สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 51
อ่านมาทั้งหมดแล้วรู้สึกว่าคำพูดของคนมันน่ากลัวจริงๆ
เจ้าของกระทู้เริ่มต้นว่า "...อึดอัดใจมาก จะต้องทำอย่างไรเมื่อมีญาติมาอาศัยที่บ้านอย่างไม่มีกำหนด..."
แต่ความจริงคือว่า เจ้าของกระทู้เองก็เป็นผู้อาศัย ไม่ได้เป็นเจ้าของบ้านแต่อย่างใด และเพิ่งแต่งงานย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านพ่อแม่ของภรรยา ก่อนหน้าลุงเพียงครึ่งปีเท่านั้นเอง
เจ้าของกระทู้เล่าต่อว่า "...ประมาณเดือนกรกฎาคม ลุงซึ่งเป็นพี่ชายพ่อตาได้เดินทางมาขออาศัยอยู่ด้วยโดยไม่ได้ขออนุญาตหรือบอกล่วงหน้า ซึ่งพ่อตาเดิมก็เป็นคนที่รักพี่น้องอยู่แล้วก็ไม่ได้ว่าอะไร หลังจากลุงเข้ามาอยู่ได้ไม่นานก็ล้มป่วยลง หมอแจ้งว่าเป็นโรคหัวใจต้อง
นอนโรงพยาบาลอยู่พักใหญ่ โดยระหว่างนั้นก็เป็นพ่อตาและแม่ยายที่ต้องไปเยี่ยมอาการทุกวันหลังจากทำงานเสร็จ ..."
อ่านตรงที่ขีดเส้นใต้คือ เจ้าของบ้านตัวจริง เขาไม่ได้ว่าอะไร
หลังจากญาติออกจากโรงพยาบาล " หลังจากที่ลุงออกจากโรงพยาบาลกลับมาอยู่บ้าน แม่ยายก็จะมีหน้าที่คอยดูแลเรื่องของอาหารการกินต่างๆ โดยจะเตรียมอาหารให้และ
คอยดูแลจนกว่าลุงจะทานข้าวทานยาเรียบร้อย ส่วนพ่อตาหลังจากทำงานเสร็จก็จะใช้เวลาส่วนใหญ่ดูแลสอบถามอาการต่างๆ ของลุง..."
เจ้าของบ้านทั้งสองคนก็ไม่ได้แสดงอาการอึดอัดอะไร
ตรงนี้ยิ่งแปลกประหลาดมาก " ...ผมกับแฟนซึ่งอยู่ในฐานะลูกที่พ่อแม่ทำงานหนักทุกวัน
และจะมีเวลาให้เฉพาะตอนเย็นหลังจากเลิกงานแล้วเท่านั้น หวังเพียงจะได้ใช้เวลาร่วมกันกับพ่อแม่ ได้กินข้าวร่วมกันอย่างมีความสุข
คุยกัน ปรึกษากัน เวลาเหล่านั้นกลับถูกลุงแย่งไปจนหมด ..."
เดี๋ยวนะ คนทำงานหนักคือพ่อแม่ ตัวเจ้าของกระทู้กับแฟนคือทำอะไร?? แล้วยังบอกว่า เวลาที่จะใช้กับพ่อแม่ ถูกลุงแย่งไปหมด เจ้าของกระทู้กับแฟนแต่งงานกันแล้ว บรรลุนิติภาวะด้วยกันทั้งคู่ แต่ทำตัวเหมือนเด็ก 3 ขวบ โดนแย่งพ่อแม่ แปลกประหลาดมาก
คุณเจ้าของกระทู้บอกต่อว่า "...และพยายามบอกให้พ่อตาและแม่ยายรับรู้ถึงความรู้สึกที่เราสองคนมี
แต่ที่ผ่านมา ไม่ว่าเราจะพยายามสื่อสารกี่ครั้ง สิ่งที่กลับมาคือการวางเฉย ทำเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น พ่อตายังคงพยายามทำเหมือน
ทุกคนมีความสุขดี และหลีกเลี่ยงที่จะพูดเรื่องนี้ ไม่ว่าเราจะพยายามหยิบยกขึ้นมากี่ครั้งก็ตาม ก็จะได้รับความเงียบตอบกลับมา..."
