ธนาธร ลงพื้นที่ชายขอบแปดริ้ว ย้ำเตือนวันเลือกตั้งมาถึงแล้วพรุ่งนี้
https://www.matichon.co.th/politics/news_2492193
ธนาธร ลงพื้นที่ชายขอบแปดริ้ว ย้ำเตือนวันเลือกตั้งมาถึงแล้วพรุ่งนี้
เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม นาย
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แกนนำคณะก้าวหน้า ได้เดินทางมาช่วยผู้สมัครรับเลือกตั้ง นายก อบจ.และ ส.อบจ.ฉะเชิงเทรา เดินหาเสียงช่วงโค้งสุดท้ายก่อนถึงวันเลือกตั้งอีกครั้ง ที่ อ.พนมสารคาม และ อ.สนามชัยเขต ด้วยการขึ้นรถขบวนแห่แบบ 6 ล้อ ลักษณะคล้ายเวทีการปราศรัยแบบเคลื่อนที่ จากบริเวณปากทางเข้าวัดท่าเกวียน ใน อ.พนมสารคาม
ก่อนที่จะแห่วนไปจนถึงสามแยกพวงทอง และลงเดินที่บริเวณตลาดสดชั่วระยะหนึ่ง จากนั้นได้แห่วนไปยังที่บริเวณตลาดศูนย์การค้าศิริพนม ไปยังตลาดเกาะขนุน ต่อเนื่องยาวไปจนถึงในตัวตลาดของ อ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา และเดินทางกลับไปช่วยผู้สมัครหาเสียงในพื้นที่ จ.สมุทรปราการต่อไป
ซึ่งบรรยากาศขณะที่นาย
ธนาธรลงเดินช่วยผู้สมัครหาเสียงที่บริเวณตลาดลดท่าเกวียน ใน อ.พนมสารคามนั้น ต่างมีบรรดาแม่ค้าให้ความสนใจ หยุดการทำการค้าขาย และชะเง้อมองดูด้วยความสนใจ ขณะบางรายได้นำดอกกุหลาบมามอบให้จำนวน 1 กำมือ บางรายเข้ามาขอถ่ายภาพคู่ บางรายโบกมือให้ นอกจากนี้ขณะที่ขบวนรถปราศรัยขับผ่านหน้าปากซอยกลางตลาดได้มีกลุ่มของผู้สมัคร ส.อบจ.คนดัง ซึ่งเป็นผู้กว้างขวางในพื้นที่ คือ นาย
พีระ ตั้งชูทวีทรัพย์ หรือ
กำนันเป้ง อดีต ส.อบจ. ทีมผู้สมัครหมายเลข 1 เขต 2 พนมสารคาม จากกลุ่มแปดริ้วโฉมใหม่ ของนายกิตติ เป้าเปี่ยมทรัพย์ อดีตนายก อบจ. 3 สมัย เดินหาเสียงออกมาจากปากซอยกลางตลาดพอดี นาย
ธนาธรจึงได้ร้องทักว่า “
สวัสดีครับเบอร์ 1 ช่วยกันหาเสียงรณรงค์ให้พี่น้องไปใช้สิทธิเลือกตั้งกันเยอะๆ นะครับ สวัสดีครับ ขอให้มาช่วยกันเชิญชวนประชาชนให้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งกันนะครับ”
จากนั้น นาย
พีระจึงได้เดินไปขอจับมือกับนายธนาธร ซึ่งมีจ่าเอก
ยศสิงห์ เหลี่ยมเลิศ ผู้สมัครนายก อบจ. หมายเลข 2 กลุ่มฉะเชิงเทราก้าวหน้ายืนอยู่เคียงข้าง ก่อนแยกย้ายพากันเดินไปหาเสียง แบบต่างคนต่างไป โดยที่นาย
ธนาธรได้ร้องป่าวประกาศบอกประชาชนผ่านทางเครื่องขยายเสียงอยู่ตลอดเส้นทางว่า “
