงจิ๊บๆ ปลุกให้ตื่นจากภวังค์ในยามเช้า นั่งจิบกาแฟ ฟังข่าว พร้อมๆ กับดื่มด่ำบรรยากาศของแสงแรกแห่งวัน ออกเดินทางไปใช้ชีวิต ทำงานที่ชอบอย่างสุดกำลัง พอตกเย็นก็กลับถึงบ้าน พร้อมหน้าพร้อมตา พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่ได้รับมาทั้งวันกับคนในครอบครัว
ฉันเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดา ที่อยากมีชีวิตและความสุขตามธรรมดาทั่วไป อย่างที่คนๆ หนึ่งพอจะมีได้เท่านั้นเอง แล้วนี่มันคืออะไร สถานที่อันมืดมิดที่เต็มไปด้วยแรงกดดันนี่มันคืออะไร
ฉันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ทำไมต้องมาพบกับอะไรแบบนี้ ต้องอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ด้วย
“ไม่รู้อะไรเลย” ได้ยินเสียงตุ้บๆ เป็นจังหวะดังอยู่ในหัว คล้ายเส้นเลือดตรงขมับกำลังเร่งสูบฉีดบีบรัด เพื่อนำพาความมืดมิดทั้งมวลมาสู่ร่างกายนี้
ให้มืดมิดยิ่งขึ้น ให้กดดันหนักหน่วงยิ่งขึ้น
“กินนี่ไหม”
มืออ้วนกลมยื่นออกมาเบื้องหน้า บนฝ่ามือน้อยๆ มีลูกอมที่ห่อด้วยกระดาษสีฟ้าสดอยู่เม็ดหนึ่ง
“อร่อยนะ กินแล้วชื่นใจ สมองปลอดโปร่ง”
เมื่อตั้งใจมอง ฉันก็พบว่ามันเป็นลูกอมรสโปรดที่เคยซื้อกินเป็นประจำนั่นเอง
เด็กน้อยน่ารักยื่นลูกอมให้พร้อมด้วยรอยยิ้มไร้เดียงสา ดูเหมือนจะทำให้บรรยากาศอันวิปริตผิดเพี้ยนที่รายล้อมอยู่ดูผ่อนคลายเบาบางลงไปชั่วขณะ
ท่ามกลางความเวิ้งว้างไร้จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด ชั่วขณะนั้น หยดน้ำหยดหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างไร้ที่มา ก่อนที่มันจะร่วงหล่นลงสู้ความว่างเปล่าเบื้องล่าง และก่อให้เกิดวงคลื่นที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
แรงกระเพื่อมปั่นป่วนตะกอนในใจให้ลอยฟุ้ง ความวูบไหวกระตุ้นให้ฉันยื่นมือออกไปหาเด็กหญิง
ตรงเส้นแบ่งระหว่างความกล้ากับความกลัว ที่ใจกลางแห่งแรงปรารถนาและแรงพยายาท ท่ามกลางจิตใจอันหวาดระแหงและสงบเยือกเย็น
ณ จุดก้ำกึ่งของทั้งหมดทั้งปวงที่เกิดและดับหมุนเวียนกันอย่างรวดเร็วไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย พลันร่างกายก็สั่นสะท้านไปด้วยไอยะเยือกที่แผ่พุ่งเข้าใส่จากที่ใดสักแห่ง
ดวงตาแห่งเปลวไฟที่แผดเผาทุกสรรพสิ่งให้มอดไหมเป็นจุล รอยยิ้มอำมหิตเสียดแทงแย่งชิงลมหายใจของทุกชีวิต มันคือปีศาจร้าย เป็นความรู้สึกถึงปีศาจร้าย
แม้ไม่เห็นด้วยตา แต่มโนภาพก็สร้างมันขึ้นมาจนเป็นรูปเป็นร่าง
และตอนนี้เสียงฝีเท้าของมันใกล้เข้ามาแล้ว ลมหายใจเหม็นเน่าชวนสะอิดสะเอียนกำลังรดอยู่ที่ต้นคอของฉันแล้ว
มันหาฉันเจอแล้ว...
“จะหนีอีกแล้วเหรอ”
เสียงของเด็กหญิงแทรกมาตรงกึ่งกลาง แบ่งแยกทำลายสายธารความคิดและความหวาดผวาให้สูญสลายลงชั่วคราว
“มันมาแล้ว ฉันต้องหนี” ไม่จำเป็นต้องตอบสักนิด แต่ฉันก็ตอบออกไป
“หนีใครเหรอ หนีอะไรอยู่”
ฉันไม่รู้ ไม่รู้อะไรเลย...
