
ปีนี้ได้สรุปแยกผลการลงทุนประจำปีโดยคำนวณ กำไรขาดทุนเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งแบบ
1. ผลกำไรขาดทุนที่เกิดขึ้นจริงทั้งปี (Realized Profit & Loss)
2. ผลกำไรที่เกิดขึ้นจริงรวมกับผลกำไรขาดทุนที่ยังมีในพอร์ตหุ้นที่ยังถืออยู่ (Realized & Unrealized Profit & Loss)
เพื่อให้เห็นภาพว่า การลงทุนหุ้นในปีนี้ มีผลขาดทุนเพิ่มขึ้นแฝงอยู่ในหุ้นที่ถือในมือมากน้อยเพียงใด?
และผลขาดทุนในวิกฤตินี้เปรียบเทียบกับช่วงวิกฤติซับไพร์ม เมื่อปี 2009 แตกต่างกันอย่างไร?

สำหรับพอร์ตรวมทั้งที่มีทั้งการออมหุ้นรรายเดือน DCA และที่ซื้อขายเอง ปรากฏว่า ....
ขาดทุน -2.16% เป็นยอดขาดทุนที่ได้ขายหุ้นออกไปจริง รวมกับการคัดลอสเพื่อปรับเปลี่ยนหุ้นในพอร์ตหุ้นบางตัว
ส่วนเงินปันผลที่ได้รับในปีนี้อยู่ที่ 4.62% หากรวมหุ้นในพอร์ตที่ยังถืออยู่จะขาดทุนเพิ่มเป็น - 18.84% (รวม -2.16% ด้วย) ซึ่งในผลขาดทุนนี้ (ได้รวมผลขาดทุนยกมาจากพอร์ตปีก่อนยกมารวมอยู่ด้วยประมาณ -8 % ) ดังนั้นเหลือขาดทุนในพอร์ตในปีนี่ที่เพิ่มขึ้นประมาณจากขาดทุนหุ้นในมือของปีก่อนอยู่ที่ 8% (ก็ไม่มากเท่าไร)
การลงทุนในหุ้นนั้น มีความเสี่ยง การเลือกลงทุนหุ้นมีทั้งกำไร และขาดทุน แน่นอนทุกคน สำหรับการลงทุนของผมในช่วง 16 ปีที่ผ่านมา ก็มีกำไรทั้งกำไรและขาดทุน แต่จากตัวเลขที่เก็บมาตลอดเป็นรายหุ้น รวมแล้วมีกำไรมากกว่าขาดทุน 4 เท่ากว่าๆ โดยมีกำไร 82.15% ขาดทุน -17.85%
การเลือกหุ้นบางครั้งก็คิดว่าเลือกดีแล้ว แต่อาจจะเข้าผิดจังหวะ หรือเลือกผิดตัว ศึกษาหุ้นนั้นๆไม่ดีเพียงพอ หรือบางครั้งเห็นโอกาสว่าหากเปลี่ยนตัวหุ้นเป็นตัวอื่น น่าจะให้ผลตอบแทนได้ดีกว่า เร็วกว่า ผมก็ยอมคัทลอสครับ (แต่ไม่บ่อย)
การยื้อไม่ยอมคัทลอส บางครั้งกลับมารู้ตัวก็ติดลบมากมายแล้ว เช่น Beauty ช่วงแรกๆที่ซื้อก็กำไร พอสมควร เป็นหุ้นเติบโตเร็ว ราคาปรับขึ้นเรื่อยๆ ดูมา 2-3 ปีแล้ว จึงค่อยๆซื้อลงทุน แต่เมื่อเกิดเรือล่มที่ภูเก็ต คนจีนตายเยอะ ทัวร์จีนไม่มา แถมผู้ถือหุ้นใหญ่มีขายบิกล็อต ก็ยังคิดว่าหุ้นยังลงชั่วคราว เดี๋ยวทุกอย่างก็ผ่านไปจะกลับมาที่ราคาเดิมได้??