พรุ่งนี้แล้ว ขอโอกาส เราจะตั้งใจทำ เชิญชวนกันอีกครั้ง เชิญชวนกันอีกครั้ง ให้ไปใช้สิทธิใช้เสียงกันครับ”
นาย
ธนาธรกล่าวขณะลงเดินต่อประชาชนว่า “
ขอความสนับสนุนโค้งสุดท้ายแล้วจริงๆ ให้ความสำคัญกับฉะเชิงเทรามาก เช้าวันหาเสียงวันสุดท้ายขอโอกาสพวกเรา 20 ธ.ค.นี้ เรามาถึงที่นี่กันเลย มากำหนดอนาคต จ.ฉะเชิงเทรา โดย ‘ยศสิงห์’ พร้อมที่จะนำ จ.ฉะเชิงเทรา พร้อมที่จะขับเคลื่อน จ.ฉะเชิงเทรา พรุ่งนี้เป็นการเลือกตั้งนายก อบจ.และ ส.อบจ.ในรอบ 8 ปีกว่าเป็นครั้งแรก”
ซึ่งการเดินทางมาที่ อ.พนมสารคาม ของนายธนาธรในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งที่ 3 แล้ว และเป็นครั้งที่ 4 สำหรับการเข้ามาเดินช่วยผู้สมัครหาเสียงในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา โดยได้มีการลงไปเดินยังในเขตพื้นที่ อ.เมือง และที่ อ.บางปะกง 1 ครั้ง
ข้าราชการปลดแอก ตั้งคำถาม ‘ผู้ว่าฯ’ มีไว้ทำไม? ถกปมกระจายอำนาจก่อนเลือกตั้งท้องถิ่น
https://www.matichon.co.th/social/news_2492210
เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม หลังจากที่ หลายอาชีพได้ออกมาเล่าเรื่องราวการทำงานของแต่ละอาชีพ ไม่ว่าจะเป็น นักศึกษาแพทย์ หรือ ครู ถึงความยากลำบากในการทำอาชีพนั้นๆ และเรื่องจริงที่หลายคนอาจไม่รู้
ล่าสุด เฟซบุ๊ก
ข้าราชการปลดแอก และทวิตเตอร์
ข้าราชการปลดแอก ได้ออกมาโพสต์ถึงประเด็นผู้ว่าราชการจังหวัด ว่า ตำแหน่งนี้มีไว้ทำไม โดยว่า
“ผู้ว่าราชการจังหวัด มีไว้ทำไม?
มันเป็นความใฝ่ฝันของใครบางคน โดยเฉพาะเหล่า “สิงห์ดำ” “สิงห์แดง” และ “สิงห์ทอง” ที่สักวันจะได้เป็นเจ้าเมืองของจังหวัดสักจังหวัด ประเทศไทยมี 76 จังหวัด ใหญ่บ้างเล็กบ้าง และมีเอกลักษณ์แตกต่างกันไป บางจังหวัดเป็นที่หมายปอง แต่บางจังหวัดก็มีไว้ดองคนบางคน อย่างไรก็ตาม หากสักวันหนึ่งข้าราชการมหาดไทยได้ไปเป็นผู้ว่าฯ สักจังหวัดหนึ่ง ชีวิตนี้ก็อาจจะคุ้มค่าแล้ว
.
ผู้ว่าฯ มีตำแหน่งเทียบเท่าอธิบดี หรือ ซี 10 เป็นหัวหน้าของส่วนราชการภูมิภาคในจังหวัด โดยมีอำนาจหน้าที่หลักๆ เป็นคนถ่ายทอดนโยบายของส่วนกลางและควบคุมดูแลส่วนท้องถิ่นในจังหวัด
.
ผู้ว่าฯ มีฐานเงินเดือนอยู่ที่ราว 7 หมื่นบาท (นายก อบจ. ฐานเงินเดือนต่ำกว่าเล็กน้อยที่ราว 5 หมื่นบาท) ไม่นับเงินเพิ่ม และรายได้พิเศษต่างๆ ทุกตำแหน่งของส่วนภูมิภาคล้วนมีค่าตอบแทนลักษณะนี้ลดหลั่นกันลงไป
.