คำตอบในใจมีเพียงเท่านี้ ความสับสนที่เกิดขึ้นก่อนให้เกิดความไม่มั่นคงแน่นอน ความไม่แน่นอนแปรเปลี่ยนเป็นความกระวนกระวาย และสุดท้ายมันก็ส่งผลย้อนกลับไปเป็นคำถาม ที่ต้องตอบซ้ำไปซ้ำมาแบบเดิมอย่างไม่รู้จักจบสิ้น
แล้วฉันกำลังหนีอะไรกันแน่...
“เธอมีความสุขเหรอ”
ฉันพลันนั้น คล้ายกับว่าเด็กหญิงผู้พูดกำลังเดินออกมาจากเงามืด จู่ๆ ร่างน้อยก็ค่อยๆ เปล่งประกาย กระจ่างชัดขึ้นเป็นลำดับอย่างน่าแปลกประหลาด
“การวิ่งวนอยู่ในความมืดมิดแสนสาหัส จะทำให้เธอได้ชีวิตธรรมดาที่เธอต้องการอย่างนั้นเหรอ”
เด็กน้อยอยู่ในชุดกระโปรงสีชมพูทั้งชุด เธอมีผิวขาว เนื้อตัวนุ่มนิ่ม เส้นผมดำเล็กละเอียดยาวถึงต้นคอถูกรวบมัดเป็นสามจุกอย่างง่ายๆ ดวงตากลมโตไร้เดียงสาเป็นประกาย ราวกับมันบรรจุทั้งจักรวาลไว้ในนั้น ปากนิด จมูกหน่อย รับกับใบหน้ากลมและพวงแก้มสีชมพูอ่อน
ความรู้สึกบางอย่างแผ่พุ่งเอ่อล้นออกมา มันพัดพาตะกอนแห่งความคลุมเคลือไปจนหมด
ไม่รู้ทำไม ในเสี้ยววินาทีนั้น ฉันกลับสัมผัสถึงความสุขและความปวดร้าวได้ในเวลาเดียวกัน
หัวใจเต้นแรงขึ้น แรงขึ้น ฉันยื่นมือไปหาเด็กน้อย
เด็กหญิงเดินเข้าหา ฉีกยิ้มที่สดใสที่สุดในความรู้สึกมาให้
ฉันโอบกอดร่างเล็กอย่างทะนุถนอมแผ่วเบา น้ำตาไหลออกมาอย่างเกินสะกดกลั้น
แล้วโลกมืดทั้งใบก็พลันสว่างไสว
เสียงจิ๊บๆ ของนกบนกิ่งไม้ และไออุ่นจากแสงแดด ปลุกฉันให้ลืมตาตื่น บรรยากาศผ่อนคลายที่ได้สัมผัสอยู่ในขณะนี้ ทำให้เคลิบเคลิ้มจนเผลองีบไปตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้
เหลียวมองไปยังข้างกาย ที่นั่งบนม้านั่งตัวยาวที่ฉันกำลังนั่งอยู่มีเพียงข้าวของที่ถือมาด้วยเท่านั้น ทอดสายตาตามเสียงเจี๊ยวจ๊าว หัวเราะเฮฮาอย่างสนุกสนาน ออกไปยังสนามเด็กเล่นเบื้องหน้า เด็กหญิงตัวน้อยในชุดกระโปรงสีชมพู กำลังวิ่งกระหืดกระหอบมาหา
“คุณแม่ขา ขอกินน้ำหน่อยค่ะ”
เด็กหญิงตัวน้อยโผเข้าหา คว้ากระติกน้ำในมือที่ฉันเตรียมไว้ให้ดื่มอึกใหญ่จนน้ำเปื้อนสองแก้มไปหมด
“สนุกไหมจ๊ะ” ถามพลางเช็ดใบหน้ามอมแมมของเด็กน้อยจนสะอาด
“สนุกค่ะ”
“ถ้าสนุก ไว้แม่พามาเล่นอีกนะจ๊ะ” มองใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างเอ็นดู “ว่าแต่ตอนนี้หิวหรือยังเอ่ย”
“หิวแล้วค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวอมลูกอมรองท้องไปก่อนเนอะ ถึงบ้านแล้วแม่ทำข้าวต้มกุ้งให้กินดีไหมจ๊ะ” สองมือควานหาลูกอมในห่อกระดาษสีฟ้าสดในถุงผ้าได้สองเม็ด จึงส่งให้ลูกน้อยที่กำลังกระโดดโลดเต้นอยู่รอบๆ ไป
“คุณแม่ก็น่าจะหิวแล้ว หนูแบ่งให้คุณแม่เม็ดหนึ่งนะคะ คุณแม่จะได้มีแรงทำกับข้าวให้หนูกิน”
“ขอบใจนะจ๊ะ” ฉันรับลูกอมเม็ดหนึ่งมาเก็บไว้ มองดูลูกสาวตัวน้อยแกะอีกเม็ดที่เหลือส่งเข้าปาก เคี้ยวตุ้ยๆ อย่างเอร็ดอร่อย