ข้อเท็จจริงคือ เจ้าของบ้านตัวจริง คือทั้งพ่อตาและแม่ยาย เขาไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไร หรือเขาไม่ได้คิดว่ามันคือปัญหา หลายต่อหลายครั้งที่พวกคุณพยายาม ผลที่ได้คือเหมือนเดิม พวกคุณยังไม่รู้ตัวอีก
คุณสองคนเป็นคนประหลาดในครอบครัว เพราะครอบครัวเขาเป็นผู้ให้ เขารักที่จะดูแลญาติพี่น้อง เขาไม่คิดว่ามันเป็นปัญหา ตัวพวกคุณควรกลับไปมองตัวเองนะ ขนาดที่ว่า โดนแย่งความรักไปนี่คับแค้นจนไม่สามารถแยกบ้านมาปลูกในบริเวณเดียวกันได้เลย อาการหนักมากจริงๆ
เจ้าของบ้านตัวจริง เขาไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยกับคนอาศัยซึ่งก็คือตัวคุณ และตัวลุงของภรรยา
คุณเขียนมายืดยาวมาก มองปัญหาจากมุมของตัวเอง ข้อเท็จจริงมีอยู่ไม่มาก คือ
1. คุณกับภรรยาคือผู้อาศัย ไม่ใช่เจ้าของบ้าน มีฐานะเทียบเท่ากับลุง
2. เจ้าของบ้านไม่ได้อึดอัดอะไร เจ้าของบ้านไม่ได้คิดว่ามันเป็นปัญหา เจ้าของบ้านรู้จักการให้ รู้จักการดูแลญาติพี่น้อง
3. ตัวคุณกับภรรยาบรรลุนิติภาวะแล้ว แทนที่จะตั้งทำงาน สนใจเรื่องงานกับเรื่องของตัวเอง กลับทำตัวเหมือนเด็ก มาเรียกร้องความสนใจ พอไม่ได้อย่างที่ต้องการ ก็กระฟัดกระเฟียด อยากจะแยกไปอยู่ที่อื่น
ต่อให้เขียนยาว เขียนให้ดูดีแค่ไหน ข้อเท็จจริงมันก็มีแค่นี้
เจ้าของกระทู้เริ่มต้นว่า "...อึดอัดใจมาก จะต้องทำอย่างไรเมื่อมีญาติมาอาศัยที่บ้านอย่างไม่มีกำหนด..."
แต่ความจริงคือว่า เจ้าของกระทู้เองก็เป็นผู้อาศัย ไม่ได้เป็นเจ้าของบ้านแต่อย่างใด และเพิ่งแต่งงานย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านพ่อแม่ของภรรยา ก่อนหน้าลุงเพียงครึ่งปีเท่านั้นเอง
เจ้าของกระทู้เล่าต่อว่า "...ประมาณเดือนกรกฎาคม ลุงซึ่งเป็นพี่ชายพ่อตาได้เดินทางมาขออาศัยอยู่ด้วยโดยไม่ได้ขออนุญาตหรือบอกล่วงหน้า ซึ่งพ่อตาเดิมก็เป็นคนที่รักพี่น้องอยู่แล้วก็ไม่ได้ว่าอะไร หลังจากลุงเข้ามาอยู่ได้ไม่นานก็ล้มป่วยลง หมอแจ้งว่าเป็นโรคหัวใจต้อง
นอนโรงพยาบาลอยู่พักใหญ่ โดยระหว่างนั้นก็เป็นพ่อตาและแม่ยายที่ต้องไปเยี่ยมอาการทุกวันหลังจากทำงานเสร็จ ..."
อ่านตรงที่ขีดเส้นใต้คือ เจ้าของบ้านตัวจริง เขาไม่ได้ว่าอะไร
หลังจากญาติออกจากโรงพยาบาล " หลังจากที่ลุงออกจากโรงพยาบาลกลับมาอยู่บ้าน แม่ยายก็จะมีหน้าที่คอยดูแลเรื่องของอาหารการกินต่างๆ โดยจะเตรียมอาหารให้และ
คอยดูแลจนกว่าลุงจะทานข้าวทานยาเรียบร้อย ส่วนพ่อตาหลังจากทำงานเสร็จก็จะใช้เวลาส่วนใหญ่ดูแลสอบถามอาการต่างๆ ของลุง..."