คำถามว่า “ผู้ว่าฯ มีไว้ทำไม” เป็นคำถามเดียวกันกับ “ส่วนภูมิภาคมีไว้ทำไม” ซึ่งเราคงต้องแยกย่อยข้อดี-ช้อเสีย ของระบบราชการส่วนภูมิภาคที่มาจากการแบ่งอำนาจ (Deconcentration) กับระบบราชการส่วนท้องถิ่นที่เกิดจากการกระจายอำนาจ (Decentralization)
.
จากหนังสือสังคมระดับมัธยมฯ และสถาบันพระปกเกล้า ข้อดีของการแบ่งอำนาจ คือ
1) เกิดประสิทธิภาพในการปกครอง
2) นำนโยบายส่วนกลางไปปฏิบัติโดยตรง
3) ตัดสินใจรวดเร็วขึ้น เพราะไม่ต้องรอส่วนกลาง
4) ผู้ตัดสินใจอยู่ในพื้นที่ ใกล้ชิดกับปัญหา
5) มีการประสานงานของส่วนราชการในระดับภูมิภาค
ขณะที่ข้อเสีย ประกอบด้วย
1) ตัดสินใจบางเรื่องไม่ได้ เพราะเป็นอำนาจของส่วนกลาง
2) ผู้ว่าฯ มาจากส่วนกลาง แม้อยู่ในพื้นที่แต่อาจไม่เข้าใจปัญหา
3) ไม่ส่งเสริมการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
.
สำหรับการกระจายอำนาจ ข้อดี คือ
1) เกิดประสิทธิภาพในการปกครอง
2) ตัดสินใจรวดเร็วขึ้น เพราะไม่ต้องรอส่วนกลางกับส่วนภูมิภาค
3) ผู้ตัดสินใจอยู่ในพื้นที่ ใกล้ชิดกับปัญหามากกว่าส่วนกลางและส่วนภูมิภาค
4) มีการประสานงานของส่วนราชการในระดับท้องถิ่น
ขณะที่ ข้อเสีย ประกอบด้วย
1) นำไปสู่ความไร้เอกภาพทางการเมือง
2) นำไปสู่ความไร้เสถียรภาพทางการคลัง
3) ยิ่งกระจายอำนาจมาก ยิ่งเกิดความไม่เท่าเทียม
4) เกิดสภาวะต่างคนต่างทำ ใช้ทรัพยากรในประเทศอย่างไร้ประสิทธิภาพ
.
เห็นได้ว่าข้อดีของการแบ่งอำนาจและกระจายอำนาจนั้นแทบจะเหมือนกัน ขณะที่ข้อเสียของการแบ่งอำนาจไม่ใช่ข้อเสียของการกระจายอำนาจและสามารถแก้ไขได้ด้วยการกระจายอำนาจที่มากขึ้น นอกจากนี้ข้อเสียของการกระจายอำนาจเป็นเพียงวาทกรรมและไม่เคยเกิดขึ้นจริง โดยผลที่เกิดขึ้นอาจเป็นตรงกันข้าม เช่น ทำให้การเมืองระดับชาติเข้มแข็งขึ้น ปลดปล่อยศักยภาพที่แท้จริงของการคลังท้องถิ่น ยิ่งกระจายอำนาจมาก ยิ่งลดความเหลื่อมล้ำ เกิดความเท่าเทียมทางสังคมในมิติต่างๆ และเป็นการใช้ทรัพยากรโดยรวมของประเทศอย่างเกิดประโยชน์สูงสุด
.
จะถกเถียงว่าเขียนเอาดีเข้าตัวก็ย่อมได้ มาคุยกันค่ะ
.