“ไป เดินกลับบ้านเรากันดีกว่า ถ้าเจอของกินอร่อยๆ เดี๋ยวแม่ซื้อกลับไปกินกับมื้อเช้าด้วยดีไหม”
“เย่ ดีค่ะ คุณแม่”
ฉันลุกขึ้น เก็บข้าวของ จูงมือลูกสาวตัวน้อยเดินไปตามทางของสวนสาธารณะ ที่เต็มไปด้วยร่มเงาของไม้ใหญ่
สายลมแผ่วพลิ้วไม่ห่างช่วง กิ่งไม้เอนไหวส่ายสะบัด ใบไม้อ่อนแรงยึดเกาะ ร่วงหล่นประดับประดา ผีเสื้อบินเริงร่ากับมวลดอกไม้ แต่เหล่าแมลงปอกลับเกาะอยู่อย่างสงบนิ่งตรงใบหญ้า ละอองน้ำชุ่มฉ่ำจากหัวรดน้ำแขวนลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ สะท้อนแสงสีทองจนเป็นประกายระยับ
ฉันโล่งใจและนึกขอบคุณตัวเองจากใจจริง ที่ในวันนั้นฉันไม่เลือกที่จะหนี เพราะไม่เช่นนั้น ฉันคงต้องติดอยู่ในวังวนของความทุกข์และเศร้าโศกอย่างไม่มีวันจบสิ้น
ถ้าฉันหนี ฉันคงไม่มีโอกาสได้เห็น ได้สัมผัสความสวยงาม อย่างที่กำลังเป็นอยู่นี้ตลอดไป
หากตอนนี้มีใครถามว่า ตอนนั้นฉันหนีอะไรหรือหนีใคร วันนี้ฉันคงตอบได้อย่างไม่ลังเลสักนิดว่า ฉันกำลังหนีตัวเอง หนีความจริง หนีจากความรู้สึกผิด หนีจากทุกๆ อย่างที่กำลังติดตามและไล่ล่าฉันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ทว่าในเวลานี้ เมื่อใดก็ตามที่มีคนถามฉัน ตอนไหนเป็นตอนที่ฉันมีความสุขที่สุด ฉันก็จะตอบอย่างไม่ลังเลเช่นกันว่า มันคือวันนี้ เวลานี้ นั่นเอง
การที่ฉันยังมีชีวิต มีลมหายใจอยู่ ยังได้พูดคุย โอบกอด ยิ้มแย้ม ได้เฝ้ามอง ได้เห็นพัฒนาการ ดูลูกสาวตัวน้อยเติบใหญ่ขึ้นทุกวัน นี่ละ คือความสุขที่สุดของฉันแล้ว
จบ
เรื่องสั้น : หนี
“หนีใครอยู่เหรอ”
ฉันตกใจนิดหน่อยที่จู่ๆ ก็มีใครมาพูดอยู่ข้างๆ กาย ในระยะประชิด เป็นน้ำเสียงเล็กใสเจือความออดอ้อนน่ารักไว้ในนั้น แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกดีอะไรสักนิด
ท่ามกลางความมืดมิดที่กำลังรายล้อม ฉันนั่งกอดเข่าขังตัวเองไว้ในอ้อมกอดอย่างแน่นหนา แผ่นหลังที่กำลังพิงเสาต้นใหญ่อยู่พยายามเบียดแทรก ราวกับต้องการจะหลอมรวมทั้งร่างเข้าไปกับความเย็นชืดไร้ชีวิตชีวานั้น
ถ้าทำอย่างนั้นได้ก็คงจะดี เพราะจะได้ไม่มีใคร หรืออะไรก็ตาม ตามตัวฉันพบ
มองไปทางต้นเสียง เงาร่างเล็กของใครคนหนึ่งยืนอยู่ น่าแปลกว่า แม้ไม่ชัดเจนแต่กลับรับรู้ได้ว่าเจ้าของร่างนั้นเป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักน่าชังคนหนึ่ง
แต่ที่น่าแปลกยิ่งกว่าก็คือ ทั้งๆ ที่สถานที่นี้มืดสนิท แต่ไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงมองเห็นอะไรต่อมิอะไรได้
“หนีอะไรอยู่เหรอ”
“ไม่รู้” เสียงตอบของตัวเองแผ่วเบาราวคนเลอะเลือน คล้ายต้องการให้คำตอบนั้นฟุ้งกระจายล่องลอยอยู่ในอณูอากาศ
ไม่ใช่ว่าไม่อยากคุยด้วย แต่เป็นเพราะไม่รู้ว่าจะหาคำตอบใดที่ดีไปกว่านี้ได้ต่างหาก