แต่ปรากฎว่า น้องสวยค่อยๆไหลลงๆ ผมก็ยังม่ได้จัดการคัทลอสร สุดท้ายกำไรที่มีหายหมด และขาดทุน70-80% มากสุดในหุ้นที่เคยคัทลอส
จากบทเรียนบทนี้ (เคยเจอหลายคัวแล้วไม่จำ) ก็ต้องยอมปรับพอร์ตเมื้อเห็นว่าหุ้นติดลบมาก และไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นได้ในระยะเวลาอันสั้น ต้องรีบคัทลอสครับ ..ยิ่งช้า ยิ่งเจ็บ การคัทลอสเป็นสิ่งที่เกิดกับนักลงทุนทุกคน แม้เซียนๆก็คัทลอส หรือยอมขายขาดทุนเมื่อแนวโน้มหุ้นเปลี่ยนเหมือนกันครับ...
แต่ที่สำคัญ ต้องทำกำไรให้มากกว่าขาดทุนในแต่ละปีครับ
ซึ่งในปีนี้ ผมได้ปรับเปลี่ยนหุ้นในพอร์ตหลายตัว โดยยอมคัทลอสน้องสวยไปจากพอร์ต (beauty) ออกจากพอร์ตที่ขาดทุนมาหลายปี และปรับเปลี่ยนหุ้นในพอร์ตบางตัวโดยคัทลอส CPN ไปลงทุน CRC แทน เพราะราคา CRC ลดลงต่ำกว่าราคา IPO หลายสิบ% และมองว่าหลังจากโควิด 19 หายไป กิจการของ CRC น่าจะเติบโตได้ดีกว่าถือ CPN เพราะเป็นค้าปลีกหลากหลาย การเติบโตสามารถเติบโตได้ดีกว่า CPN (คิดผิดหรือถูกยังไม่แน่ใจ?)

หุ้นในพอร์ตรวมทุกพอร์ต รวมทั้งหุ้น DCA ด้วยมี 20 ตัว หลายตัวขาดทุนสองสามปี เพราะเน้นอยากได้หุ้นปันผล เช่นหุ้นกลุ่มน้ำมัน กลุ่มสถาบันการเงิน แต่ก็เริ่มมีการปรับตัวดีขึ้นมาได้ระดับหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่มสถาบันการเงิน น่าจะกลับมาได้ ส่วนกลุ่มน้ำมันคงต้องรอไปอีกเป็นปีๆ (ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เน้นลงทุนหุ้นปันผลมากขึ้น เลยติดกบดักหุ้นปันผลรอบนี้ ...ก็รับเงินปันผลต่อไป จนกว่าจะหลุดจากการขาดทุน)
สำหรับพอร์ตรวมที่ซื้อขายเองรวมพอร์ตออมหุ้นรายเดือน DCA มีทั้งสิ้น 20 ตัว โดยให้น้ำหนักการลงทุนใน 7 หุ้นหลัก คิดเป็นประม่ณ 75% ของพอร์ต
ส่วนหุ้นในพอร์ตออมรายเดือนมีหุ้น DCA 10 ตัว แต่เน้นลงทุนหลักๆแค่ 3 ตัว คิดเป็นประมาณ 54 % ของพอร์ตทั้งหมด
การออมหุ้นช่วง 11 เดือน ซึ่งเป็นช่วงวิกฤติไวรัสโควิด 19 ผมก็ได้เริ่มจัดพอร์ตการลงทุนออมหุ้นใหม่ เพราะพอร์ตก่อนหน้าได้ตัดสินใจขายทำกำไรไปก่อนที่หุ้นไทยจะตกหนัก เพราะที่ได้คิดขายล้างพอร์ตเพื่อนเริ่มการออมหุ้นชุดใหม่ โดยได้ตัดสินใจขายไปเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2563 มีกำไร 1,488,652.20 บาท ดังรายละเอียดตามภาพ (ตัดสินใจขายก่อนเจอวิกฤติโควิดครับ)
อีกเหตุผลหนึ่ง คืออยากเริ่มออมหุ้นใหม่ เพื่อเก็บรายละเอียดให้ชัดเจนทั้งกำไรจากการขายหุ้น และเงินปันผล (ที่ผ่านมาเก็บรวมๆ ไม่แยกพอร์ตการออมหุ้น) โดยตั้งเป้าการออมหุ้นรอบนี้ที่ 5 ปี เพื่อดูผลจะเป็นอย่างไร???
สำหรับช่วงนี้เกิดวิกฤติไวรัส โควิด 19 หลายคนก็ถอยห่าง กลัวซื้อแล้วลงต่ออีก...กลัวซื้อแพง? มองไม่เห็นอนาคตของหุ้นถ้าซื้อตอนนี้? กว่าตลาดหุ้นจะฟื้นอีกนาน?....???