ปกติแล้วผู้ว่าฯ รวมถึงรองผู้ว่าฯ จะเวียนจังหวัด รวมถึงเข้ามาส่วนกลางอยู่เรื่อยๆ จึงเกิดความไม่ต่อเนื่องในการปฏิบัติงานที่ต้องใช้เวลาดำเนินการ รวมถึงความเข้าใจในพื้นที่นั้นๆ ซึ่งคนที่เกิดและโตในพื้นที่นั้นก็ใช่ว่าจะเข้าใจได้แจ่มแจ้ง
.
ผู้ว่าฯ หลายคนต้องนั่งในคณะกรรมการทั้งระดับชาติและระดับจังหวัดจำนวนมาก ซึ่งงอกเงยเพิ่มพูนตั้งแต่ คสช. ยึดอำนาจจากประชาชนเมื่อปี 57 ทำให้การจัดสรรเวลาและเรียนรู้ลักษณะเฉพาะของจังหวัดทำได้ยาก แต่ คสช. และรัฐบาลประยุทธ์กลับทำให้ส่วนภูมิภาคสยายอำนาจและสามารถให้คุณให้โทษส่วนท้องถิ่นได้ อาทิ ผู้ว่าฯ มีอำนาจพิจารณาคุณสมบัติของ นายก อบจ. และมีความเห็นเป็นที่สุดในหลายกระบวนการ ไม่นับรวมการแช่แข็งการเลือกตั้งท้องถิ่นตลอดหลายปีมานี้
.
สรุปแล้ว การแบ่งอำนาจคือการให้อำนาจบางส่วนแต่ไม่ให้อิสรภาพ ส่วนการกระจายอำนาจคือการให้ทั้งอำนาจและอิสรภาพ การมีอยู่ของผู้ว่าฯ คือการใช้อำนาจของส่วนกลางผ่านภูมิภาคต่อส่วนท้องถิ่นและจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน ทีนี้เราก็น่าจะได้คำตอบสำหรับคำถามว่า “ผู้ว่าฯ มีไว้ทำไม” และพึงระลึกอยู่เสมอในห้วงเวลาของการเลือกตั้งนายก อบจ. กับ ส. อบจ. ในครั้งนี้”
JJNY : ธนาธรลงพื้นที่ชายขอบแปดริ้ว/ขรก.ปลดแอกถาม‘ผู้ว่าฯ’มีไว้ทำไม/คุณหญิงหน่อยหาเสียงช่วยเฉลิมขวัญ/ก.ก.เล็งซักฟอก
https://www.matichon.co.th/politics/news_2492193
ธนาธร ลงพื้นที่ชายขอบแปดริ้ว ย้ำเตือนวันเลือกตั้งมาถึงแล้วพรุ่งนี้
เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แกนนำคณะก้าวหน้า ได้เดินทางมาช่วยผู้สมัครรับเลือกตั้ง นายก อบจ.และ ส.อบจ.ฉะเชิงเทรา เดินหาเสียงช่วงโค้งสุดท้ายก่อนถึงวันเลือกตั้งอีกครั้ง ที่ อ.พนมสารคาม และ อ.สนามชัยเขต ด้วยการขึ้นรถขบวนแห่แบบ 6 ล้อ ลักษณะคล้ายเวทีการปราศรัยแบบเคลื่อนที่ จากบริเวณปากทางเข้าวัดท่าเกวียน ใน อ.พนมสารคาม
ก่อนที่จะแห่วนไปจนถึงสามแยกพวงทอง และลงเดินที่บริเวณตลาดสดชั่วระยะหนึ่ง จากนั้นได้แห่วนไปยังที่บริเวณตลาดศูนย์การค้าศิริพนม ไปยังตลาดเกาะขนุน ต่อเนื่องยาวไปจนถึงในตัวตลาดของ อ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา และเดินทางกลับไปช่วยผู้สมัครหาเสียงในพื้นที่ จ.สมุทรปราการต่อไป