“แล้วหนีทำไมเหรอ”
“ไม่รู้ ฉันไม่รู้” ฉันตอบซ้ำๆ แบบเดิม
เสียงจิ๊บๆ ปลุกให้ตื่นจากภวังค์ในยามเช้า นั่งจิบกาแฟ ฟังข่าว พร้อมๆ กับดื่มด่ำบรรยากาศของแสงแรกแห่งวัน ออกเดินทางไปใช้ชีวิต ทำงานที่ชอบอย่างสุดกำลัง พอตกเย็นก็กลับถึงบ้าน พร้อมหน้าพร้อมตา พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่ได้รับมาทั้งวันกับคนในครอบครัว
ฉันเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดา ที่อยากมีชีวิตและความสุขตามธรรมดาทั่วไป อย่างที่คนๆ หนึ่งพอจะมีได้เท่านั้นเอง แล้วนี่มันคืออะไร สถานที่อันมืดมิดที่เต็มไปด้วยแรงกดดันนี่มันคืออะไร
ฉันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ทำไมต้องมาพบกับอะไรแบบนี้ ต้องอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ด้วย
“ไม่รู้อะไรเลย” ได้ยินเสียงตุ้บๆ เป็นจังหวะดังอยู่ในหัว คล้ายเส้นเลือดตรงขมับกำลังเร่งสูบฉีดบีบรัด เพื่อนำพาความมืดมิดทั้งมวลมาสู่ร่างกายนี้
ให้มืดมิดยิ่งขึ้น ให้กดดันหนักหน่วงยิ่งขึ้น
“กินนี่ไหม”
มืออ้วนกลมยื่นออกมาเบื้องหน้า บนฝ่ามือน้อยๆ มีลูกอมที่ห่อด้วยกระดาษสีฟ้าสดอยู่เม็ดหนึ่ง
“อร่อยนะ กินแล้วชื่นใจ สมองปลอดโปร่ง”
เมื่อตั้งใจมอง ฉันก็พบว่ามันเป็นลูกอมรสโปรดที่เคยซื้อกินเป็นประจำนั่นเอง
เด็กน้อยน่ารักยื่นลูกอมให้พร้อมด้วยรอยยิ้มไร้เดียงสา ดูเหมือนจะทำให้บรรยากาศอันวิปริตผิดเพี้ยนที่รายล้อมอยู่ดูผ่อนคลายเบาบางลงไปชั่วขณะ
ท่ามกลางความเวิ้งว้างไร้จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด ชั่วขณะนั้น หยดน้ำหยดหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างไร้ที่มา ก่อนที่มันจะร่วงหล่นลงสู้ความว่างเปล่าเบื้องล่าง และก่อให้เกิดวงคลื่นที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
แรงกระเพื่อมปั่นป่วนตะกอนในใจให้ลอยฟุ้ง ความวูบไหวกระตุ้นให้ฉันยื่นมือออกไปหาเด็กหญิง
ตรงเส้นแบ่งระหว่างความกล้ากับความกลัว ที่ใจกลางแห่งแรงปรารถนาและแรงพยายาท ท่ามกลางจิตใจอันหวาดระแหงและสงบเยือกเย็น
ณ จุดก้ำกึ่งของทั้งหมดทั้งปวงที่เกิดและดับหมุนเวียนกันอย่างรวดเร็วไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย พลันร่างกายก็สั่นสะท้านไปด้วยไอยะเยือกที่แผ่พุ่งเข้าใส่จากที่ใดสักแห่ง
ดวงตาแห่งเปลวไฟที่แผดเผาทุกสรรพสิ่งให้มอดไหมเป็นจุล รอยยิ้มอำมหิตเสียดแทงแย่งชิงลมหายใจของทุกชีวิต มันคือปีศาจร้าย เป็นความรู้สึกถึงปีศาจร้าย
แม้ไม่เห็นด้วยตา แต่มโนภาพก็สร้างมันขึ้นมาจนเป็นรูปเป็นร่าง
และตอนนี้เสียงฝีเท้าของมันใกล้เข้ามาแล้ว ลมหายใจเหม็นเน่าชวนสะอิดสะเอียนกำลังรดอยู่ที่ต้นคอของฉันแล้ว
มันหาฉันเจอแล้ว...