แต่สำหรับผม ...ผมคิดว่าวิกฤติแบบนี้เป็นโอกาสที่เหมาะกับการออมหุ้นมากที่สุด... เพราะอะไร???
1. หุ้นในตลาดลงมามากเกินกว่าพื้นฐานปรกติ 30-40 % หลายๆตัวราคานี้หาซื้อไม่ได้ในช่วงปรกติ ราคากลับไปย้อนหลัง2-3 ปีก่อน?? หากทุกอย่างเริ่มดีขึ้น ราคาหุ้นจะต้องค่อยๆกลับมาอยู่ที่ราคาก่อนเกิดวิกฤติ??
หุ้นหลายๆตัวได้มีการขยายงาน ลงทุนเพิ่มแล้ว รอเก็บเกี่ยวผลกำไรด้วยซ้ำ แต่ราคากลับลดลง หรือได้เพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ขยายสาขา...??? รายได้กำลังจะเติบโต กำไรกำลังจะเพิ่มขึ้น??
จึงเป็นโอกาสดีที่จะออมหุ้นในช่วงที่หุ้นราคาถูกๆ และยิ่ง COVID ยืดเยื้อ เราก็สามารถออมหุ้นถูกๆ ดีๆ ได้นานมากขึ้น (ไม่ได้อยากให้โควิดอยู่นานๆนะครับ แต่มองว่า ออมหุ้นราคาถูกได้นาน ก็ได้หุ้นราคาถูกเพิ้ม สุดท้ายวิกฤตินี้ต้องจบอย่างแน่นอน คงไม่นานเกินรอ หุ้นที่เรา DCA ก็จะเริ่มกลับมาสร้างผลตอบแทนที่ดีให้เราได้ (ผมมองว่าวิกฤติเป็นโอกาสในการออมหุ้นครับ?)
2 . การออมหุ้นรายเดือน DCA เป้นการลงทุนระยะยาวอยู่แล้ว มิได้หวังผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นในช่วงสั้นๆ แค่ปี หรือ สองปี แต่ควรหวังผลตอบแทนในระยะยาว 5 ปีขึ้นไป วิกฤตินี้จึงมิได้ส่งผลกับผลตอบแทนในระยะยาวของเราแต่อย่างใด รอแค่ทุกอย่างกลับมาดำเนินกิจการได้ตามปรกติ หุ้นก็จะกลับมาเติบโตได้อย่างแน่นอน และอาจจะเติบโตแบบก้าวกระโดด้วยซ้ำ สำหรับบางธุรกิจ??? จึงเหมาะกับการออมหุ้นช่วงวิกฤติเป็นอย่างยิ่ง?? และหากฟื้นตัวช้า ก็ทำให้เรามีเวลาออมหุ้นถูกๆได้เพิ่มมากยิ่งขึ้น
3. สิ่งสำคัญคือต้องเลือกหุ้นที่จะออมให้ถูกตัว บางกิจการ อาจจะถดถอยลงไปเลย (ไม่ฟื้น หรือฟื้นช้า) แต่บางกิจการจะฟื้นกลับมาได้เร็ว แต่ต้องเลือกหุ้นที่มีพื้นฐานดี มั่นคง เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง มีการจ่ายเงินปันผลทุกปี รายได้ปรกติมีสม่ำเสมอ ไม่ผันผวนขึ้นๆลงๆ ตามภาวะเศรษฐกิจมากนัก
สำหรับการออมหุ้นช่วง 11 เดือนที่ผ่านมาของผม ก็มีทั้งช่วงพอร์ตรวมบางไตรมาสก็มีกำไร และขาดทุนคละกันไป โดยเฉพาะช่วงหุ้นตกลงมาทั้งตลาดนานหลายเดือน เพิ่งจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวขึ้นมาได้บ้างเมื่อเริ่มมีข่าวดีว่ามีวัคซีนป้องกันโควิดสำเร็จพร้อมออกใช้แล้ว ....หุ้นทุกตลาดก็เริ่มรีบาวด์กลับมาได้ หุ้นไทยก็เช่นเดียวกัน เริ่มปรับขึ้น น่าจะค่อยๆดีต่อเนื่องได้ในปี 2564 แต่เกิดมีคนติดโควิดที่สมุทรสาครอีกรอบ ...เริ่มระบาดหนักขึ้นๆ ทำให้หุ้นที่ท่าว่าจะค่อยๆฟื้น เริ่มปรับลดลงอีก แต่ก็ไม่มาก ทำให้หุ้นในพอร์ตที่ออมไว้ โดยเฉพาะหุ้นหลักๆ ยังไม่ฟื้นกลับมา ยังคงซึมๆ ไหลลงบ้าง เด้งกลับบ้าง แต่บางตัวที่เพิ่งเลือกออมเพิ่มเข้ามา GPSC GULF SAWAD กลับมีราคาที่ดีขึ้นกว่าหุ้นหลักๆที่เคยออม เช่น AOT CPALL BTS BEM หักกลบลบกันก็ขาดทุนนิดหน่อย แค่หลักพันบาท ก็ยังมองบวกอยู่ คีรอเวลาน่าจะกำไรได้แทบทุกตัว...