ซึ่งบรรยากาศขณะที่นายธนาธรลงเดินช่วยผู้สมัครหาเสียงที่บริเวณตลาดลดท่าเกวียน ใน อ.พนมสารคามนั้น ต่างมีบรรดาแม่ค้าให้ความสนใจ หยุดการทำการค้าขาย และชะเง้อมองดูด้วยความสนใจ ขณะบางรายได้นำดอกกุหลาบมามอบให้จำนวน 1 กำมือ บางรายเข้ามาขอถ่ายภาพคู่ บางรายโบกมือให้ นอกจากนี้ขณะที่ขบวนรถปราศรัยขับผ่านหน้าปากซอยกลางตลาดได้มีกลุ่มของผู้สมัคร ส.อบจ.คนดัง ซึ่งเป็นผู้กว้างขวางในพื้นที่ คือ นายพีระ ตั้งชูทวีทรัพย์ หรือกำนันเป้ง อดีต ส.อบจ. ทีมผู้สมัครหมายเลข 1 เขต 2 พนมสารคาม จากกลุ่มแปดริ้วโฉมใหม่ ของนายกิตติ เป้าเปี่ยมทรัพย์ อดีตนายก อบจ. 3 สมัย เดินหาเสียงออกมาจากปากซอยกลางตลาดพอดี นายธนาธรจึงได้ร้องทักว่า “สวัสดีครับเบอร์ 1 ช่วยกันหาเสียงรณรงค์ให้พี่น้องไปใช้สิทธิเลือกตั้งกันเยอะๆ นะครับ สวัสดีครับ ขอให้มาช่วยกันเชิญชวนประชาชนให้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งกันนะครับ”
จากนั้น นายพีระจึงได้เดินไปขอจับมือกับนายธนาธร ซึ่งมีจ่าเอกยศสิงห์ เหลี่ยมเลิศ ผู้สมัครนายก อบจ. หมายเลข 2 กลุ่มฉะเชิงเทราก้าวหน้ายืนอยู่เคียงข้าง ก่อนแยกย้ายพากันเดินไปหาเสียง แบบต่างคนต่างไป โดยที่นายธนาธรได้ร้องป่าวประกาศบอกประชาชนผ่านทางเครื่องขยายเสียงอยู่ตลอดเส้นทางว่า “พรุ่งนี้แล้ว ขอโอกาส เราจะตั้งใจทำ เชิญชวนกันอีกครั้ง เชิญชวนกันอีกครั้ง ให้ไปใช้สิทธิใช้เสียงกันครับ”
นายธนาธรกล่าวขณะลงเดินต่อประชาชนว่า “ขอความสนับสนุนโค้งสุดท้ายแล้วจริงๆ ให้ความสำคัญกับฉะเชิงเทรามาก เช้าวันหาเสียงวันสุดท้ายขอโอกาสพวกเรา 20 ธ.ค.นี้ เรามาถึงที่นี่กันเลย มากำหนดอนาคต จ.ฉะเชิงเทรา โดย ‘ยศสิงห์’ พร้อมที่จะนำ จ.ฉะเชิงเทรา พร้อมที่จะขับเคลื่อน จ.ฉะเชิงเทรา พรุ่งนี้เป็นการเลือกตั้งนายก อบจ.และ ส.อบจ.ในรอบ 8 ปีกว่าเป็นครั้งแรก”
ซึ่งการเดินทางมาที่ อ.พนมสารคาม ของนายธนาธรในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งที่ 3 แล้ว และเป็นครั้งที่ 4 สำหรับการเข้ามาเดินช่วยผู้สมัครหาเสียงในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา โดยได้มีการลงไปเดินยังในเขตพื้นที่ อ.เมือง และที่ อ.บางปะกง 1 ครั้ง
ข้าราชการปลดแอก ตั้งคำถาม ‘ผู้ว่าฯ’ มีไว้ทำไม? ถกปมกระจายอำนาจก่อนเลือกตั้งท้องถิ่น
https://www.matichon.co.th/social/news_2492210
เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม หลังจากที่ หลายอาชีพได้ออกมาเล่าเรื่องราวการทำงานของแต่ละอาชีพ ไม่ว่าจะเป็น นักศึกษาแพทย์ หรือ ครู ถึงความยากลำบากในการทำอาชีพนั้นๆ และเรื่องจริงที่หลายคนอาจไม่รู้
ล่าสุด เฟซบุ๊ก ข้าราชการปลดแอก และทวิตเตอร์ ข้าราชการปลดแอก ได้ออกมาโพสต์ถึงประเด็นผู้ว่าราชการจังหวัด ว่า ตำแหน่งนี้มีไว้ทำไม โดยว่า
“ผู้ว่าราชการจังหวัด มีไว้ทำไม?