“จะหนีอีกแล้วเหรอ”
เสียงของเด็กหญิงแทรกมาตรงกึ่งกลาง แบ่งแยกทำลายสายธารความคิดและความหวาดผวาให้สูญสลายลงชั่วคราว
“มันมาแล้ว ฉันต้องหนี” ไม่จำเป็นต้องตอบสักนิด แต่ฉันก็ตอบออกไป
“หนีใครเหรอ หนีอะไรอยู่”
ฉันไม่รู้ ไม่รู้อะไรเลย...
คำตอบในใจมีเพียงเท่านี้ ความสับสนที่เกิดขึ้นก่อนให้เกิดความไม่มั่นคงแน่นอน ความไม่แน่นอนแปรเปลี่ยนเป็นความกระวนกระวาย และสุดท้ายมันก็ส่งผลย้อนกลับไปเป็นคำถาม ที่ต้องตอบซ้ำไปซ้ำมาแบบเดิมอย่างไม่รู้จักจบสิ้น
แล้วฉันกำลังหนีอะไรกันแน่...
“เธอมีความสุขเหรอ”
ฉันพลันนั้น คล้ายกับว่าเด็กหญิงผู้พูดกำลังเดินออกมาจากเงามืด จู่ๆ ร่างน้อยก็ค่อยๆ เปล่งประกาย กระจ่างชัดขึ้นเป็นลำดับอย่างน่าแปลกประหลาด
“การวิ่งวนอยู่ในความมืดมิดแสนสาหัส จะทำให้เธอได้ชีวิตธรรมดาที่เธอต้องการอย่างนั้นเหรอ”
เด็กน้อยอยู่ในชุดกระโปรงสีชมพูทั้งชุด เธอมีผิวขาว เนื้อตัวนุ่มนิ่ม เส้นผมดำเล็กละเอียดยาวถึงต้นคอถูกรวบมัดเป็นสามจุกอย่างง่ายๆ ดวงตากลมโตไร้เดียงสาเป็นประกาย ราวกับมันบรรจุทั้งจักรวาลไว้ในนั้น ปากนิด จมูกหน่อย รับกับใบหน้ากลมและพวงแก้มสีชมพูอ่อน
ความรู้สึกบางอย่างแผ่พุ่งเอ่อล้นออกมา มันพัดพาตะกอนแห่งความคลุมเคลือไปจนหมด
ไม่รู้ทำไม ในเสี้ยววินาทีนั้น ฉันกลับสัมผัสถึงความสุขและความปวดร้าวได้ในเวลาเดียวกัน
หัวใจเต้นแรงขึ้น แรงขึ้น ฉันยื่นมือไปหาเด็กน้อย
เด็กหญิงเดินเข้าหา ฉีกยิ้มที่สดใสที่สุดในความรู้สึกมาให้
ฉันโอบกอดร่างเล็กอย่างทะนุถนอมแผ่วเบา น้ำตาไหลออกมาอย่างเกินสะกดกลั้น
แล้วโลกมืดทั้งใบก็พลันสว่างไสว
เสียงจิ๊บๆ ของนกบนกิ่งไม้ และไออุ่นจากแสงแดด ปลุกฉันให้ลืมตาตื่น บรรยากาศผ่อนคลายที่ได้สัมผัสอยู่ในขณะนี้ ทำให้เคลิบเคลิ้มจนเผลองีบไปตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้
เหลียวมองไปยังข้างกาย ที่นั่งบนม้านั่งตัวยาวที่ฉันกำลังนั่งอยู่มีเพียงข้าวของที่ถือมาด้วยเท่านั้น ทอดสายตาตามเสียงเจี๊ยวจ๊าว หัวเราะเฮฮาอย่างสนุกสนาน ออกไปยังสนามเด็กเล่นเบื้องหน้า เด็กหญิงตัวน้อยในชุดกระโปรงสีชมพู กำลังวิ่งกระหืดกระหอบมาหา
“คุณแม่ขา ขอกินน้ำหน่อยค่ะ”
เด็กหญิงตัวน้อยโผเข้าหา คว้ากระติกน้ำในมือที่ฉันเตรียมไว้ให้ดื่มอึกใหญ่จนน้ำเปื้อนสองแก้มไปหมด