สำหรับพอร์ตหุ้น DCA
หุ้นที่ DCA ทุกวันที่ 5
หุ้นที่ DCA ทุกวันที่ 15

หุ้นที่ DCA ทุกวันที่ 25

สรุปการผลการออมหุ้นรอบ 11 เดือน
พอร์ต DCA วันที่ 8 มกราคม 2564 มีกำไรเพิ่มมากขึ้นเพราะหุ้นในพอร์ตราคาปรับขึ้น และพอร์ตวันที่ 5 ได้ซื้อเพิ่มอีกเมื่อ 5 มกราคม 2564
ถ้าอ่านแล้วชอบ ...อยากให้เพื่อนคนอื่นได้อ่านด้วย ...ช่วยกด " + " หน้ากระทู้ให้ด้วยนะครับ
เพื่อไม่ให้กระทู้ไหลลงไปเร็วจนเกินไป ท่านที่มาทีหลังจะได้มองเห็นกระทู้ครับ
ปีนี้กระทู้ในสินธร ไหลลงเร็วมาก เพราะมีผู้โพสคุยกันเยอะมากครับ


การออมหุ้มรายเดือน DCA 11 เดือนแรก รอบที่ 3 ... ในช่วงวิกฤติ โควิด 19 ผลเป็นอย่างไร????
ปีนี้ได้สรุปแยกผลการลงทุนประจำปีโดยคำนวณ กำไรขาดทุนเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งแบบ
1. ผลกำไรขาดทุนที่เกิดขึ้นจริงทั้งปี (Realized Profit & Loss)
2. ผลกำไรที่เกิดขึ้นจริงรวมกับผลกำไรขาดทุนที่ยังมีในพอร์ตหุ้นที่ยังถืออยู่ (Realized & Unrealized Profit & Loss)
เพื่อให้เห็นภาพว่า การลงทุนหุ้นในปีนี้ มีผลขาดทุนเพิ่มขึ้นแฝงอยู่ในหุ้นที่ถือในมือมากน้อยเพียงใด?
และผลขาดทุนในวิกฤตินี้เปรียบเทียบกับช่วงวิกฤติซับไพร์ม เมื่อปี 2009 แตกต่างกันอย่างไร?
สำหรับพอร์ตรวมทั้งที่มีทั้งการออมหุ้นรรายเดือน DCA และที่ซื้อขายเอง ปรากฏว่า ....