มันเป็นความใฝ่ฝันของใครบางคน โดยเฉพาะเหล่า “สิงห์ดำ” “สิงห์แดง” และ “สิงห์ทอง” ที่สักวันจะได้เป็นเจ้าเมืองของจังหวัดสักจังหวัด ประเทศไทยมี 76 จังหวัด ใหญ่บ้างเล็กบ้าง และมีเอกลักษณ์แตกต่างกันไป บางจังหวัดเป็นที่หมายปอง แต่บางจังหวัดก็มีไว้ดองคนบางคน อย่างไรก็ตาม หากสักวันหนึ่งข้าราชการมหาดไทยได้ไปเป็นผู้ว่าฯ สักจังหวัดหนึ่ง ชีวิตนี้ก็อาจจะคุ้มค่าแล้ว
.
ผู้ว่าฯ มีตำแหน่งเทียบเท่าอธิบดี หรือ ซี 10 เป็นหัวหน้าของส่วนราชการภูมิภาคในจังหวัด โดยมีอำนาจหน้าที่หลักๆ เป็นคนถ่ายทอดนโยบายของส่วนกลางและควบคุมดูแลส่วนท้องถิ่นในจังหวัด
.
ผู้ว่าฯ มีฐานเงินเดือนอยู่ที่ราว 7 หมื่นบาท (นายก อบจ. ฐานเงินเดือนต่ำกว่าเล็กน้อยที่ราว 5 หมื่นบาท) ไม่นับเงินเพิ่ม และรายได้พิเศษต่างๆ ทุกตำแหน่งของส่วนภูมิภาคล้วนมีค่าตอบแทนลักษณะนี้ลดหลั่นกันลงไป
.
คำถามว่า “ผู้ว่าฯ มีไว้ทำไม” เป็นคำถามเดียวกันกับ “ส่วนภูมิภาคมีไว้ทำไม” ซึ่งเราคงต้องแยกย่อยข้อดี-ช้อเสีย ของระบบราชการส่วนภูมิภาคที่มาจากการแบ่งอำนาจ (Deconcentration) กับระบบราชการส่วนท้องถิ่นที่เกิดจากการกระจายอำนาจ (Decentralization)
.
จากหนังสือสังคมระดับมัธยมฯ และสถาบันพระปกเกล้า ข้อดีของการแบ่งอำนาจ คือ
1) เกิดประสิทธิภาพในการปกครอง
2) นำนโยบายส่วนกลางไปปฏิบัติโดยตรง
3) ตัดสินใจรวดเร็วขึ้น เพราะไม่ต้องรอส่วนกลาง
4) ผู้ตัดสินใจอยู่ในพื้นที่ ใกล้ชิดกับปัญหา
5) มีการประสานงานของส่วนราชการในระดับภูมิภาค
ขณะที่ข้อเสีย ประกอบด้วย
1) ตัดสินใจบางเรื่องไม่ได้ เพราะเป็นอำนาจของส่วนกลาง
2) ผู้ว่าฯ มาจากส่วนกลาง แม้อยู่ในพื้นที่แต่อาจไม่เข้าใจปัญหา
3) ไม่ส่งเสริมการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
.