“สนุกไหมจ๊ะ” ถามพลางเช็ดใบหน้ามอมแมมของเด็กน้อยจนสะอาด
“สนุกค่ะ”
“ถ้าสนุก ไว้แม่พามาเล่นอีกนะจ๊ะ” มองใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างเอ็นดู “ว่าแต่ตอนนี้หิวหรือยังเอ่ย”
“หิวแล้วค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวอมลูกอมรองท้องไปก่อนเนอะ ถึงบ้านแล้วแม่ทำข้าวต้มกุ้งให้กินดีไหมจ๊ะ” สองมือควานหาลูกอมในห่อกระดาษสีฟ้าสดในถุงผ้าได้สองเม็ด จึงส่งให้ลูกน้อยที่กำลังกระโดดโลดเต้นอยู่รอบๆ ไป
“คุณแม่ก็น่าจะหิวแล้ว หนูแบ่งให้คุณแม่เม็ดหนึ่งนะคะ คุณแม่จะได้มีแรงทำกับข้าวให้หนูกิน”
“ขอบใจนะจ๊ะ” ฉันรับลูกอมเม็ดหนึ่งมาเก็บไว้ มองดูลูกสาวตัวน้อยแกะอีกเม็ดที่เหลือส่งเข้าปาก เคี้ยวตุ้ยๆ อย่างเอร็ดอร่อย
“ไป เดินกลับบ้านเรากันดีกว่า ถ้าเจอของกินอร่อยๆ เดี๋ยวแม่ซื้อกลับไปกินกับมื้อเช้าด้วยดีไหม”
“เย่ ดีค่ะ คุณแม่”
ฉันลุกขึ้น เก็บข้าวของ จูงมือลูกสาวตัวน้อยเดินไปตามทางของสวนสาธารณะ ที่เต็มไปด้วยร่มเงาของไม้ใหญ่
สายลมแผ่วพลิ้วไม่ห่างช่วง กิ่งไม้เอนไหวส่ายสะบัด ใบไม้อ่อนแรงยึดเกาะ ร่วงหล่นประดับประดา ผีเสื้อบินเริงร่ากับมวลดอกไม้ แต่เหล่าแมลงปอกลับเกาะอยู่อย่างสงบนิ่งตรงใบหญ้า ละอองน้ำชุ่มฉ่ำจากหัวรดน้ำแขวนลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ สะท้อนแสงสีทองจนเป็นประกายระยับ
ฉันโล่งใจและนึกขอบคุณตัวเองจากใจจริง ที่ในวันนั้นฉันไม่เลือกที่จะหนี เพราะไม่เช่นนั้น ฉันคงต้องติดอยู่ในวังวนของความทุกข์และเศร้าโศกอย่างไม่มีวันจบสิ้น
ถ้าฉันหนี ฉันคงไม่มีโอกาสได้เห็น ได้สัมผัสความสวยงาม อย่างที่กำลังเป็นอยู่นี้ตลอดไป
หากตอนนี้มีใครถามว่า ตอนนั้นฉันหนีอะไรหรือหนีใคร วันนี้ฉันคงตอบได้อย่างไม่ลังเลสักนิดว่า ฉันกำลังหนีตัวเอง หนีความจริง หนีจากความรู้สึกผิด หนีจากทุกๆ อย่างที่กำลังติดตามและไล่ล่าฉันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ทว่าในเวลานี้ เมื่อใดก็ตามที่มีคนถามฉัน ตอนไหนเป็นตอนที่ฉันมีความสุขที่สุด ฉันก็จะตอบอย่างไม่ลังเลเช่นกันว่า มันคือวันนี้ เวลานี้ นั่นเอง
การที่ฉันยังมีชีวิต มีลมหายใจอยู่ ยังได้พูดคุย โอบกอด ยิ้มแย้ม ได้เฝ้ามอง ได้เห็นพัฒนาการ ดูลูกสาวตัวน้อยเติบใหญ่ขึ้นทุกวัน นี่ละ คือความสุขที่สุดของฉันแล้ว
จบ