ขาดทุน -2.16% เป็นยอดขาดทุนที่ได้ขายหุ้นออกไปจริง รวมกับการคัดลอสเพื่อปรับเปลี่ยนหุ้นในพอร์ตหุ้นบางตัว
ส่วนเงินปันผลที่ได้รับในปีนี้อยู่ที่ 4.62% หากรวมหุ้นในพอร์ตที่ยังถืออยู่จะขาดทุนเพิ่มเป็น - 18.84% (รวม -2.16% ด้วย) ซึ่งในผลขาดทุนนี้ (ได้รวมผลขาดทุนยกมาจากพอร์ตปีก่อนยกมารวมอยู่ด้วยประมาณ -8 % ) ดังนั้นเหลือขาดทุนในพอร์ตในปีนี่ที่เพิ่มขึ้นประมาณจากขาดทุนหุ้นในมือของปีก่อนอยู่ที่ 8% (ก็ไม่มากเท่าไร)
การลงทุนในหุ้นนั้น มีความเสี่ยง การเลือกลงทุนหุ้นมีทั้งกำไร และขาดทุน แน่นอนทุกคน สำหรับการลงทุนของผมในช่วง 16 ปีที่ผ่านมา ก็มีกำไรทั้งกำไรและขาดทุน แต่จากตัวเลขที่เก็บมาตลอดเป็นรายหุ้น รวมแล้วมีกำไรมากกว่าขาดทุน 4 เท่ากว่าๆ โดยมีกำไร 82.15% ขาดทุน -17.85%
การเลือกหุ้นบางครั้งก็คิดว่าเลือกดีแล้ว แต่อาจจะเข้าผิดจังหวะ หรือเลือกผิดตัว ศึกษาหุ้นนั้นๆไม่ดีเพียงพอ หรือบางครั้งเห็นโอกาสว่าหากเปลี่ยนตัวหุ้นเป็นตัวอื่น น่าจะให้ผลตอบแทนได้ดีกว่า เร็วกว่า ผมก็ยอมคัทลอสครับ (แต่ไม่บ่อย)
การยื้อไม่ยอมคัทลอส บางครั้งกลับมารู้ตัวก็ติดลบมากมายแล้ว เช่น Beauty ช่วงแรกๆที่ซื้อก็กำไร พอสมควร เป็นหุ้นเติบโตเร็ว ราคาปรับขึ้นเรื่อยๆ ดูมา 2-3 ปีแล้ว จึงค่อยๆซื้อลงทุน แต่เมื่อเกิดเรือล่มที่ภูเก็ต คนจีนตายเยอะ ทัวร์จีนไม่มา แถมผู้ถือหุ้นใหญ่มีขายบิกล็อต ก็ยังคิดว่าหุ้นยังลงชั่วคราว เดี๋ยวทุกอย่างก็ผ่านไปจะกลับมาที่ราคาเดิมได้??
แต่ปรากฎว่า น้องสวยค่อยๆไหลลงๆ ผมก็ยังม่ได้จัดการคัทลอสร สุดท้ายกำไรที่มีหายหมด และขาดทุน70-80% มากสุดในหุ้นที่เคยคัทลอส
จากบทเรียนบทนี้ (เคยเจอหลายคัวแล้วไม่จำ) ก็ต้องยอมปรับพอร์ตเมื้อเห็นว่าหุ้นติดลบมาก และไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นได้ในระยะเวลาอันสั้น ต้องรีบคัทลอสครับ ..ยิ่งช้า ยิ่งเจ็บ การคัทลอสเป็นสิ่งที่เกิดกับนักลงทุนทุกคน แม้เซียนๆก็คัทลอส หรือยอมขายขาดทุนเมื่อแนวโน้มหุ้นเปลี่ยนเหมือนกันครับ...
แต่ที่สำคัญ ต้องทำกำไรให้มากกว่าขาดทุนในแต่ละปีครับ
ซึ่งในปีนี้ ผมได้ปรับเปลี่ยนหุ้นในพอร์ตหลายตัว โดยยอมคัทลอสน้องสวยไปจากพอร์ต (beauty) ออกจากพอร์ตที่ขาดทุนมาหลายปี และปรับเปลี่ยนหุ้นในพอร์ตบางตัวโดยคัทลอส CPN ไปลงทุน CRC แทน เพราะราคา CRC ลดลงต่ำกว่าราคา IPO หลายสิบ% และมองว่าหลังจากโควิด 19 หายไป กิจการของ CRC น่าจะเติบโตได้ดีกว่าถือ CPN เพราะเป็นค้าปลีกหลากหลาย การเติบโตสามารถเติบโตได้ดีกว่า CPN (คิดผิดหรือถูกยังไม่แน่ใจ?)