เจ้าของบ้านทั้งสองคนก็ไม่ได้แสดงอาการอึดอัดอะไร
ตรงนี้ยิ่งแปลกประหลาดมาก " ...ผมกับแฟนซึ่งอยู่ในฐานะลูกที่พ่อแม่ทำงานหนักทุกวัน
และจะมีเวลาให้เฉพาะตอนเย็นหลังจากเลิกงานแล้วเท่านั้น หวังเพียงจะได้ใช้เวลาร่วมกันกับพ่อแม่ ได้กินข้าวร่วมกันอย่างมีความสุข
คุยกัน ปรึกษากัน เวลาเหล่านั้นกลับถูกลุงแย่งไปจนหมด ..."
เดี๋ยวนะ คนทำงานหนักคือพ่อแม่ ตัวเจ้าของกระทู้กับแฟนคือทำอะไร?? แล้วยังบอกว่า เวลาที่จะใช้กับพ่อแม่ ถูกลุงแย่งไปหมด เจ้าของกระทู้กับแฟนแต่งงานกันแล้ว บรรลุนิติภาวะด้วยกันทั้งคู่ แต่ทำตัวเหมือนเด็ก 3 ขวบ โดนแย่งพ่อแม่ แปลกประหลาดมาก
คุณเจ้าของกระทู้บอกต่อว่า "...และพยายามบอกให้พ่อตาและแม่ยายรับรู้ถึงความรู้สึกที่เราสองคนมี
แต่ที่ผ่านมา ไม่ว่าเราจะพยายามสื่อสารกี่ครั้ง สิ่งที่กลับมาคือการวางเฉย ทำเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น พ่อตายังคงพยายามทำเหมือน
ทุกคนมีความสุขดี และหลีกเลี่ยงที่จะพูดเรื่องนี้ ไม่ว่าเราจะพยายามหยิบยกขึ้นมากี่ครั้งก็ตาม ก็จะได้รับความเงียบตอบกลับมา..."
ข้อเท็จจริงคือ เจ้าของบ้านตัวจริง คือทั้งพ่อตาและแม่ยาย เขาไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไร หรือเขาไม่ได้คิดว่ามันคือปัญหา หลายต่อหลายครั้งที่พวกคุณพยายาม ผลที่ได้คือเหมือนเดิม พวกคุณยังไม่รู้ตัวอีก
คุณสองคนเป็นคนประหลาดในครอบครัว เพราะครอบครัวเขาเป็นผู้ให้ เขารักที่จะดูแลญาติพี่น้อง เขาไม่คิดว่ามันเป็นปัญหา ตัวพวกคุณควรกลับไปมองตัวเองนะ ขนาดที่ว่า โดนแย่งความรักไปนี่คับแค้นจนไม่สามารถแยกบ้านมาปลูกในบริเวณเดียวกันได้เลย อาการหนักมากจริงๆ
เจ้าของบ้านตัวจริง เขาไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยกับคนอาศัยซึ่งก็คือตัวคุณ และตัวลุงของภรรยา
คุณเขียนมายืดยาวมาก มองปัญหาจากมุมของตัวเอง ข้อเท็จจริงมีอยู่ไม่มาก คือ
1. คุณกับภรรยาคือผู้อาศัย ไม่ใช่เจ้าของบ้าน มีฐานะเทียบเท่ากับลุง
2. เจ้าของบ้านไม่ได้อึดอัดอะไร เจ้าของบ้านไม่ได้คิดว่ามันเป็นปัญหา เจ้าของบ้านรู้จักการให้ รู้จักการดูแลญาติพี่น้อง
3. ตัวคุณกับภรรยาบรรลุนิติภาวะแล้ว แทนที่จะตั้งทำงาน สนใจเรื่องงานกับเรื่องของตัวเอง กลับทำตัวเหมือนเด็ก มาเรียกร้องความสนใจ พอไม่ได้อย่างที่ต้องการ ก็กระฟัดกระเฟียด อยากจะแยกไปอยู่ที่อื่น