สำหรับการกระจายอำนาจ ข้อดี คือ
1) เกิดประสิทธิภาพในการปกครอง
2) ตัดสินใจรวดเร็วขึ้น เพราะไม่ต้องรอส่วนกลางกับส่วนภูมิภาค
3) ผู้ตัดสินใจอยู่ในพื้นที่ ใกล้ชิดกับปัญหามากกว่าส่วนกลางและส่วนภูมิภาค
4) มีการประสานงานของส่วนราชการในระดับท้องถิ่น
ขณะที่ ข้อเสีย ประกอบด้วย
1) นำไปสู่ความไร้เอกภาพทางการเมือง
2) นำไปสู่ความไร้เสถียรภาพทางการคลัง
3) ยิ่งกระจายอำนาจมาก ยิ่งเกิดความไม่เท่าเทียม
4) เกิดสภาวะต่างคนต่างทำ ใช้ทรัพยากรในประเทศอย่างไร้ประสิทธิภาพ
.
เห็นได้ว่าข้อดีของการแบ่งอำนาจและกระจายอำนาจนั้นแทบจะเหมือนกัน ขณะที่ข้อเสียของการแบ่งอำนาจไม่ใช่ข้อเสียของการกระจายอำนาจและสามารถแก้ไขได้ด้วยการกระจายอำนาจที่มากขึ้น นอกจากนี้ข้อเสียของการกระจายอำนาจเป็นเพียงวาทกรรมและไม่เคยเกิดขึ้นจริง โดยผลที่เกิดขึ้นอาจเป็นตรงกันข้าม เช่น ทำให้การเมืองระดับชาติเข้มแข็งขึ้น ปลดปล่อยศักยภาพที่แท้จริงของการคลังท้องถิ่น ยิ่งกระจายอำนาจมาก ยิ่งลดความเหลื่อมล้ำ เกิดความเท่าเทียมทางสังคมในมิติต่างๆ และเป็นการใช้ทรัพยากรโดยรวมของประเทศอย่างเกิดประโยชน์สูงสุด
.
จะถกเถียงว่าเขียนเอาดีเข้าตัวก็ย่อมได้ มาคุยกันค่ะ
.
ปกติแล้วผู้ว่าฯ รวมถึงรองผู้ว่าฯ จะเวียนจังหวัด รวมถึงเข้ามาส่วนกลางอยู่เรื่อยๆ จึงเกิดความไม่ต่อเนื่องในการปฏิบัติงานที่ต้องใช้เวลาดำเนินการ รวมถึงความเข้าใจในพื้นที่นั้นๆ ซึ่งคนที่เกิดและโตในพื้นที่นั้นก็ใช่ว่าจะเข้าใจได้แจ่มแจ้ง
.
ผู้ว่าฯ หลายคนต้องนั่งในคณะกรรมการทั้งระดับชาติและระดับจังหวัดจำนวนมาก ซึ่งงอกเงยเพิ่มพูนตั้งแต่ คสช. ยึดอำนาจจากประชาชนเมื่อปี 57 ทำให้การจัดสรรเวลาและเรียนรู้ลักษณะเฉพาะของจังหวัดทำได้ยาก แต่ คสช. และรัฐบาลประยุทธ์กลับทำให้ส่วนภูมิภาคสยายอำนาจและสามารถให้คุณให้โทษส่วนท้องถิ่นได้ อาทิ ผู้ว่าฯ มีอำนาจพิจารณาคุณสมบัติของ นายก อบจ. และมีความเห็นเป็นที่สุดในหลายกระบวนการ ไม่นับรวมการแช่แข็งการเลือกตั้งท้องถิ่นตลอดหลายปีมานี้
.
สรุปแล้ว การแบ่งอำนาจคือการให้อำนาจบางส่วนแต่ไม่ให้อิสรภาพ ส่วนการกระจายอำนาจคือการให้ทั้งอำนาจและอิสรภาพ การมีอยู่ของผู้ว่าฯ คือการใช้อำนาจของส่วนกลางผ่านภูมิภาคต่อส่วนท้องถิ่นและจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน ทีนี้เราก็น่าจะได้คำตอบสำหรับคำถามว่า “ผู้ว่าฯ มีไว้ทำไม” และพึงระลึกอยู่เสมอในห้วงเวลาของการเลือกตั้งนายก อบจ. กับ ส. อบจ. ในครั้งนี้”