หุ้นในพอร์ตรวมทุกพอร์ต รวมทั้งหุ้น DCA ด้วยมี 20 ตัว หลายตัวขาดทุนสองสามปี เพราะเน้นอยากได้หุ้นปันผล เช่นหุ้นกลุ่มน้ำมัน กลุ่มสถาบันการเงิน แต่ก็เริ่มมีการปรับตัวดีขึ้นมาได้ระดับหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่มสถาบันการเงิน น่าจะกลับมาได้ ส่วนกลุ่มน้ำมันคงต้องรอไปอีกเป็นปีๆ (ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เน้นลงทุนหุ้นปันผลมากขึ้น เลยติดกบดักหุ้นปันผลรอบนี้ ...ก็รับเงินปันผลต่อไป จนกว่าจะหลุดจากการขาดทุน)
สำหรับพอร์ตรวมที่ซื้อขายเองรวมพอร์ตออมหุ้นรายเดือน DCA มีทั้งสิ้น 20 ตัว โดยให้น้ำหนักการลงทุนใน 7 หุ้นหลัก คิดเป็นประม่ณ 75% ของพอร์ต
ส่วนหุ้นในพอร์ตออมรายเดือนมีหุ้น DCA 10 ตัว แต่เน้นลงทุนหลักๆแค่ 3 ตัว คิดเป็นประมาณ 54 % ของพอร์ตทั้งหมด
การออมหุ้นช่วง 11 เดือน ซึ่งเป็นช่วงวิกฤติไวรัสโควิด 19 ผมก็ได้เริ่มจัดพอร์ตการลงทุนออมหุ้นใหม่ เพราะพอร์ตก่อนหน้าได้ตัดสินใจขายทำกำไรไปก่อนที่หุ้นไทยจะตกหนัก เพราะที่ได้คิดขายล้างพอร์ตเพื่อนเริ่มการออมหุ้นชุดใหม่ โดยได้ตัดสินใจขายไปเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2563 มีกำไร 1,488,652.20 บาท ดังรายละเอียดตามภาพ (ตัดสินใจขายก่อนเจอวิกฤติโควิดครับ)
อีกเหตุผลหนึ่ง คืออยากเริ่มออมหุ้นใหม่ เพื่อเก็บรายละเอียดให้ชัดเจนทั้งกำไรจากการขายหุ้น และเงินปันผล (ที่ผ่านมาเก็บรวมๆ ไม่แยกพอร์ตการออมหุ้น) โดยตั้งเป้าการออมหุ้นรอบนี้ที่ 5 ปี เพื่อดูผลจะเป็นอย่างไร???
สำหรับช่วงนี้เกิดวิกฤติไวรัส โควิด 19 หลายคนก็ถอยห่าง กลัวซื้อแล้วลงต่ออีก...กลัวซื้อแพง? มองไม่เห็นอนาคตของหุ้นถ้าซื้อตอนนี้? กว่าตลาดหุ้นจะฟื้นอีกนาน?....???
แต่สำหรับผม ...ผมคิดว่าวิกฤติแบบนี้เป็นโอกาสที่เหมาะกับการออมหุ้นมากที่สุด... เพราะอะไร???
1. หุ้นในตลาดลงมามากเกินกว่าพื้นฐานปรกติ 30-40 % หลายๆตัวราคานี้หาซื้อไม่ได้ในช่วงปรกติ ราคากลับไปย้อนหลัง2-3 ปีก่อน?? หากทุกอย่างเริ่มดีขึ้น ราคาหุ้นจะต้องค่อยๆกลับมาอยู่ที่ราคาก่อนเกิดวิกฤติ??
หุ้นหลายๆตัวได้มีการขยายงาน ลงทุนเพิ่มแล้ว รอเก็บเกี่ยวผลกำไรด้วยซ้ำ แต่ราคากลับลดลง หรือได้เพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ขยายสาขา...??? รายได้กำลังจะเติบโต กำไรกำลังจะเพิ่มขึ้น??
จึงเป็นโอกาสดีที่จะออมหุ้นในช่วงที่หุ้นราคาถูกๆ และยิ่ง COVID ยืดเยื้อ เราก็สามารถออมหุ้นถูกๆ ดีๆ ได้นานมากขึ้น (ไม่ได้อยากให้โควิดอยู่นานๆนะครับ แต่มองว่า ออมหุ้นราคาถูกได้นาน ก็ได้หุ้นราคาถูกเพิ้ม สุดท้ายวิกฤตินี้ต้องจบอย่างแน่นอน คงไม่นานเกินรอ หุ้นที่เรา DCA ก็จะเริ่มกลับมาสร้างผลตอบแทนที่ดีให้เราได้ (ผมมองว่าวิกฤติเป็นโอกาสในการออมหุ้นครับ?)