ต่อให้เขียนยาว เขียนให้ดูดีแค่ไหน ข้อเท็จจริงมันก็มีแค่นี้
ความคิดเห็นที่ 16
ความจริงถ้าภรรยาของคุณเอง /ซึ่งเป็นลูกสาวแท้ๆ ของเค้าเองลำบากใจจนต้องมาร้องไห้ปรึกษากับคุณ
ก็ควรให้ลูกสาวเค้าไปคุยเอง โดยมีคุณให้กำลังใจค่ะ เพราะนั้นคือญาติฝั่งเค้า
ถ้าคุณออกหน้าดูไม่ดีเท่าไหร่ค่ะ
อาจจะเริ่มคุยกับทางคุณแม่ยายก่อน ให้เข้าใจความอึดอัดของลูกสาวเค้า แล้วค่อยนัดคุยรวมกันหมดทุกคน ให้แฟนคุณร้องไห้ใส่เลยค่ะ
และ อย่าพูดถึงลุงในแง่ที่เหมือนจะบอกว่าแกแกล้งป่วย ให้พูดถึงเรื่องเวลาส่วนตัวในครอบครัว เรื่องความอึดอัดอย่างอื่น เช่นเรื่องไม่อยากให้พ่อตาแม่ยายเหนื่อย ลูกสาวอยากใช้เวลากับพ่อแม่ หวงความเป็นส่วนตัวในครอบครัว แบบนี้เค้าน่าจะรับฟังบ้าง เพราะคุณพ่อตาน่าจะเป็นคนรักครอบครัวค่ะ
ก็ควรให้ลูกสาวเค้าไปคุยเอง โดยมีคุณให้กำลังใจค่ะ เพราะนั้นคือญาติฝั่งเค้า
ถ้าคุณออกหน้าดูไม่ดีเท่าไหร่ค่ะ
อาจจะเริ่มคุยกับทางคุณแม่ยายก่อน ให้เข้าใจความอึดอัดของลูกสาวเค้า แล้วค่อยนัดคุยรวมกันหมดทุกคน ให้แฟนคุณร้องไห้ใส่เลยค่ะ
และ อย่าพูดถึงลุงในแง่ที่เหมือนจะบอกว่าแกแกล้งป่วย ให้พูดถึงเรื่องเวลาส่วนตัวในครอบครัว เรื่องความอึดอัดอย่างอื่น เช่นเรื่องไม่อยากให้พ่อตาแม่ยายเหนื่อย ลูกสาวอยากใช้เวลากับพ่อแม่ หวงความเป็นส่วนตัวในครอบครัว แบบนี้เค้าน่าจะรับฟังบ้าง เพราะคุณพ่อตาน่าจะเป็นคนรักครอบครัวค่ะ
แสดงความคิดเห็น
อึดอัดใจมาก จะต้องทำอย่างไรเมื่อมีญาติมาอาศัยที่บ้านอย่างไม่มีกำหนด
หลังจากนั้นประมาณเดือนกรกฎาคม ลุงซึ่งเป็นพี่ชายพ่อตาได้เดินทางมาขออาศัยอยู่ด้วยโดยไม่ได้ขออนุญาตหรือบอกล่วงหน้า
ซึ่งพ่อตาเดิมก็เป็นคนที่รักพี่น้องอยู่แล้วก็ไม่ได้ว่าอะไร หลังจากลุงเข้ามาอยู่ได้ไม่นานก็ล้มป่วยลง หมอแจ้งว่าเป็นโรคหัวใจต้อง
นอนโรงพยาบาลอยู่พักใหญ่ โดยระหว่างนั้นก็เป็นพ่อตาและแม่ยายที่ต้องไปเยี่ยมอาการทุกวันหลังจากทำงานเสร็จ โดยมีผมและแฟน
คอยช่วยงานบ้าง เพื่อให้ท่านมีเวลาไปจัดการธุระที่โรงพยาบาลให้กับลุง โดยที่ไม่มีพี่น้องคนไหนของพ่อตาเลยที่จะมาช่วยตรงนี้
หลังจากที่ลุงออกจากโรงพยาบาลกลับมาอยู่บ้าน แม่ยายก็จะมีหน้าที่คอยดูแลเรื่องของอาหารการกินต่างๆ โดยจะเตรียมอาหารให้และ
คอยดูแลจนกว่าลุงจะทานข้าวทานยาเรียบร้อย ส่วนพ่อตาหลังจากทำงานเสร็จก็จะใช้เวลาส่วนใหญ่ดูแลสอบถามอาการต่างๆ ของลุง
ซึ่งเราทั้งสองคนก็เข้าใจตรงนั้นและคอยช่วยแบ่งเบาภาระต่างๆ อย่างอื่น ที่เราสองคนสามารถช่วยได้อย่างเต็มใจและเต็มที่ จนในที่สุดลุง
ก็ดีขึ้น ได้รับการผ่าตัดฝังเครื่องมือที่จะช่วยกระตุ้นหัวใจ โดยพ่อตาและแม่ยายเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดำเนินการทั้งหมด
และแล้วเวลาที่เราสองคนเริ่มอึดอัดถึงการมีอยู่ของลุงก็มาถึง เมื่อลุงซึ่งมีอาการดีขึ้นแล้ว สามารถเดินไปไหนมาไหนได้เหมือนคนปกติ
สามารถขี่มอเตอร์ออกไปข้างนอกตอนกลางคืนที่พ่อตาแม่ยายออกไปแล้ว กลับทำตัวเหมือนคนป่วยหนัก เดินไม่ไหว ต้องให้คนคอย
ยกอาหารไปให้ และต้องปฏิบัติกับเค้าทุกอย่างเหมือนตอนที่เค้ากำลังป่วยหนัก ผมกับแฟนซึ่งอยู่ในฐานะลูกที่พ่อแม่ทำงานหนักทุกวัน
และจะมีเวลาให้เฉพาะตอนเย็นหลังจากเลิกงานแล้วเท่านั้น หวังเพียงจะได้ใช้เวลาร่วมกันกับพ่อแม่ ได้กินข้าวร่วมกันอย่างมีความสุข
คุยกัน ปรึกษากัน เวลาเหล่านั้นกลับถูกลุงแย่งไปจนหมด เราสองคนพยายามอดทนกันอย่างหนักที่จะเก็บความรู้สึกเหล่านั้นไว้
ปลอบประโลมซึ่งกันและกัน หวังว่าเมื่อเวลาผ่านไปทุกอย่างจะดีขึ้น และพยายามบอกให้พ่อตาและแม่ยายรับรู้ถึงความรู้สึกที่เราสองคนมี
แต่ที่ผ่านมา ไม่ว่าเราจะพยายามสื่อสารกี่ครั้ง สิ่งที่กลับมาคือการวางเฉย ทำเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น พ่อตายังคงพยายามทำเหมือน
ทุกคนมีความสุขดี และหลีกเลี่ยงที่จะพูดเรื่องนี้ ไม่ว่าเราจะพยายามหยิบยกขึ้นมากี่ครั้งก็ตาม ก็จะได้รับความเงียบตอบกลับมา
มาวันนี้แฟนผมร้องไห้กับผมด้วยความอึดอัดใจเกือบจะทุกวัน ผมเองซึ่งมีโครงการกับแฟนว่าเราจะปลูกบ้านใหม่ด้วยกันในรั้วเดียวกันกับคุณพ่อ
วันนี้ผมต้องทบทวนใหม่หากอะไรๆ ไม่ดีขึ้น และอาจจะต้องพาแฟนซึ่งตอนนี้กำลังท้องกลับมาอยู่บ้านพ่อแม่ผมแทนชั่วคราวหากลุงยังไม่กลับบ้าน
และอาจจะต้องมองหาบ้านที่อื่นแทน เนื่องจากความรู้สึกของผมกับแฟนเดินทางมาถึงจุดที่ไม่สามารถอยู่ด้วยกันกับลุงได้อีกต่อไปแล้ว
สุดท้ายนี้อยากจะปรึกษาเพื่อนๆ ว่ามีวิธีอื่นนอกเหนือจากวิธีนี้ไหม? ลุงเองก็มีบ้านที่พ่อตาซื้อให้อยู่และมีลูกชายและป้า
นอกจากเรื่องนี้พ่อตากับแม่ยายผมดีกับผมและแฟนมากๆ รู้สึกเศร้าเหมือนกันหากสุดท้ายแล้วจะต้องจากท่านไปหาที่อยู่ใหม่
แฟนผมเป็นลูกสาวคนเดียวและก็รักคุณพ่อคุณแม่มากๆ แต่ก็ไม่สามารถทนกับความรู้สึกนี้ต่อไปได้จริงๆ