2 . การออมหุ้นรายเดือน DCA เป้นการลงทุนระยะยาวอยู่แล้ว มิได้หวังผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นในช่วงสั้นๆ แค่ปี หรือ สองปี แต่ควรหวังผลตอบแทนในระยะยาว 5 ปีขึ้นไป วิกฤตินี้จึงมิได้ส่งผลกับผลตอบแทนในระยะยาวของเราแต่อย่างใด รอแค่ทุกอย่างกลับมาดำเนินกิจการได้ตามปรกติ หุ้นก็จะกลับมาเติบโตได้อย่างแน่นอน และอาจจะเติบโตแบบก้าวกระโดด้วยซ้ำ สำหรับบางธุรกิจ??? จึงเหมาะกับการออมหุ้นช่วงวิกฤติเป็นอย่างยิ่ง?? และหากฟื้นตัวช้า ก็ทำให้เรามีเวลาออมหุ้นถูกๆได้เพิ่มมากยิ่งขึ้น
3. สิ่งสำคัญคือต้องเลือกหุ้นที่จะออมให้ถูกตัว บางกิจการ อาจจะถดถอยลงไปเลย (ไม่ฟื้น หรือฟื้นช้า) แต่บางกิจการจะฟื้นกลับมาได้เร็ว แต่ต้องเลือกหุ้นที่มีพื้นฐานดี มั่นคง เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง มีการจ่ายเงินปันผลทุกปี รายได้ปรกติมีสม่ำเสมอ ไม่ผันผวนขึ้นๆลงๆ ตามภาวะเศรษฐกิจมากนัก
สำหรับการออมหุ้นช่วง 11 เดือนที่ผ่านมาของผม ก็มีทั้งช่วงพอร์ตรวมบางไตรมาสก็มีกำไร และขาดทุนคละกันไป โดยเฉพาะช่วงหุ้นตกลงมาทั้งตลาดนานหลายเดือน เพิ่งจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวขึ้นมาได้บ้างเมื่อเริ่มมีข่าวดีว่ามีวัคซีนป้องกันโควิดสำเร็จพร้อมออกใช้แล้ว ....หุ้นทุกตลาดก็เริ่มรีบาวด์กลับมาได้ หุ้นไทยก็เช่นเดียวกัน เริ่มปรับขึ้น น่าจะค่อยๆดีต่อเนื่องได้ในปี 2564 แต่เกิดมีคนติดโควิดที่สมุทรสาครอีกรอบ ...เริ่มระบาดหนักขึ้นๆ ทำให้หุ้นที่ท่าว่าจะค่อยๆฟื้น เริ่มปรับลดลงอีก แต่ก็ไม่มาก ทำให้หุ้นในพอร์ตที่ออมไว้ โดยเฉพาะหุ้นหลักๆ ยังไม่ฟื้นกลับมา ยังคงซึมๆ ไหลลงบ้าง เด้งกลับบ้าง แต่บางตัวที่เพิ่งเลือกออมเพิ่มเข้ามา GPSC GULF SAWAD กลับมีราคาที่ดีขึ้นกว่าหุ้นหลักๆที่เคยออม เช่น AOT CPALL BTS BEM หักกลบลบกันก็ขาดทุนนิดหน่อย แค่หลักพันบาท ก็ยังมองบวกอยู่ คีรอเวลาน่าจะกำไรได้แทบทุกตัว...
สำหรับพอร์ตหุ้น DCA
หุ้นที่ DCA ทุกวันที่ 5
หุ้นที่ DCA ทุกวันที่ 15
หุ้นที่ DCA ทุกวันที่ 25
สรุปการผลการออมหุ้นรอบ 11 เดือน
พอร์ต DCA วันที่ 8 มกราคม 2564 มีกำไรเพิ่มมากขึ้นเพราะหุ้นในพอร์ตราคาปรับขึ้น และพอร์ตวันที่ 5 ได้ซื้อเพิ่มอีกเมื่อ 5 มกราคม 2564
ถ้าอ่านแล้วชอบ ...อยากให้เพื่อนคนอื่นได้อ่านด้วย ...ช่วยกด " + " หน้ากระทู้ให้ด้วยนะครับ
เพื่อไม่ให้กระทู้ไหลลงไปเร็วจนเกินไป ท่านที่มาทีหลังจะได้มองเห็นกระทู้ครับ
ปีนี้กระทู้ในสินธร ไหลลงเร็วมาก เพราะมีผู้โพสคุยกันเยอะมากครับ